เพลง Hum Hai Air Indian
เป็นเพลงของแอร์อินเดีย เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพลงเพื่อสร้างเอกภาพในความเป็นแอร์อินเดียในหมู่พนักงานแอร์อินเดีย ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่อาจหาข้อมูลได้มากกว่านี้
เพลง Hum Hai Air Indian
เป็นเพลงของแอร์อินเดีย เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพลงเพื่อสร้างเอกภาพในความเป็นแอร์อินเดียในหมู่พนักงานแอร์อินเดีย ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่อาจหาข้อมูลได้มากกว่านี้
[ เนื้อหามาจากบทความ “ทาทาตัดสินใจซื้อแอร์อินเดีย 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐ” ที่เขียนในเพจภารัต-สยาม เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2564 ]
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับประเทศอินเดียที่น่าสนใจอยู่ข่าวหนึ่ง คือ ทาทา ซันส์ ไพรเวท ลิมิเต็ด (Tata Sons Private Limited) บรรษัทเก่าแก่ที่สุดและน่าจะใหญ่ที่สุดของอินเดีย ได้ซื้อแอร์อินเดีย (Air India) สายการบินแห่งชาติของอินเดีย ที่รัฐบาลอินเดียต้องขายเพราะไม่ประสงค์จะแบกค่าใช้จ่ายถึงวันละประมาณ 2.6 ล้านเหรียญ กับหนี้สินสั่งสมอีก 8 พันล้านเหรียญ
ความล้มเหลวของแอร์อินเดียมาจากการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพและไม่โปร่งใส
ถึงในอดีตจะพออยู่รอดได้เพราะผู้โดยสารเองไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ครั้นเมื่ออุตสาหกรรมการบินพาณิชย์เริ่มแข่งขันกันมากขึ้น นักเดินทางหลายคนโดยเฉพาะคนที่เคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับแอร์อินเดียในเรื่องความล่าช้าก็ขอโบกมืออำลา ไม่หันไปมองแอร์อินเดียอีกเลยถ้าไม่จำเป็น ชาวไทยหลายคนคงเข้าใจเรื่องแอร์อินเดียได้ไม่ยากนัก เพราะการบินไทยก็มีอะไรคล้ายคลึงกับแอร์อินเดียไม่มากก็น้อย
การขายหรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นของสายการบินแห่งชาติทำนองนี้มิใช่เรื่องใหม่
หลายประเทศก็ทำกันมาพักใหญ่แล้ว ทว่าแต่ละกรณีจะมีรายละเอียดแตกต่างกัน การขายแอร์อินเดียดังกล่าวมีรายละเอียดมากมาย ทั้งรัฐบาลและทาทาน่าจะลงรายละเอียดให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ได้ภายในปลายปีนี้ ประเด็นสำคัญที่ตกลงกันแล้วก็มีอยู่หลายข้อ ที่สำคัญก็เช่น 4 ข้อต่อไปนี้
1) ทาทาประมูลแอร์อินเดียได้ในราคา 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
2) หนี้สินของแอร์อินเดียจะมีทั้งส่วนที่ทาทาต้องรับผิดชอบและส่วนที่รัฐบาลต้องจัดการต่อไป
3) พนักงานแอร์อินเดียจะได้รับเงินดังสิทธิและสวัสดิการ ตามด้วยการลาออกโดยสมัครใจ
4) หลังจาก 5 ปีนับตั้งแต่การซื้อขาย หากทาทาจะขายต่อก็ไม่ว่ากัน แต่ผู้ถือกรรมสิทธิ์คนหรือกลุ่มถัดไปจะต้องมีสัญชาติอินเดียเท่านั้น
การขายแอร์อินเดียโดยรัฐบาลนเรนทระ โมดี (Narendra Modi)
นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของรัฐบาลเลยก็ว่าได้ แต่กว่าโมดีจะหาผู้ซื้อแอร์อินเดียได้ก็ปาเข้าไปเกือบ 5 ปี ถ้าขายไม่ได้ ก็ต้องใช้ภาษีประชาชนแบกรับภาระกันต่อไป การขายแอร์อินเดียได้ยังมีนัยสำคัญต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจด้วย ชาวไทยเราต้องตระหนักเสมอว่า การปฏิรูปเศรษฐกิจอินเดียกำลังไปสู่ทิศทางตลาดเสรีมากขึ้นเรื่อย ๆ อันถือเป็นฉันทานุมัติของอินเดียเลยก็ว่าได้ อย่างน้อยที่สุดสองพรรคการเมืองใหญ่ของอินเดีย คือพรรคคองเกรสและพรรคภารตียชนตา ต่างก็เหยียบคันเร่งสู่ทิศทางแห่งตลาดเสรีกันทั้งนั้น เราชาวไทยไม่ควรหมกมุ่นอยู่กับการเมืองความขัดแย้งแบบผิวเผินระหว่างสองพรรคการเมืองนี้ สิ่งที่ต้องเน้นเป็นหลักเพื่อเข้าใจอินเดียในกรณีการปฏิรูปเศรษฐกิจคือความต่อเนื่อง มิใช่การเปลี่ยนแปลง
ทำให้นักวิเคราะห์ที่ช่ำชองด้านธุรกิจแตกออกเป็นสองกลุ่ม
นักวิเคราะห์กลุ่มแรกมองว่าทาทาจะทะยานขึ้นมายิ่งใหญ่สุดในอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์ของอินเดีย เพราะแอร์อินเดียที่เพิ่งตกลงซื้อจะเสริมพลังให้ธุรกิจการบินของทาทา กล่าวคือ จะเติมเต็มวิสตารา (Vistara) สายการบินที่ทาทาร่วมลงทุนกับสิงคโปร์แอร์ไลน์ (Singapore Airlines) และแอร์เอเชีย อินเดีย (AirAsia India) ที่ทาทาร่วมลงทุนกับแอร์เอเชียของมาเลเซีย
นักวิเคราะห์กลุ่มที่สองมีความเห็นแตกต่างออกไป โดยมองว่าการตัดสินใจซื้อแอร์อินเดียของทาทาไม่น่าจะเป็นผลดีสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากจะได้เครื่องบินเก่าแล้ว การปรับเปลี่ยนโครงสร้างก็ไม่น่าจะง่ายนัก ทั้งหมดนี้จำต้องพินิจพิเคราะห์ด้วยว่าอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์มีการแข่งขันสูงมาก แล้วนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีผู้ประมูลจริงจังเพียงสองราย ซึ่งอีกรายหนึ่งคืออชัย สิงห์ (Ajay Singh) แห่งสไปซ์ เจ็ต (SpiceJet) ที่ประมูลต่ำกว่าทาทาประมาณ 400 ล้านเหรียญ
เราไม่ทราบว่าทาทาวิเคราะห์และประเมินความคุ้มค่าของการซื้อแอร์อินเดียไว้เพียงใด ผลประกอบการอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่ด้วยประสบการณ์ธุรกิจที่สั่งสมมายาวนาน ทาทาไม่น่าจะอ่อนหัดอย่างแน่นอน ที่น่าสนใจมากคือ หลังจากตกลงซื้อแอร์อินเดียโดยหลักการแล้ว นายรตัน ทาทา (Ratan Tata) ทายาทสายตรงของทาทาก็เขียนข้อความในทวิตเตอร์ ยอมรับว่าคงต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อบริหารจัดการแอร์อินเดีย แต่ข้อความที่น่าสนใจมากของนายรตัน ทาทาคือ “ขอต้อนรับแอร์อินเดียกลับมา”
ที่ว่า "ต้อนรับกลับมา" ก็เพราะแอร์อินเดียเคยเป็นของทาทามาก่อน ในปี ค.ศ. 1932 เจ.อาร์.ดี. ทาทา (JRD Tata) ได้ก่อตั้งทาทา แอร์ เซอร์วิเซส (Tata Air Services) ที่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นทาทา แอร์ไลนส์ (Tata Airlines)
เหตุผลในการก่อตั้งสายการบินนี้ส่วนหนึ่งคงมาจากวัฒนธรรมผจญภัยทางธุรกิจของตระกูลทาทา ตัวอย่างหนึ่งคือ การสร้างโรงแรมตาชมะฮัลพาเลซ (Taj Mahal Palace) ที่บอมเบย์ (หรือมุมไบในปัจจุบัน) โรงแรมนี้สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1902 กล่าวกันว่า แรงบันดาลใจที่ทำให้ชมเสทยี ทาทา (Jamshedji Tata) สร้างโรงแรมก็เพราะเขาเคยถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าโรงแรมวัตสันส์ (Watson’s Hotel) เพราะโรงแรมนี้อนุญาตให้คนผิวขาว (ฝรั่ง) เข้าใช้บริการได้เท่านั้น อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เจ. อาร์. ดี. ทาทาสนใจเป็นผู้บุกเบิกด้านธุรกิจสายการบินโดยใช้เงินครอบครัวของตนโดยลำพังก็น่าจะเป็นเพราะตัวเขาเองเป็นนักบินด้วย
• เดือนตุลาคม ค.ศ. 1932 ณ ลานบินขนาดไม่ใหญ่มากในเมืองการาจี ซึ่งในเวลานั้นยังไม่ได้แบ่งออกเป็นประเทศปากีสถาน เจ. อาร์. ดี. ทาทาได้นำเครื่องบินแบบเครื่องเดียวบินไปยังบอมเบย์ อีกไม่นานนัก สายการบินนี้ก็จะเป็นที่รู้จักในการให้บริการด้านการขนส่งไปรษณีย์
• นักสื่อข่าวนามว่า เสาติก บิสวาส (Soutik Biswas) เล่าว่า เครื่องบินหนึ่งในสองลำที่ทาทาซื้อไว้ใช้คือ เดอะ พัสส์ มอธ (The Puss Moth) ที่ซื้อจากอังกฤษ อากาศยานรุ่นนี้ทำเวลาบินได้ประมาณ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยคอยช่วย จะสตาร์ทเครื่องก็ต้องใช้มือหมุนใบพัด ระหว่างบินไม่มีอุปกรณ์ตัวช่วยเรื่องทิศทาง และการเดินทางมักจะเป็นแบบ “กระเทือนขึ้น ๆ ลงๆ และท่ามกลางอากาศร้อน” เมื่อแวะเติมน้ำมันที่ อาห์เมดาบาด (Ahmedabad) ก็จะมีเกวียนเทียมวัวมาส่งน้ำมันให้ เวลานำเครื่องลงก็ไม่มีตัวช่วยอะไร ไม่มีแม้กระทั่งวิทยุสื่อสาร หลังจากบินถึงบอมเบย์ก็นำไปรษณีย์ลง เครื่องบินลำที่สองก็จะเริ่มบินนำไปรษณีย์ที่เหลือไปยังอีกสองเมืองทางใต้ของอินเดีย เรื่องลานบิน ก็ไม่ง่าย เมื่อลานบินที่บอมเบย์น้ำท่วม เครื่องบินทั้งสองลำของสายการบิน พร้อมกับนักบิน 3 คน และช่างอีก 3 คนต้องย้ายไปใช้ลานบินขนาดเล็ก ๆ ที่เมืองปูนา (ปัจจุบันเรียกว่าปูเน) ห่างจากที่เดิมไปประมาณ 150 กิโลเมตร
• อีกไม่กี่ปีต่อมาสายการบินของทาทาก็เริ่มขยายกิจการและปรับเปลี่ยนเส้นทาง พร้อมกับรับผู้โดยสารบ้าง ในปี ค.ศ. 1938 ทาทาเริ่มประสบความสำเร็จ มีเครื่องบินมากถึง 15 ลำ มีนักบินตามจำนวนเครื่อง และมีจำนวนวิศวกรมากขึ้น ที่น่าสนใจคือ ความตรงต่อเวลาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 99.4
• หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สายการบินกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1946 สายการบินนี้รับส่งผู้โดยสารชาวอินเดียมากขึ้น และมีเครื่องบินประมาณ 50 ลำ ในปีเดียวกันนี้เองที่ทาทาจดทะเบียนทาทาแอร์ไลนส์เป็นบริษัทมหาชนชื่อ แอร์อินเดีย
เมื่ออินเดียได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1947 รัฐบาลอินเดียก็เริ่มวางแผนเข้าไปถือครองหุ้นแอร์อินเดีย ส่วนหนึ่งเพราะยวาหระลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย เชื่อในหลักสังคมนิยมแบบปรับประยุกต์ การที่รัฐควบคุมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของสังคมนิยมแบบเนห์รู
หลังอินเดียได้รับเอกราชเพียง 1 ปี สายการบินก็เริ่มเส้นทางบินระหว่างประเทศ เส้นแรกคือบอมเบย์-ลอนดอน แต่ในปีเดียวกันนี้ รัฐบาลอินเดียก็เข้าไปถือหุ้นมากถึงร้อยละ 49 ในปี ค.ศ. 1953 รัฐบาลเนห์รูตัดสินใจแปรรูปบริษัทแอร์อินเดียให้เป็นของรัฐ รัฐบาลเนห์รูจ่ายเงินจำนวน 28 ล้านรูปีให้นายเจ.อาร์.ดี. ทาทา และจ่ายอีก 30 ล้านรูปีให้สายการบินอื่น ๆ เพื่อรวมไว้เป็นกิจการของรัฐ แม้แอร์อินเดียจะถูกรัฐบาลซื้อไปแล้วก็ตาม แต่เจ.อาร์.ดี. ทาทาก็ยังเป็นประธานบริษัทต่อไปเป็นเวลา 25 ปี ก่อนจะถูกรัฐบาลนำโดยโมราร์ยี เดสาอี (Morarji Desai) ปลดออกจากตำแหน่ง เหตุเพราะในวันที่ 1 มกราคม ปี ค.ศ. 1978 เครื่องบินโบอิ้ง 747 ลำแรกของแอร์อินเดียตกในทะเลอาเรเบียน ผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 213 คนเสียชีวิต ครั้นเมื่อการเมืองเปลี่ยนงแปลง เจ.อาร์.ดี. ทาทาก็กลับมานั่งตำแหน่งสำคัญในบอร์ดใหญ่ของแอร์อินเดียอีก และได้เป็นประธานในเวลาต่อมาจนปี ค.ศ. 1989
หลังสงครามเย็นสิ้นสุด อินเดียก็เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และวันนี้ที่รัฐบาลขายแอร์อินเดียให้เอกชนได้ ก็ถือเป็นการโบกมืออำลาสังคมนิยมแบบปรับประยุกต์ของเนห์รูครั้งสำคัญ คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าทาทาจะบริหารจัดการแอร์อินเดียอย่างไร และจะมีนัยสำคัญอย่างไรต่อไทย ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า ก่อนโควิด-19 จะระบาด ลำพังนักท่องเที่ยวอินเดียที่เดินทางมาไทยมีมากถึง 1.6 ล้านคน และเป็นชาติที่ใช้จ่ายเงินมากที่สุดอีกด้วย
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย