นวราตรี ทุรคาเทวีบูชา
5,326 views
0
0

เพลง Aayi Navratri (อาเย นวราตรี)
เป็นเพลงภชันที่ขับร้องโดย ลตา มังเกศการ์ (Lata Mangeshkar) เผยแพร่ในปี ค.ศ. 2008 เพลงเต็มมีความยาวประมาณ 6 นาทีครึ่ง เราได้ตัดมาให้ฟังครึ่งแรกของเพลง พอให้ได้รับบรรยากาศของเทศกาลนวราตรี เทศกาลนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม และจะไปสิ้นสุดในวันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม วันนี้เราจึงขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับเทศกาลนวราตรีมานำเสนอต่อผู้ฟังแต่พอสังเขป

เทศกาลนวราตรี

เป็นเทศกาลสำคัญที่สุดเทศกาลหนึ่งในรอบปีตามปฏิทินฮินดู เหตุที่ชาวฮินดูเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศอินเดีย และยังมีประชากรชาวอินเดียโพ้นทะเลอาศัยอยู่มากมายตามประเทศต่าง ๆ ในโลก เทศกาลนวราตรีจึงได้รับการเฉลิมฉลองอย่างแพร่หลาย ก่อนอื่นเราจะขออธิบายความหมายของคำว่า "นวราตรี" เสียก่อน

นวราตรี

ศัพท์ว่า “นวราตรี” หรือที่ภาษาฮินดีออกเสียงว่า Navratri มาจากคำสันสกฤตสองคำที่คุ้นหูชาวไทยอยู่แล้ว คือ "นว" ที่แปลว่า เก้า และ "ราตรี" ที่แปลว่า กลางคืน คำว่า นวราตรี จึงแปลได้อย่างง่ายว่า "เก้าคืน" หมายถึงเทศกาลดังกล่าวนี้เฉลิมฉลองเป็นระยะเวลาเก้าคืนนั่นเอง

ตามทฤษฎีแล้ว นวราตรีจะมีสี่ช่วงต่อปี ตามแต่ละฤดูกาล แต่ในทางปฏิบัติ นวราตรีที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ “ศารทนวราตรี” เป็นนวราตรีช่วงปลายฤดูสารทคือฤดูใบไม้ร่วง เพื่อบูชาพระแม่ทุรคา เวลาที่เรากล่าวว่า นวราตรี โดยทั่วไปจึงเป็นที่รับรู้ว่าหมายถึงศารทนวราตรีนี้เอง

ศารทนวราตรี

ตามปฏิทินฮินดู เทศกาลศารทนวราตรีจะเริ่มจากคืนอาศวินศุกลปรถมะ (Ashwin Shukla Prathama) หมายถึงขึ้นหนึ่งค่ำของเดือนชื่ออาศวิน อันเป็นเดือนเจ็ดในปฏิทินฮินดู และสิ้นสุดในคืนอาศวินศุกลนวมี (Ashwin Shukla Navami) คือขึ้นเก้าค่ำเดือนอาศวิน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะตกในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี โดยในปีนี้คือ 7-15 ตุลาคม 2564

มีข้อสังเกตว่า เทศกาลนวราตรีมักจะเฉลิมฉลองไล่เลี่ยกับเทศกาลกินเจ ที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจำนวนมากในประเทศไทยถือปฏิบัติอยู่ อย่างเช่นในปีนี้ เทศกาลกินเจจะตกในวันที่ 6-14 ตุลาคม นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องอาหารที่เราอาจจะต้องกล่าวถึงบ้างในภายหลัง แต่ขอให้ช่วยเล่าเรื่องความเป็นมาของนวราตรีเสียก่อน

ตำนานนวราตรี

ตรงนี้ต้องรีบบอกท่านผู้ฟังก่อนว่า เช่นเดียวกับเกือบทุกเรื่องที่เรานำเสนอมาที่ไม่เคยมีตำนานหรือที่มาเดียว นวราตรีก็เช่นกัน

ในอินเดียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ นวราตรีจะถูกโยงกับเหตุการณ์ที่พระแม่ทุรคาทรงบำราบอสูรร้ายชื่อมหิษาสูร และนำความสงบสุขกลับคืนสู่มวลมนุษย์

บางถิ่นในอินเดียใต้ อาจเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะของพระแม่ทุรคาหรือบางทีก็พระแม่กาลี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะที่ใดก็มีจุดร่วมกันคือเป็นชัยชนะของธรรมะเหนืออธรรม และตัวแทนของฝ่ายธรรมะก็จะเป็นเพศหญิง ที่เรียกตามแนวคิดศักติว่า เทวีมาหาตมยัม (Devi Mahatmyam) คือพลังสูงสุดในจักรวาลอันมีรูปเป็นหญิง

ในแถบตะวันออก เช่น พิหาร โอริสสา เบงกอลตะวันตก อัสสัม เทศกาลนวราตรีเป็นเทศกาลเดียวกับทุรคาบูชา ซึ่งดูจะเป็นคติที่ชาวไทยคุ้นเคยที่สุด ตำนานของเทศกาลนี้คือ มหิษาสูรเป็นอสูรดุร้ายที่มีหัวเป็นควาย และได้รับพรจากพระพรหมว่าบุรุษทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นเทวดา มนุษย์หรืออสูรก็ไม่อาจสังหารตนได้ แต่ขณะขอพรมหิษาสูรไม่ได้ระบุถึงเพศหญิงเลย เห็นจะเป็นเพราะความประมาทต่อเพศหญิง มหิษาสูรได้พรก็กำเริบ ไล่ยึดวิมานของเทวดาทั้งปวงที่นำโดยพระอินทร์ และสร้างความวุ่นวายไปทั่ว จนกระทั่งในที่สุดปวงเทพก็อัญเชิญพลังในจักรวาลมาประชุมขึ้นเป็นรูปลักษณ์สตรีคือพระแม่ทุรคา มหิษาสูรจึงต้องถูกสังหารด้วยสตรีเพศที่ตนเองเคยมองข้ามด้วยอหังการนั่นเอง แล้วโลกก็กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง

นวทุรคา

ด้วยตำนานที่เกี่ยวข้องกับพระแม่ทุรคา การเฉลิมฉลองเทศกาลนวราตรีแต่ละคืนจึงเชื่อมโยงกับเทวีทุรคาทั้งเก้าปาง ซึ่งชาวฮินดูเรียกว่า นวทุรคา

ในแต่ละวันของนวราตรีจะบูชาปางประจำวันนั้นไปตามลำดับ นวทุรคานั้นแต่ละปางก็มีเรื่องราวโดยละเอียดที่ไม่สามารถเล่าให้หมดในเวลาอันจำกัดได้ ดังนั้นขอให้ช่วยเล่าพอสังเขปครับ

1) ในคืนแรกของนวราตรีจะบูชาปางที่เรียกว่า “ไศลปุตรี” เป็นรูปลักษณ์ของพระแม่ปารวตีในฐานะชายาของพระศิวะ ทรงโคนนทิและถือตรีศูลในพระหัตถ์
2) คืนที่สองปาง “พรหมจาริณี” เป็นรูปลักษณ์ของพระแม่ปารวตีที่ประพฤติพรหมจรรย์ ก่อนหน้าจะสมรสกับพระศิวะ
3) คืนที่สามปาง “จันทรฆัณฏา” อันเป็นปางของพระแม่ปารวตีเมื่อเข้าพิธีสมรสกับพระศิวะ และทรงได้รับจันทร์เสี้ยวประดับที่พระนลาฏ
4) คืนที่สี่ปาง “กูษมาณฑา” คือปางเมื่อพระแม่ปารวตีหลังสมรส ทรงตระหนักถึงความเป็นมหาศักติ พระแม่ผู้เป็นขุมพลังและบ่อเกิดของทุกสิ่งในจักรวาล
5) คืนที่ห้าปาง “สกันทมาตา” คือพระแม่ปารวตีในฐานะพระมารดาของพระสกันทะหรือที่ไทยเรียกขันธกุมาร
6) คืนที่หกปาง “กาตยายนี” คือปางออกศึกสงครามกับมหิษาสูร
7) คืนที่เจ็ดปาง “กาลราตรี” หรือกาลี ปางนี้จะมีผิวดำ สวมสร้อยคอหัวกะโหลกมนุษย์ หมายถึงพลังแห่งการทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง มีนัยถึงกาลเวลาและความตาย
8) คืนที่แปดปาง “มหาเคารี” ปางหลังพระแม่ปารวตีทรงกลับคืนจากรูปพระแม่กาลีสู่รูปเดิม มีพระพักตร์สงบเมตตา เป็นนัยถึงการบำรุงเลี้ยงในฐานะมารดา
9) คืนที่เก้าปาง “สิทธิธาตรี” คือรูปลักษณ์สมบูรณ์สูงสุดของพระแม่ปารวตี ผู้ทรงเป็นบ่อเกิดสรรพชีวิตและสรรพวิทยาทั้งปวง

การเฉลิมฉลองนวราตรีมีรูปแบบแตกต่างกันทั่วอินเดียหรือแม้แต่นอกอินเดีย การบูชาก็ไม่จำกัดเฉพาะพระแม่ทุรคา แต่ยังรวมถึงเทพและเทวีองค์อื่น ๆ ด้วย เช่น พระแม่ลักษมี พระคเณศ พระแม่สรัสวตี พระกรรติเกยะ ความแตกต่างตามท้องถิ่นนั้นมีมากมายสุดที่จะเล่าให้หมดได้ ดังนั้นเราจะขอเน้นเฉพาะเทศกาลนวราตรีในไทย ในฐานะที่อาจารย์สุรัตน์เป็นผู้คุ้นเคยกับเทศกาลนี้มาทุกปี ช่วยเล่าบรรยากาศให้ฟังได้ไหมครับว่าในเทศกาลนี้ที่เมืองไทยเราเฉลิมฉลองกันอย่างไรบ้าง

นวราตรีในประเทศไทย

สิ่งที่คนไทยเชื้อสายอินเดียนิยมปฏิบัติกันในช่วงนวราตรีก็จะหลากหลาย แต่ถ้าจะใกล้เคียงกับสิ่งที่อธิบายมา ก็ต้องเป็นการบูชาที่วัดเพราะรายละเอียดที่มากมาย

แต่ถ้าจะให้ตอบว่าคนไทยเชื้อสายอินเดียนิยมปฏิบัติกันอย่างไร ก็ต้องถามก่อนว่าคนไทยเชื้อสายอินเดียคือใคร เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใด กำลังพูดถึงคนไทยเชื้อสายทมิฬหรือเปล่า หรือคนไทยเชื้อสายคุชราตี หรือคนไทยเชื้อสายเบงกาลี หรือหมายถึงกลุ่มที่ไม่เน้นการสักการะบูชารูปปั้น คนไทยเชื้อสายอินเดียส่วนใหญ่คือชาวปัญจาบี ซึ่งก็มีชาวซิกข์ ชาวนามธารี และชาวฮินดูด้วย

พิธีกรรมในหมู่คนไทยเชื้อสายอินเดียกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จะไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่ก็มีบางสิ่งที่คล้ายกัน ผมว่าสิ่งที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษคือเรื่องของอาหารการกินในช่วงเทศกาลนวราตรี

สิ่งที่ต้องละเว้นคือแป้งหรือข้าว แป้งที่ไม่ทานก็เช่นแป้งที่ทำมาจากข้าวสาลี ดังนั้นก็จะไปใช้แป้งที่ทำจากมันสำปะหลัง ผลไม้ก็ทานได้ทุกประเภท บางคนก็อาจจะบริโภคนมด้วย ไม่ใช้เครื่องเทศ ไม่ใช้เกลือทั่วไป ให้ใช้เกลือก้อน ผักทานได้แต่จะไม่ทานผักดองกัน ที่นิยมมากคือฟักทอง มันฝรั่ง ทีนิยมอีกคือนม ปนีร์ (paneer) นมเปรี้ยว ที่มีนมเปรี้ยวก็ไม่ใช่เป็นเรื่องของศาสนาแต่อย่างเดียว หากแต่ช่วยแก้อาการเลี่ยนเวลาทานอาหารที่มาจากแป้งสำปะหลัง ที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาดเลยคือห้ามบริโภคเนื้อสัตว์ ห้ามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บางกลุ่มห้ามเรื่องยาสูบด้วย

ที่เห็นอีกคือ คนไทยเชื้อสายอินเดียตื่นเช้ามาก็อาบน้ำแล้วไหว้พระ เสร็จก็จุดประทีป ถ้าสถานการณ์เอื้ออำนวยคือไม่มีเรื่องการระบาดของโควิด ก็จะนิยมไปวัดฮินดูกัน ทว่าวัดแต่ละแห่งก็มีขนบที่แตกต่างกัน มีวัดเทพมณเฑียร วัดเล็กฝั่งธนฯ คีตาอาศรม สำหรับหลายคนที่อยู่ในจังหวัดเล็ก ๆ ที่ไม่มีวัดฮินดู ก็จะนิยมไหว้พระประกอบพิธีกันที่บ้าน

ที่เห็นอีกคือ ตอนจบเทศกาลก็จะมีเด็กผู้หญิงมานั่งล้อมวง ผู้ใหญ่ก็จะไหว้เด็กที่เรียกว่า “Kanyaka” ซึ่งก็เป็นรากศัพท์ของคำว่า “กันยา” เด็กหญิงเหล่านี้อยู่ในวัยที่ยังไม่มีประจำเดือน บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์

ถ้ามีโอกาส เราต้องคุยกันเรื่องอาหารมังสวิรัติ หรืออาหารเจกันบ้าง เพราะเรื่องนี้มีนัยสำคัญต่อประเทศไทย คือการท่องเที่ยว ถ้าไม่เข้าใจกัน ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด เช่น อาหารมังสวิรัติอินเดียส่วนใหญ่จะห้ามการใช้ไข่
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย