ดีปาวลี หรือ ดิวาลี: วันหยุดเทศกาลที่สำคัญที่สุดของอินเดีย
35,195 views
0
0

เพลง Gallan Goodiyaan
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Dil Dhadakne Do ฉายในปี ค.ศ. 2015 กำกับโดยโซยา อัคตาร์ (Zoya Akhtar) เพลง “Gallan Goodiyaan” ขับร้องโดยนักร้องหลายคน ได้แก่ ศังกร มหาเทวัน (Shankar Mahadevan) ยศิตา ศรมา (Yashita Sharma) มณิศ กุมาร (Manish Kumar) ติปปุ (Tippu) ฟัรฮาน อัคตาร์ (Farhan Akhtar) และ สุขวินเดอร์ ซิงห์ (Sukhwinder Singh)

ที่มาของศัพท์ ดีปาวลี หรือ ดิวาลี

คำว่า “ดิ” (di) หรือ “ดีป” (dip/deep) คือ ทีปหรือประทีป ส่วนอีกคำที่นำมาผสมคือ “อวลิะ” (avalih) หมายถึง แถวหรือแนว ในภาษาสันสกฤตจึงมีรูปเป็น “ทีปาวลิะ” ในภาษาฮินดีออกเสียง “ดีปาวลี” หมายถึง ประทีปที่ชาวอินเดียจุดไว้แล้ววางเป็นแถวนอกบ้านของตนอย่างงดงาม

[แจ้งให้ท่านผู้ฟังทราบก่อนว่า รายการเราขอใช้คำว่าดีปาวลี ไม่ใช้คำว่าดิวาลี]

การจุดประทีปนี้เป็นสัญลักษณ์ของแสงภายในที่ปกป้องความมืดมัว หรือสัญลักษณ์ว่าด้วยชัยชนะของความสว่างไสวเหนือความมืดมัว ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่

ดีปาวลี (Dipawali) หรือดิวาลี (Diwali) วันหยุดเทศกาลที่สำคัญที่สุดของอินเดีย

ที่กล่าวเช่นนี้เพราะนอกจากผู้คนที่นับถือศาสนาฮินดูอันเป็นที่มาของเทศกาลดีปาวลีแล้ว ยังมีผู้คนที่นับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาฮินดูฉลองเทศกาลนี้ด้วย

ชาวฮินดูกับการฉลองวันหยุดเทศกาลดีปาวลี

อินเดียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชาวฮินดูเองก็มีความหลายหลากมาก ฉะนั้นชาวฮินดูจากแต่ละถิ่นกำเนิดก็มีคำจำกัดความดีปาวลีที่แตกต่างกัน

ทางตอนใต้ของอินเดีย เทศกาลนี้เป็นการฉลองชัยชนะของพระกฤษณะที่มีต่ออสูรนามว่านรกาสูร (Narakasura)

ทางฝั่งตะวันออกของอินเดีย เช่น รัฐเบงกอลตะวันตก (West Bengal) ก็จะเต็มไปด้วยพิธีกรรมบูชาพระแม่กาลี (Kali) ซึ่งก็คือเทพเจ้าหลักของชาวเบงกาลีเลยก็ว่าได้

บางครอบครัวก็เฉลิมฉลองตามประเพณีของครอบครัว เชื่อว่าการเฉลิมฉลองดีปาวลีก็เพื่อเป็นการระลึกถึงการวิวาห์ระหว่างพระแม่ลักษมี (Lakshmi) กับพระนารายณ์ (Narayana) แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองว่าดีปาวลีเป็นวันเกิดของพระแม่ลักษมีด้วย

ทางอินเดียตอนเหนือก็สำคัญมาก เพราะบ่อยครั้งที่ทางตอนเหนือทำอะไรก็มักจะมีอิทธิพลมากกว่าแถบอื่น ๆ ของอินเดีย ชาวฮินดูที่อยู่ตอนเหนือของอินเดียมองวันดีปาวลีเป็นการเฉลิมฉลองการเสด็จนิวัติของพระราม พร้อมกับนางสีดา (Sita) พระลักษมณ์ (Lakshman) และหนุมาน (Hanuman) กลับคืนสู่เมืองอโยธยา (Ayodhya) หลังจากทรงพเนจรอยู่ 14 ปี ซึ่งเวลา 14 ปีนี้รวมถึงช่วงเวลาที่ทรงพิชิตราวณะหรือที่ไทยเรียกว่าทศกัณฐ์ ราชาอสูร 10 เศียรด้วย

ด้วยเหตุนี้ เทศกาลดีปาวลีในทางตอนเหนือของอินเดียจึงเชื่อมโยงกับเทศกาลวันหยุดทุสเสหรา (Dussehra) ที่เผาหุ่นทศกัณฐ์ด้วย หากมีโอกาสรายการปกิณกะอินเดียจะขอเล่าเรื่องเทศกาลทุสเสหราให้ผู้ฟังด้วย

พิธีกรรมและกิจกรรม

ชาวฮินดูไม่ได้มองดีปาวลีเป็นเรื่องเดียวกันหมด ดังนั้นรายละเอียดของพิธีกรรมและกิจกรรมของแต่ละถิ่นกำเนิดก็จะแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ภาพใหญ่หรือภาพรวมของการเฉลิมฉลองวันหยุดเทศกาลนี้ก็มีอะไรที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ดังนี้

การกำหนดวันดีปาวลีจะทำตามปฏิทินจันทรคติ

สำหรับวันดีปาวลีปี 2565 ตรงกับวันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม การเฉลิมฉลองจะใช้เวลาทั้งหมด 5 วัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงใช้คำว่า “วันหยุดเทศกาล” เพราะไม่ใช่แค่วันเดียว

การเฉลิมฉลอง 5 วันที่ว่านี้คือเริ่มจากวันที่ 13 ของช่วงกาลปักษ์ หรือก็คือแรม 13 ค่ำแห่งเดือนจันทรคติชื่ออาศวิน (Ashvina) ถึงวันที่สองของช่วงชุษณปักษ์ หรือขึ้น 2 ค่ำแห่งเดือนการติกะ (Karttika) ดังนั้นวันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม ก็จะตรงกับวันที่สามของการฉลองดีปาวลี

การเฉลิมฉลอง 5 วัน

วันแรกคือวันธันเตรัส (Dhanteras) สมาชิกในครอบครัวก็จะมุ่งมั่นทำความสะอาดบ้านและซื้อทองชิ้นเล็ก และจะเน้นบูชาพระแม่ลักษมีในวันนั้น

วันที่สองคือวันนรกจาตุรทศี (Naraka Chaturdashi) หรือ โฉฏีดีปาวลี (Choti Dipawali) เรียกอีกอย่างคือวันดีปาวลีเล็ก ในวันนี้ชาวอินเดียจำนวนไม่น้อยจะรำลึกถึงการทำลายล้างอสูรที่มีนามว่านรกาสูร และในวันนี้ด้วยที่บางครอบครัวจะสวดมนต์รำลึกถึงบรรพบุรุษของตน

วันที่สามคือวันบูชาพระแม่ลักษมี (Lakshmi Puja) วันที่สามถือเป็นวันหลักของ 5 วันนี้ ท่านผู้ฟังคงเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงประกาศว่าวันที่ 24 ตุลาคมเป็นดีปาวลี นั่นเพราะวันนี้เป็นวันหลัก ในวันนี้ครอบครัวชาวอินเดียจะขอพรจากพระแม่ลักษมีเพื่อความเจริญรุ่งเรือง พร้อมกับจุดประทีป ประดับประดาประทีปวางเป็นแถวเป็นแนวอย่างสวยงามยิ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีการเล่นประทัดไฟ และไปวัดเพื่อไหว้พระด้วย

วันที่สี่คือวันโควรรธันปูชา (Goverdhan Puja) หรือวันพลิประติปทา (Balipratipada) หรือวันอันนะกูฏ (Annakut) ในวันนี้ก็จะบูชาระลึกถึงชัยชนะของพระกฤษณะที่มีต่อพระอินทร์ (Indra) ราชาแห่งทวยเทพ วันนี้เป็นวันแรกของเดือนการติกะด้วย ดังนั้นหลายคนจะนับวันนี้เป็นวันปีใหม่ด้วย ในวันนี้ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยนิยมทำพิธีทางศาสนาและเปิดสมุดบัญชีใหม่ คือไม่ใช่สมุดบัญชีธนาคาร หากแต่เป็นสมุดบัญชีเพื่อการบันทึกธุรกรรมต่าง ๆ ของกิจการตน การเปิดสมุดบัญชีใหม่ก็เพื่อความมงคลด้วย

วันที่ห้าคือวันภาย ดูช (Bhai Dooj) ภาย ฏีกา (Bhai Tika) หรือ ภาย บีช (Bhai Bij) คำว่า “ภาย” (bhai) จะแปลว่าพี่ชายหรือน้องชายก็ได้ ดังนั้นในวันนี้พี่ชายน้องสาวหรือน้องชายพี่สาวก็ร่วมฉลองเพื่อเสริมสร้างความผูกพันระหว่างพี่น้อง ในวันนี้พี่สาวหรือน้องสาวก็จะไหว้พระขอพรให้พี่ชายหรือน้องชายประสบความสำเร็จด้านการงานหรือพบเจอแต่สิ่งดีงามตลอดไป

หากประกาศว่าวันใดคือวันดีปาวลี เช่น ปีนี้คือ 24 ตุลาคม ก็จะนับสองวันก่อนวันที่ 24 และสองวันหลังวันที่ 24 เมื่อนำมารวมกับวันที่ 24 ก็จะได้ 5 วัน

ที่พบเห็นได้มากมายในช่วงเทศกาลดีปาวลี

หลายคนนิยมตกแต่งบ้านในเทศกาลนี้ด้วย การตกแต่งที่ว่านี้มักจะประดับประดาบ้านด้วยศิลปะที่เรียกว่ารังโคลี (rangoli) คือใช้เมล็ดข้าวสีต่าง ๆ ใช้ทราย และใช้กลีบดอกไม้แต่งเป็นรูปลายต่าง ๆ บนพื้นบ้านภายในรั้วบ้าน ประตูและหน้าต่างก็จะเปิดไว้เพื่อให้พระแม่ลักษมีหาทางเข้าบ้านได้ และเมื่อพระแม่เข้าบ้านได้ ก็จะประทานพรแก่ผู้อาศัยในบ้านนั้นให้มีความสำเร็จมีความมั่งคั่งสืบไป

ช่วงเทศกาลดีปาวลีจะเป็นเวลาที่ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงจะไปเยี่ยมกันและกัน แลกเปลี่ยนของขวัญกัน นิยมใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ กัน เลี้ยงอาหารกัน นิยมทำบุญทำทานโดยเฉพาะแจกอาหารหรือให้เงินคนยากจน และจุดพลุกับเล่นประทัดไฟด้วย

นอกจากนี้มักจะเล่นไพ่ด้วย ตรงนี้ก็มาจากความเชื่อที่ว่าจะทำให้มีโชคลาภ เช่นเดียวกับความเชื่อเรื่องการทอยลูกเต๋าเล่นจอปัรโดยพระศิวะ (Shiva) และพระแม่ปารวตี (Parvati) บนเขาไกรลาส (Mount Kailasa) หรือแบบพระกฤษณะ (Krishna) และราธา (Radha) ตามจารีตประเพณีนี้ก็คือการให้เกียรติแก่พระแม่ลักษมี ซึ่งก็จะหมายความว่าผู้หญิงจะต้องเป็นผู้ชนะเสมอ ทว่าที่ปฏิบัติกันทุกวันนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิงแล้ว คือใครชนะก็คนนั้นชนะ แต่ที่พบเห็นกันมากคือ ใครที่ชนะจะนำเงินที่ได้ไปทำบุญทำทานกัน

การฉลองดีปาวลีของคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาฮินดู

สำหรับคนที่ไม่ใช่ชาวฮินดู เทศกาลดีปาวลีอาจจะมีความหมายแตกต่างจากฮินดู คือร่วมเฉลิมฉลองด้วยเพราะผู้คนส่วนใหญ่เขาก็ฉลองกัน และมีความหมายทางศาสนาของตนที่เฉพาะเจาะจง

ผู้นับถือศาสนาเชน (Jainism) เทศกาลดีปาวลีถือเป็นช่วงเวลาระลึกถึงการรู้แจ้ง (enlightenment) และเข้าถึงโมกษะ (moksha) ของพระมหาวีระ ตีรถังกรองค์สุดท้ายของศาสนาเชน อันถือว่าเป็นการหลุดพ้นจากวัฏสงสารคือการเวียนว่ายตายเกิด แสงของประทีปที่จุดในวันนี้เป็นการเฉลิมฉลองแสงแห่งภูมิปัญญาของพระมหาวีระนั่นเอง

ชาวพุทธบางกลุ่มก็ฉลองดีปาวลีด้วย สำหรับผู้คนเหล่านี้ ช่วงเทศกาลดีปาวลีเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าอโศกมหาราช (Asoka) เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ ก็คือประมาณศตวรรษที่สามก่อนคริสตกาล การฉลองแบบนี้พบเห็นมากเป็นพิเศษในหมู่ชาวพุทธกลุ่มน้อยที่เรียกว่าพุทธนิกายวัชรยาน (Vajrayana Buddhist) ซึ่งอาศัยอยู่ในเนปาล การฉลองก็จะทำโดยการจุดประทีป ตกแต่งวัด และบูชาพระพุทธเจ้า

ชาวซิกข์ นอกจากจะร่วมเฉลิมฉลองกับเพื่อนชาวฮินดูแล้ว ยังให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้ในบริบทของศาสนาซิกข์ด้วย เพราะนี่คือช่วงเวลาเดียวกันที่คุรุหัรโควินท์ (Guru Hargobind) คุรุองค์ที่ 6 ของชาวซิกข์ กลับอมฤตสระหลังจากถูกกักขังที่ควาลิยัร (Gwalior) ดังนั้นแล้ว นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ชาวซิกข์ก็เฉลิมฉลองการกลับมาของคุรุองค์ที่ 6 คล้ายกับที่ชาวฮินดูจำนวนไม่น้อยเฉลิมฉลองการเสด็จนิวัติกรุงอโยธยาของพระราม

แล้วชาวคริสต์กับชาวมุสลิมในอินเดียเฉลิมฉลองเทศกาลนี้หรือไม่

นี่เป็นคำถามที่มีคนเคยถามผมไม่น้อยเลย เหตุที่ผู้คนสนใจถามคำถามนี้เพราะศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลามเป็นศาสนากลุ่มเอกเทวนิยม หรือ monotheism คือเชื่อว่าพระเจ้ามีองค์เดียว

เรารับทราบกันมาว่า สามศาสนาในกลุ่มเอกเทวนิยมคือ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม

ในความเป็นจริงแล้ว ผมว่าการแบ่งศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าออกเป็นสองกลุ่มคือ เอกเทวนิยม กับ พหุเทวนิยม (polytheism) อาจไม่สะท้อนความจริงทั้งหมด วิถีที่ภควัทคีตากล่าวถึงพระเจ้าก็มีความเป็นเอกเทวนิยมไม่น้อยเลย แม้แต่ศาสนาซิกข์ซึ่งหลายคนอาจไม่ทราบก็คือมีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น คุรุตั้งแต่ 1-10 และพระคัมภีร์ นับเป็นคุรุ ไม่ใช่พระเจ้า ก็คือเป็นครูเท่านั้น พระเจ้าของศาสนาซิกข์ทรงมีหนึ่งเดียว มีภาวะเป็นอรูปเหมือนกับสามศาสนาของเอกเทวนิยม

ตอบคำถามที่ว่าแล้วชาวคริสต์กับชาวมุสลิมในอินเดียเฉลิมฉลองเทศกาลนี้หรือไม่ คำตอบคือ ชาวคริสต์และชาวมุสลิมจำนวนมากฉลองเทศกาลดีปาวลี เพียงแต่พวกเขาจะหลีกเลี่ยงพิธีกรรมทางศาสนาของฮินดูที่ได้เล่ามา กล่าวคือ มองเป็นองค์ประกอบสำคัญของวัฒนธรรมอินเดียที่พวกเขาก็เป็นสมาชิกด้วย เช่นเดียวกับที่ชาวฮินดูทักทายชาวคริสต์ในช่วงคริสต์มาสว่า “Merry Christmas” หรือที่ชาวฮินดูทักทายชาวมุสลิมในช่วงท้ายของเราะมะฎอนว่า “Eid Mubarak Ho”

หลายประเทศก็เฉลิมฉลองเทศกาลดีปาวลีด้วย

เช่น เนปาล มาเลเซีย สิงคโปร์ อันนี้คือตัวอย่าง ยังมีอีกหลายประเทศที่เฉลิมฉลองดีปาวลี ตรงไหนมีความคล้ายคลึงทางศาสนา ตรงไหนมีชาวอินเดียโพ้นทะเลอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากหรือจำนวนหนึ่ง แน่นอนว่ามีการเฉลิมฉลองเทศกาลดีปาวลี

ปี 2565 กรุงเทพมหานครจัดเทศกาลดีปาวลี

น่าจะเป็นปีแรกที่เราจัดกันเป็นกิจกรรมสาธารณะ เทศกาลดีปาวลีในกรุงเทพฯ เป็นความคิดริเริ่มและความร่วมมือระหว่างกรุงเทพฯ กับหน่วยงานอินเดีย กรุงเทพฯ ที่ว่านี้ก็นำโดย นำโดยคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ส่วนหน่วยงานอินเดียก็มีหลายหน่วยงาน หน่วยงานหลักคือ Indian Association of Thailand

คุณศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เป้าหมายของการจัดเทศกาลดีปาวลี และทำให้ย่านพาหุรัดเป็น “The Little India” ก็เพื่อสนับสนุนชาวไทยเชื้อสายอินเดียทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและคนไทยในประเทศให้รู้จักวัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายอินเดีย รวมถึงสนับสนุนนักท่องเที่ยวชาวอินเดียซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ให้มาท่องเที่ยวในประเทศไทย

งานเทศกาลดีปาวลีที่กรุงเทพฯ จัดขึ้นวันที่ 21-23 ตุลาคม สถานที่จัดงานคือถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง

นี่ก็เป็นความคิดที่ดี แต่จะสานต่ออย่างไร จะทำให้เทศกาลดีปาวลีที่กรุงเทพฯ มีชื่อเสียงและความยั่งยืนอย่างไรก็ต้องดูกันต่อไป พวกเราชาวไทย ชาวกรุงเทพฯ ก็ไปเที่ยวกันเยอะ ๆ นะครับ ในฐานะที่เราเป็นชาวไทย หากพบเห็นนักท่องเที่ยวต้องการความช่วยเหลือ หากมีอะไรที่เราพอเอื้อได้ ก็ควรช่วยกัน เพื่อกรุงเทพฯ ของเรา
_______________

ท้ายสุดนี้ ใคร่ขอประชาสัมพันธ์กิจกรรมสำคัญที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า ศูนย์อินเดียศึกษาร่วมกับสำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม คณะรัฐศาสตร์ และสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ จัดนิทรรศการ “150 ปี ยุวกษัตริย์พระปิยมหาราชประพาสอินเดีย” เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม นับตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน – 9 ธันวาคม 2565 ณ พิพิธภัณฑ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ตั้งอยู่ระหว่างอาคารศิลปวัฒนธรรมกับคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ รายละเอียดติดตามได้ที่หน้าเฟซบุคของผมและของศูนย์อินเดียศึกษาครับ
_______________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย