เพลง Jab Pyar Kiya To Darna Kya
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Mughal-e-Azam (The Great Mughal) (1960) ดารานำคือ Prithviraj Kapoor, Madhubala, Durga Khote และ Dilip Kumar กำกับโดย K. Asif เพลงนี้ขับร้องโดย Lata Mangeshkar
เพลง Jab Pyar Kiya To Darna Kya
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Mughal-e-Azam (The Great Mughal) (1960) ดารานำคือ Prithviraj Kapoor, Madhubala, Durga Khote และ Dilip Kumar กำกับโดย K. Asif เพลงนี้ขับร้องโดย Lata Mangeshkar
ตั้งอยู่ที่ชั้น 6 หอสมุดกลาง เป็นมุมหนังสืออินเดียที่จัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ โดยได้รับความอนุเคราะห์จากสถานทูตอินเดียประจำประเทศไทย รวบรวมหนังสือเกี่ยวกับอินเดียประเภทสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปศาสตร์ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สนใจศึกษาเกี่ยวกับอินเดีย
ณ ขณะนี้ มีหนังสือทั้งหมด 824 เล่มแล้ว ค่อยๆ รวบรวมไปทีละเล็กทีละน้อย แต่หนังสือต้องมีคุณภาพ วันนี้จะมาเรียกน้ำย่อยสัก 4 เล่ม
การศึกษาประวัติศาสตร์อินเดียจะไม่มีวันสมบูรณ์ได้หากละเลยจักรวรรดิโมกุล/มุฆัล (Mughal) ที่เริ่มตั้งแต่รัชสมัยบาบูร์/บาเบอร์ (Babur) ในปี ค.ศ. 1526 จนถึงรัชสมัยจักรพรรดิองค์สุดท้าย บาฮาดูร์ ชาห์ ซาฟาร์ (Bahadur Shah Zafar) ที่ต้องลี้ภัยเพราะจักรวรรดิอังกฤษเข้ามาแทนที่ในปี ค.ศ. 1858
ระหว่างช่วงเวลากว่าสามศตวรรษนี้ ปฏิเสธมิได้ว่า อิทธิพลของจักรวรรดิโมกุลต่อ (อนุทวีป) อินเดียนั้นมีมากมายมหาศาลยิ่ง ไม่ว่าจะทางการเมือง ภาษา วัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ สถาปัตยกรรม ฯลฯ ประเด็นและเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับหลายเหตุการณ์ยังคงทำให้นักวิชาการสืบค้นอย่างไม่หยุดหย่อน
ที่เลือกหนังสือเล่มนี้มาไว้ที่ 'จุฬาฯ ภารัตคดีสถาน' ก็เพราะหนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้สนใจอินเดียมือใหม่ มั่นใจได้เลยว่า หลังจากอ่านเสร็จแล้ว ผู้อ่านจะได้รับทราบเหตุการณ์สำคัญ และข้อโต้แย้งทางประวัติศาสตร์นิพนธ์ที่สำคัญๆ มากมาย
เล่มนี้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับจักรวรรดิมุฆัล เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1500 อันเป็นช่วงวางรากฐานการปกครอง สู่ช่วงรุ่งเรืองที่จักรวรรดิแผ่อิทธิพลไปแทบจะทั้งอนุทวีปอินเดียจนกระทั่งจักรวรรดิมุฆัลล่มสลายในทศวรรษ 1720
ที่หนังสือเล่มนี้เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่นักวิชาการก็เพราะเนื้อหามุ่งเน้นอธิบายจักรวรรดิมุฆัลผ่านการสานต่ออำนาจของจักรพรรดิแต่ละพระองค์ และลักษณะการขยายอาณาเขตการปกครองที่ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและบริบท ในกระบวนการขยายอาณาเขตดังกล่าว
ผู้เขียนชวนเราพิจารณาและประเมินจักรพรรดิแต่ละพระองค์ที่ทำให้จักรวรรดิมุฆัลรุ่งโรจน์หรือล่มสลายในที่สุดตามเกณฑ์ 4 ข้อ ดังต่อไปนี้ คือ 1) นวัตกรรมเชิงสถาบัน 2) การอุปถัมภ์ศิลปะ 3) อุดมการณ์ 4) ทัศนคติต่อศาสนาอิสลาม
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลายคนชื่นชมหนังสือเล่มนี้คือ ผู้เขียนเก็บรายละเอียดความรู้และข้อโต้แย้งต่างๆ เกี่ยวกับจักรวรรดิมุฆัลไว้ในหนังสือเล่มนี้อย่างแทบจะสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้
การที่ลาลเขียนเรื่อง จักรพรรดินีนูร์ ญะฮาน (Nur Jahan, 1577-1645) ก็มิใช่เรื่องแปลกนัก เพราะก่อนหน้านี้เธอได้เขียนและบรรยายหัวข้อประวัติศาสตร์สตรีนิยมในเอเชียใต้มาอย่างต่อเนื่องและมากมายหลายครา
สิ่งที่ลาลตั้งใจจะแสดงให้เห็นผ่านหนังสือชีวประวัติเล่มนี้ของนูร์ ญะฮาน หรือ ‘แสงสว่างแห่งโลก’ (Light of the World) คือ การทำความเข้าใจใหม่ให้แจ่มแจ้งว่าพระนางคือบุคคลสำคัญในการจัดการกิจการต่างๆ ของรัฐ แม้พระนางจะเป็นหนึ่งในชายาจำนวน 20 องค์ของจักรพรรดิญะฮันกีร์ (Jahangir) และเป็นองค์ที่ญะฮันกีร์น่าจะทรงโปรดปรานมากที่สุด แม้มิได้เป็นผู้มีอำนาจปกครองอย่างเป็นทางการ กระนั้นก็ตาม หลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งบอกชัดเจนว่า นูร์ ญะฮานคือผู้มีอำนาจแท้จริงเบื้องหลังพระราชบัลลังก์ หรือจักรวรรดิมุฆัลในเวลานั้น
หนังสือเล่มนี้ทำให้เราประจักษ์ด้วยว่านูร์ ญะฮาน เป็นผู้มีไหวพริบทางการเมืองแหลมคม พระนางทรงปกครองอินเดียยุคจักรวรรดิมุฆัลในฐานะผู้ปกครองสูงสุดร่วมกับญะฮันกีร์ และทรงมีอิทธิพลและอำนาจการตัดสินพระทัยได้ยิ่งกว่าพระสวามีด้วยซ้ำ นอกจากนี้สิ่งที่ผู้อ่านจะได้จากหนังสือเล่มนี้อีกคือ การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ของรัฐเพื่อดำรงไว้ซึ่งอำนาจ และความหาญกล้าในการดำเนินการหลายเรื่อง รวมถึงการยุทธ์ และอีกข้อที่จะได้อย่างแน่นอนคือ ความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิตและบทบาทสตรีในจักรวรรดิมุฆัล
หนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นเล่มเดียวที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับนูร์ ญะฮานมากที่สุด ลองอ่านกันดูนะครับ เพื่อที่ว่าต่อจากนี้ไป หากบังเอิญพบเห็นวัตถุที่มีรูปพระนางนูร์ ญะฮานปรากฏอยู่ เป็นต้นว่าเหรียญกษาปณ์หรือภาพวาดโดยศิลปินร่วมสมัย จะได้ไม่ต้องฉงนใจอีกต่อไป เพราะมีหลักฐานหลายชิ้นบ่งบอกความหาญกล้า ความเฉลียวฉลาด และความเด็ดเดี่ยวของพระนาง
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้นำเสนอคือ ในช่วง 300 กว่าปีที่จักรวรรดิมุฆัลปกครองอนุทวีปอินเดีย (1526-1858) ช่วงศตวรรษที่ 18 เป็นศตวรรษที่จักรวรรดิมุฆัลถูกท้าทายจากรัฐ/แคว้นต่างๆ รวมถึงจักรวรรดิอังกฤษที่รุกรานมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อตอบโต้ต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางสังคมการเมืองอันเป็นผลจากการเรืองอำนาจของอังกฤษ
จักรพรรดิมุฆัลใช้สถาปัตยกรรมเพื่อกำหนดความรุ่งโรจน์ของตนในวันวาน ในกระบวนการนี้ แนวคิดเรื่องรูปแบบสถาปัตยกรรมประวัติศาสตร์ที่สามารถกำหนดอัตลักษณ์ได้ว่าเป็นแบบ 'มุฆัล' จึงเกิดขึ้น
เหตุที่หนังสือเล่มนี้มีชื่อหลักว่า ‘From Stone to Paper’ (จากหินสู่กระดาษ) ก็เพราะว่าสถาปัตยกรรมที่สร้างบนผืนดินถูกถอดลงกระดาษให้อยู่ในกรอบประวัติศาสตร์และทฤษฎี สิ่งที่สนุกและได้ความรู้ในหนังสือเล่มนี้คือ การใช้สถาปัตยกรรมจำนวนมากเป็นตัวอย่างหลักฐานเพื่อสนับสนุนธีมที่ผู้เขียนวางไว้
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย