วันที่ 30 ตุลาคม 2564
เพลง Dushman Na Kare Dost Ne Wo Kaam
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Aakhir Kyon (แต่ทำไมเล่า) ฉายในปี ค.ศ. 1985 เพลงนี้ขับร้องโดย ลตา มังเกศการ์ (Lata Mangeshkar) และอมิต กุมาร (Amit Kumar) ที่เปิดให้ฟังเป็นเพียงส่วนแรก เนื้อหาเพลงประมาณว่า ศัตรูมิได้เป็นผู้กระทำ หากแต่มิตรหรือคนใกล้ชิดคือผู้กระทำ ที่นำมาเปิดก็เพราะเข้ากับเนื้อหาของหัวข้อรายการวันนี้
เรื่องมีอยู่ว่านายสุรัช กุมาร (Suraj Kumar) ชายวัย 28 ใช้งูฆ่าภรรยาของตนชื่อนางอุตตรา (Uthra) วัย 25 ปี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในมลรัฐเกรฬะ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย
เรื่องเกิดขึ้นครั้งแรกก่อน ค.ศ. 2020 คือนางอุตตราต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะเธอถูกงูพิษกัด งูที่กัดเธอคืองูแมวเซาอินเดีย ซึ่งเรียกอีกชื่อว่า งูพิษรัสเซลล์ หรือ Russel’s viper
ที่โรงพยาบาล หมอต้องทำการผ่าตัดนางอุตตราทั้งหมด 3 ครั้ง เพื่อรักษาขาข้างที่ถูกงูกัด หลัก ๆ เลยที่เธอเผชิญคือ อาการบวมกับอาการตกเลือด หลังจากนั้นอาการของเธอก็ดีขึ้น เธอจึงไปพักอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของเธอ เพื่อที่พ่อกับแม่จะได้ดูแลเธอระหว่างรอให้สุขภาพเธอฟื้นฟูกลับเป็นปกติ
ทว่าในช่วงเช้าของวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2020 แม่ไปเจอนางอุตตรานอนนิ่งไม่ไหวติง และเมื่อพาเธอไปส่งโรงพยาบาล หมอก็บอกว่าลูกสาวคุณตายแล้ว ตายจากพิษของงู แต่คราวนี้ไม่ใช่พิษของงูแมวเซา แต่เป็นพิษของงูเห่า
พ่อแม่ของนางอุตตรารู้สึกโศกเศร้าเสียใจมาก จากคำให้การจะเห็นว่า ในช่วงแรกพ่อของนางอุตตราก็คิดว่าการถูกงูกัดไม่น่าจะมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล ส่วนฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจในช่วงเริ่มแรกก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะที่อินเดียมีคนถูกงูกัดตายอยู่เป็นประจำ

อีกไม่นานนัก พ่อและแม่ของนางอุตตรารู้สึกสับสนและเริ่มสงสัยว่า จู่ ๆ ลูกสาวจะโดนงูกัดถึงสองครั้งเลยเชียวหรือ ระยะเวลาที่ถูกกัดทั้งสองครั้งก็ห่างกันไม่มาก ในขณะเดียวกันลูกเขยก็อยู่กับลูกสาวของตนก่อนเธอจะถูกงูกัดทั้งสองครั้ง
ตรงนี้มีข้อมูลภูมิหลังของลูกเขยเข้ามาทำให้ต้องขบคิดเรื่องนี้ใหม่หมด คือลูกเขยค่อนข้างเห็นแก่เงิน และพยายามจะเข้ามาจัดการทรัพย์สินทั้งหมดของนางอุตตราด้วย ผนวกกับข้อเท็จจริงที่ว่า ในวันที่นางอุตตรานอนนิ่งอยู่ ลูกเขยก็อยู่ในห้องด้วยนั้น แม่ของนางอุตตราก็ถามลูกเขยประมาณว่า ทำไมถึงทำตัวนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็นเช่นนั้น
ทางพ่อแม่ของนางอุตตราตัดสินใจแจ้งข้อมูลหลายประเด็นที่ทำให้เขารู้สึกกังขาต่อการตายของลูกสาวไปยังตำรวจ และขอให้ตำรวจเริ่มสืบสวนอย่างจริงจัง ในที่สุดตำรวจก็จับกุมนายสุรัช กุมารได้โดยละม่อม ในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2020 การจับกุมครั้งนี้เร็วมาก แต่มิใช่การจับกุมแบบซี้ซั้ว
อีกไม่นานนักการดำเนินคดีจึงเกิดขึ้น และเมื่อไหร่ที่ทุกส่วนของกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะตำรวจปฏิบัติภารกิจของตนอย่างตรงไปตรงมาเพื่อความยุติธรรม เมื่อไหร่ที่อัยการทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดความยุติธรรม เมื่อนั้นเราก็จะเห็นหลักฐานที่หนักแน่น
คดีนี้ต้องว่าความกันทางออนไลน์อยู่หลายครั้งเพราะสถานการณ์โควิดระบาดหนัก แลดูคล้ายว่าศาลจะยึดมั่นอย่างหนักแน่นว่า ความยุติธรรมที่ล่าช้า ก็เปรียบเสมือนการปฏิเสธความยุติธรรม (Justice delayed, justice denied!)
และแล้วทางตำรวจและอัยการก็พิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า นายสุรัช กุมารเป็นคนฆ่าภรรยาตัวเอง
หลักฐานสำคัญ เช่น ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2020 นายสุรัชได้ซื้องูเห่าในราคา 7,000 รูปี (ประมาณ 3,500 บาท) จากชายคนหนึ่งชื่อสุเรศ กุมาร จริง ๆ ต้องบอกว่าเป็นการลอบซื้อขายกันลับ ๆ เพราะการซื้อขายงูในอินเดียผิดกฎหมาย ตำรวจสืบรู้ถึงกระทั่งว่า นำงูเห่ากลับบ้านอย่างไร คือใช้ถุงพลาสติกที่เจาะรูให้อากาศถ่ายเท อีก 13 วันนายสุรัชจึงจะนำงูไปที่บ้านพ่อตาแม่ยาย ซึ่งเป็นที่ที่นางอุตตราพักรักษาตัวจากการถูกงูกัดครั้งแรก ที่ต้องบอกให้ท่านผู้ฟังทราบด้วยคือ ระหว่างที่นางอุตตราพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลและที่บ้านพ่อแม่ของตน เชื่อหรือไม่ว่า นายสุรัช กุมารง่วนอยู่กับการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับงูอย่างไม่หยุดหย่อน เขาศึกษาอย่างละเอียดว่าพิษของงูชนิดใดร้ายแรงสุด และอื่น ๆ
รายละเอียดสำคัญที่ตำรวจจัดหาให้อัยการอีกคือ คืนก่อนที่นางอุตตราจะถูกงูกัด สามีไห้เธอดื่มน้ำผลไม้ที่ผสมยากล่อมประสาท เมื่อนางอุตตราหลับสนิท สามีก็ปล่อยงูเห่าที่มีความยาวประมาณ 1.50 เมตร ไว้บนตัวของภรรยา แต่งูเห่าเลื้อยออกจากตัว ดังนั้นแล้วนายสุรัชจึงจับงูวางบนตัวเธออีก แต่งูก็เลื้อยออกจากตัวไปอีก ครั้งที่สามนายสุรัชเลยจับตรงหัวงูเพื่อให้งูกัดที่แขนซ้ายของนางอุตตรา
คดีนี้มีคนให้ปากคำ ให้ความเห็นในฐานะผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 90 คน มีพยาน มีหมอ และมีนักสัตววิทยาเชี่ยวชาญเรื่องสัตว์เลื้อยคลาน หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า herpetologist อีกหลายคน ทั้งหมดนี้เพื่อจะให้ศาลเห็นอย่างชัดเจนว่า นายสุรัช กุมารคือคนฆ่าภรรยา และการฆ่านี้มิใช่เป็นการปล่อยงูให้กัดตามลำพัง หากแต่เป็นการบังคับให้งูกัด ตรงนี้สำคัญมากเพราะตอนตัดสินคดี ก็จะมีคำว่า “ใช้งูเป็นอาวุธในการฆ่า”
หลักฐานที่มัดตัวนายสุรัช กุมารมีอีกเยอะมาก รวมถึงการที่คนขายงู นายสุเรศ กุมาร สารภาพเรื่องการขายงู ความเป็นไปได้หรือไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ และการสืบค้นเรื่องงูจากคอมพิวเตอร์ของนายสุรัช กุมาร เอกสารทั้งหมดรวมทั้งหลักฐานปาเข้าไปประมาณ 1,000 หน้ากระดาษ A4
ยังขาดอีก 2 ประเด็นสำคัญ นั่นคือ 1) องค์ประกอบของการก่ออาชญากรรมต้องหาแรงจูงใจด้วย 2) คำพิพากษา
อะไรคือแรงจูงใจทำให้นายสุรัชพยายามฆ่าภรรยาของตนครั้งแรก และฆ่าภรรยาสำเร็จในครั้งที่สอง ตำรวจเกรฬะสืบสวนสอบสวนจนได้ความว่า แรงจูงใจคือเงิน
นายสุรัช กุมารทำงานแผนกทวงหนี้ให้กับธนาคารท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ฐานะไม่ค่อยดี พ่อของนายสุรัช กุมารขับรถตุ๊กตุ๊ก แม่ไม่ได้ทำงานอะไร นายสุรัช กุมารกับ นางอุตตราเจอกันผ่านบริษัทจัดหาคู่ นางอุตตราเป็นคนมีฐานะ แต่มีปัญหาการเรียนรู้ คือไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป อาจจะเป็นไปได้ว่า ด้วยเหตุนี้ เวลาตกลงหมั้นหมายกัน ทางบ้านของนางอุตตราจึงให้สินสอดเป็นทองคำมากถึง 768 กรัม รถยนต์ซูซุกิ และเงินสดอีกประมาณ 400,000 รูปี นอกจากนี้นายสุรัชยังได้รับอีก 8,000 รูปีต่อเดือนจากพ่อแม่ของนางอุตตราเพื่อเป็นค่าเลี้ยงดูเธอ แต่นายสุรัช กุมารอยากแต่งงานใหม่ เผื่อว่าจะได้สินสอดอีก ทั้ง ๆ ที่มีลูกกับนาง อุตตราหนึ่งคนแล้ว
เมื่อแรงจูงใจและการฆ่าชัดเจน ก็ทำให้เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนเรื่องการพยายามฆ่าโดยใช้งูแมวเซาอินเดียได้อย่างชัดเจน เพราะมองเห็นทิศทางอย่างแจ่มแจ้งแล้ว รวมถึงการซื้องูแมวเซามาในราคา 10,000 รูปี เมื่อพิจารณาจากหลักฐานของ 2 เหตุการณ์แล้ว ศาลจึงตัดสินลงโทษ นอกจากให้ชดใช้เป็นทรัพย์สินแล้ว ยังพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต 2 ครั้ง หรือที่ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า “double life sentence” ซึ่งถือเป็นบทลงโทษที่ไม่ค่อยพบเจอในอินเดีย
คือการที่พยาน อัยการ ตำรวจ ไม่ยอมอ่อนมือในการทำงาน วางแผนและดำเนินการเอาผิดกับนายสุรัช กุมารอย่างรัดกุม มีหลักฐานหนักแน่น พร้อมกับยึดหลักความยุติธรรมโดยปกป้องเหยื่อ ไม่ว่าเหยื่อนั้นจะมีเพศภาวะใด นี่คือคดีสำคัญบ่งบอกถึงพัฒนาการเรื่องกระบวนการความยุติธรรมของอินเดีย คงต้องจับตาดูกันต่อไป
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย