มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอินเดียของทรัมป์: สาเหตุ ผลกระทบ และการตอบโต้ของอินเดีย
396 views
0
0

เพลง Dost Dost Naa Rahaa
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Sangam ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 1964 ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับและผลิตโดยราช กาปูร์ (Raj Kapoor) ดารานำก็มีราช กาปูร์, วิชยันติมาลา (Vyjayanthimala) และราเชนทระ กุมาร (Rajendra Kumar) เพลงนี้ขับร้องโดยมุเกศ (Mukesh)

คำว่า “sangam” ที่อินเดียจะใช้ในสองความหมาย ความหมายแรกคือความหมายเชิงภูมิศาสตร์ แปลว่า จุดบรรจบของแม่น้ำ หรือ การไหลมาบรรจบกันการมาส่วนอีกความหมายหนึ่งก็มักจะใช้ในเชิงนามธรรมแปลว่า บรรจบกัน หรือ การมารวมกัน ภาษาไทยคำว่า “sangam” จะตรงกับคำว่า สังคม ในขณะที่ภาษาฮินดีจะใช้คำว่า สมาช ที่มีความหมายเดียวกับคำว่าสังคม

ขออนุญาตแปลท่อนที่เปิดไปให้ฟัง
Dost dost na raha, pyaar pyaar na raha
มิตร มิใช่มิตรอีกต่อไป รัก มิใช่รักดังเดิม
Zindagi hamein tera aitbaar na raha
โอ้ชีวิตเอ๋ย ข้าสูญสิ้นศรัทธาในเจ้าแล้ว

เหตุที่เปิดเพลงนี้ก็เพราะความรักระหว่างอินเดียเริ่มเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลย หลังจากเหตุการณ์มาตรการภาษีโดยสหรัฐอเมริกา วันนี้ก็เลยเปิดเพลงนี้เพื่อให้เข้าบรรยากาศสักหน่อย อย่าคิดอะไรมากครับท่านผู้ฟังความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน มีพลวัตปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเมื่อผลประโยชน์แห่งชาติเปลี่ยนไป

มีคนถามผมมาว่าทำไมรายการเราไม่พูดถึงเรื่องมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาต่ออินเดียที่เป็นข่าวกันทั่วหน้า จริง ๆ แล้ว รายการเราก็ไม่ได้พูดถึงหลายเหตุการณ์ เพราะเราเลือกได้สัปดาห์ละหัวข้อเท่านั้น ขอให้ท่านขอมาก็แล้วกัน ถ้าเราพูดเรื่องไหนได้ เราก็ยินดี ตราบใดที่คนฟังรายการเราสนใจ

สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าอินเดีย 50% จุดเปลี่ยนในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับอินเดีย (นาที 5.10)

วันนี้ภูมิทัศน์ที่ผันผวนของการค้าโลก การกำหนดมาตรการภาษีนำเข้าส่งผลกระทบกว้างขวางทั้งต่อระบบการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การตัดสินใจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอินเดีย 50% นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับอินเดีย และมีผลสะเทือนที่ลึกกว่าด้านเศรษฐกิจ เพราะมาตรการดังกล่าวไม่ใช่เพียงเป็นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการที่อินเดียยังคงซื้อน้ำมันและอาวุธจากรัสเซีย แม้สหรัฐฯ จะเตือนอินเดียแล้วก็ตาม

สำหรับอินเดียซึ่งพึ่งพาการส่งออกเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจภายใน การเก็บภาษีครั้งนี้กลายเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อการเข้าถึงตลาดและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน มาตรการนี้ยังมีนัยเชิงสัญลักษณ์ เพราะในขณะที่มหาอำนาจอื่น เช่น สหภาพยุโรปหรือจีน ได้รับผลกระทบจากมาตรการที่อ่อนกว่า อินเดียกลับถูกตั้งเป้าเป็นพิเศษ มาตรการดังกล่าวจึงดูเสมือนเป็น “การคว่ำบาตร” มากกว่าการปรับปรุงทางการค้า

วันนี้เราจะวิเคราะห์ที่มา ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลก รวมถึงการตอบสนองของอินเดีย โดยจะชี้ให้เห็นว่า มาตรการภาษีดังกล่าวแม้สร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจอินเดีย แต่การตอบกลับของอินเดียก็ยังสะท้อนถึงแนวทางแบบปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์แห่งชาติ

อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังมาตรการภาษีของทรัมป์

ภาษีนำเข้า คือภาษีที่เก็บจากสินค้าที่นำเข้ามายังประเทศ จุดมุ่งหมายคือการปกป้องอุตสาหกรรมภายในและสร้างรายได้ แต่ก็เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ใช้ตอบแทนพันธมิตรหรือกดดันคู่แข่งได้เช่นกัน ภายใต้นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ ภาษีกลายเป็นเครื่องมือหลักด้านนโยบายต่างประเทศ เพื่อปกป้องการจ้างงาน ลดการขาดดุลการค้า และลงโทษประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามความต้องการของสหรัฐฯ

ในกรณีของอินเดีย มาตรการภาษีได้รับการอธิบายว่า เป็นการตอบโต้ต่อการที่อินเดียพึ่งพาน้ำมันดิบและอาวุธจากรัสเซียมากขึ้น ที่ปรึกษาของทรัมป์กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าการซื้อน้ำมันของอินเดียเป็นบ่อนทำลายมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกต่อรัสเซีย และทำให้สงครามในยูเครนยืดเยื้อออกไป ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) หนึ่งในที่ปรึกษาด้านการค้าที่ใกล้ชิดและเสียงดังที่สุดของทรัมป์ ถึงขั้นเรียกความขัดแย้งในยูเครนว่าเป็น “สงครามของโมดี” โดยชี้ว่าเงินจากอินเดียกำลังช่วยพยุงเศรษฐกิจรัสเซีย แม้ว่าข้อกล่าวหาเช่นนี้จะเต็มไปด้วยแรงจูงใจทางการเมือง แต่ก็ถูกนำมาใช้เป็นเหตุผลเพื่อความชอบธรรมในการดำเนินมาตรการทางการค้าที่เข้มงวด

สิ่งที่น่าสังเกตคือ สหรัฐฯ ไม่ได้กำหนดมาตรการที่เทียบเท่ากันต่อจีนหรือสหภาพยุโรป ซึ่งต่างก็ยังคงนำเข้าพลังงานจากรัสเซียเช่นเดียวกัน แต่กลับมุ่งเป้าไปที่อินเดียด้วยการลงโทษที่รุนแรงที่สุด คือการเก็บภาษีนำเข้า 50% กับสินค้าหลากหลายประเภท และเพิ่มอีก 25 เปอร์เซ็นต์สำหรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับส่วนประกอบจากรัสเซีย ขณะที่ประเทศอื่นได้รับอัตราที่เบากว่ามาก เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้สามารถต่อรองได้ที่ 15 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแอฟริกาใต้ถูกเก็บที่ 30 เปอร์เซ็นต์ ความเหลื่อมล้ำนี้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของอินเดียว่า มาตรการภาษีดังกล่าวมีแรงจูงใจทางการเมืองมากกว่าด้านเศรษฐกิจ

รัฐบาลอินเดียหันมาให้ความสำคัญกับโครงการ “ผลิตในอินเดีย” (Make in India) และ สวเทศี (Swadeshi) อีกครั้ง

นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี รีบออกมาตำหนิมาตรการภาษีดังกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ “ไม่เป็นธรรมและไม่อาจยอมรับได้” ในการแถลงผ่านโทรทัศน์ เขาได้ตีความมาตรการลงโทษนี้ใหม่ ไม่ใช่เพียงในฐานะความท้าทาย แต่เป็นโอกาสให้อินเดียยืนยันอธิปไตยของตน

ข้อความที่ส่งถึงประชาชนชัดเจนว่า “เราควรพึ่งพาตนเอง ไม่ใช่เพราะหมดหนทาง แต่เพราะความภาคภูมิใจ” ด้วยการวางกรอบของการพึ่งพาตนเองให้เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีแห่งชาติ โมดีพยายามเปลี่ยนแรงสั่นสะเทือนทางการค้าที่อาจบั่นทอนความมั่นคง ให้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งการปลุกพลังรักชาติ

รัฐบาลอินเดียหันมาให้ความสำคัญกับโครงการ “ผลิตในอินเดีย” (Make in India) และ สวเทศี (Swadeshi) อีกครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจหันมาเลือกใช้สินค้าภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากชี้ให้เห็นว่า ภาคการผลิตของอินเดียประสบปัญหามาอย่างยาวนาน โดยไม่สามารถขยายสัดส่วนให้เกินกว่า 15% ของ GDP ได้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวแทบไม่เปลี่ยนแปลงตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ดังนั้น มาตรการภาษีครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของอินเดีย แม้วาทกรรมเรื่องการพึ่งพาตนเองจะสอดคล้องกับการเมือง แต่ฐานโครงสร้างที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงยังคงอ่อนแออยู่

เมื่อต้องเผชิญกับความเสี่ยงเร่งด่วนจากการส่งออกที่ลดลงและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีโมดีจึงได้ออกมาตรการปฏิรูปภาษีและมาตรการกระตุ้นการบริโภคหลายประการเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ

เมื่อต้นปี 2025 รัฐบาลได้ประกาศลดภาษีเงินได้มูลค่า 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว และต่อมา โมดีได้ประกาศแผนการปรับโครงสร้างภาษีสินค้าและบริการ (GST) ให้เป็นระบบสองขั้นที่โปร่งใสมากขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนการปฏิบัติตามกฎหมายภาษี ส่งเสริมการบริโภค และบรรเทาภาระให้แก่ครัวเรือนชนชั้นกลางซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากภาวะเงินเฟ้อและค่าจ้างที่หยุดนิ่ง

สิ่งที่อินเดียต้องคิดหนักหนีไม่พ้นเรื่องการกระตุ้นการบริโภคด้วย ซึ่งการบริโภคภาคเอกชนคิดเป็นประมาณ 60% ของ GDP ของอินเดีย นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่งคาดการณ์ว่าผลรวมจากการปฏิรูปภาษี GST และการลดภาษีเงินได้ ซึ่งมีมูลค่าราว 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญต่อเศรษฐกิจ พวกเขาให้เหตุผลว่า ในอดีตการลดภาษีภาคธุรกิจไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ที่เป็นสัดส่วนมากนัก แต่การบรรเทาภาระโดยตรงแก่ครัวเรือนและผู้บริโภคจะสร้างผลคูณทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนกว่า โดยเฉพาะต่ออุตสาหกรรมอย่างรถจักรยานยนต์ เสื้อผ้า และปูนซีเมนต์

ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ส่งสัญญาณความพร้อมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการปล่อยกู้และการลงทุน อีกทั้งเมื่อรวมกับการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการและเงินบำนาญ มาตรการเหล่านี้จึงกลายเป็นเกราะป้องกันเศรษฐกิจภายในของอินเดียจากแรงกระแทกเชิงลบที่เกิดจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ

แม้จะมีความเสี่ยง แต่วิกฤตภาษีกลับก่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกที่ไม่คาดคิดอยู่หลายประการ

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับตัวดีขึ้นเมื่อสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอินเดีย ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองทศวรรษ การปรับเพิ่มครั้งนี้ช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมและส่งสัญญาณถึงความมั่นใจในพื้นฐานทางเศรษฐกิจของอินเดีย ตลาดหุ้นก็ตอบสนองเชิงบวกเช่นกัน สะท้อนความคาดหวังว่า การปฏิรูปเศรษฐกิจภายในประเทศจะกระตุ้นการเจริญเติบโตได้ แม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอกก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเชิงโครงสร้างยังคงมีอยู่ การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจยังต่ำกว่าระดับ 8 เปอร์เซ็นต์ที่เคยทำได้ในอดีต เนื่องจากอุปสงค์โลกที่ชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ การยกเลิกการเจรจาการค้าระหว่างอินเดีย–สหรัฐฯ ที่มีกำหนดการไว้ล่วงหน้ายิ่งตอกย้ำถึงความรุนแรงของรอยร้าวที่เกิดขึ้น

สำหรับอินเดีย เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของการพึ่งพาปัจจัยภายนอก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างฐานเศรษฐกิจภายในประเทศที่เข้มแข็งและยืดหยุ่นมากขึ้น

วกกลับมาที่บริบททางภูมิรัฐศาสตร์ มาตรการภาษีนี้ไม่อาจเข้าใจได้เพียงในฐานะมาตรการทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กว้างกว่า

การที่อินเดียยังคงมีความสัมพันธ์ด้านพลังงานกับรัสเซีย แม้จะเป็นการตัดสินใจเชิงปฏิบัติที่ช่วยให้สามารถจัดหาน้ำมันราคาถูกสำหรับประชาชน 1.4 พันล้านคน แต่กลับขัดแย้งกับความพยายามของวอชิงตันที่จะโดดเดี่ยวรัสเซีย สหรัฐฯ มองว่าการซื้อน้ำมันของอินเดียเป็นการทำลายมาตรการคว่ำบาตร ขณะที่อินเดียให้เหตุผลว่า ความต้องการขั้นพื้นฐานในฐานะประเทศกำลังพัฒนาไม่อาจถูกสละเพื่อสนองวาระทางภูมิรัฐศาสตร์ของตะวันตกได้

เหตุการณ์นี้เผยให้เห็นความตึงเครียดระหว่างการรับรู้ของอินเดียต่อตนเองในฐานะมหาอำนาจอิสระ กับความคาดหวังของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้อินเดียปฏิบัติตาม อินเดียปฏิเสธที่จะถูกปฏิบัติราวกับเป็นพันธมิตรชั้นรอง และย้ำว่านโยบายต่างประเทศของตนจะถูกกำหนดโดยผลประโยชน์แห่งชาติ ไม่ใช่คำสั่งจากภายนอก จุดยืนเชิงนี้ แม้จะมีต้นทุนสูงในระยะสั้น แต่กลับเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของอินเดียในฐานะผู้เล่นอิสระบนเวทีการเมืองโลก

เมื่อกลับมาดูที่สงครามถ้อยคำ

ถ้อยแถลงสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับมาตรการภาษีกลายเป็นประเด็นที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อย่างนาวาร์โรกล่าวหาว่า อินเดียมีส่วนช่วยยืดสงครามยูเครนโดยอ้อม ในทางตรงกันข้าม ผู้นำอินเดียยืนยันว่าประเด็นที่แท้จริงคือสิทธิในการจัดหาความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประชาชนของตน รมว.คลัง นิรมลา สีตารามัน (Nirmala Sitharaman) กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ประเทศพัฒนาแล้วไม่ควรมาสั่งสอนประเทศกำลังพัฒนาเกี่ยวกับทางเลือกของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อพวกเขาเองก็ยังคงนำเข้าพลังงานจากรัสเซียอยู่”

ที่น่าสนใจอีกคือ ไม่ใช่ทุกเสียงจากสหรัฐฯ ที่มีท่าทีเผชิญหน้า รัฐมนตรีคลัง สก็อต เบสเซนท์ (Scott Bessent) ใช้น้ำเสียงที่ประนีประนอมกว่า โดยย้ำว่า วอชิงตันให้ความสำคัญเรื่องความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์กับอินเดีย และคาดการณ์ว่าทั้งสองฝ่ายจะ “หาหนทางกลับไปสู่ความร่วมมือได้” ความแตกต่างเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าภายในรัฐบาลสหรัฐฯ เองก็มีการถกเถียงกันว่า ควรกดดันอินเดียมากน้อยเพียงใดโดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ระยะยาว

อะไรคือแนวโน้มและบทเรียนของเรื่องนี้

การกำหนดมาตรการภาษีของทรัมป์ถือเป็นหนึ่งในข้อพิพาททางการค้าที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอินเดีย

สำหรับอินเดียแล้ว ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในทันทีได้รับการบรรเทาบางส่วนจากมาตรการกระตุ้นภายในประเทศ แต่เหตุการณ์นี้ก็ได้สะท้อนถึงจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ลึกกว่า นั่นคือ ฐานการผลิตที่เปราะบาง การพึ่งพาตลาดต่างประเทศมากเกินไป และความเสี่ยงจากแรงกระแทกภายนอก

อย่างไรก็ตาม หากมองในเชิงความเป็นจริงแล้ว การตอบสนองของอินเดียก็ย้ำชัดถึงความเป็นอิสระเชิงยุทธศาสตร์ โดยการไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ อินเดียได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะปกป้องทั้งอธิปไตยและผลประโยชน์แห่งชาติ แม้มาตรการภาษีจะสร้างความเจ็บปวด แต่ก็เป็นบทเรียนว่าบนเวทีการเมืองโลก อำนาจทางเศรษฐกิจและการพึ่งพาตนเองเป็นสิ่งจำเป็นต่อเอกราชที่แท้จริง

เมื่อมองไปข้างหน้า แนวทางในการแก้ไขข้อพิพาทนี้ขึ้นอยู่กับการเจรจารอบใหม่และการปรับความคาดหวังของทั้งสองฝ่าย สำหรับสหรัฐฯ ความสำคัญของอินเดียในฐานะตัวถ่วงดุลต่อจีนจะน่าจะป้องกันไม่ให้เกิดการแตกหักถาวร ส่วนอินเดีย ความท้าทายคือ การทำให้วาทกรรมเรื่องการพึ่งพาตนเองกลายเป็นขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจที่แท้จริง

ว่าด้วยภูมิรัฐศาสตร์

สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ นายโมดีจะเดินทางเยือนจีนในช่วงการประชุม Shanghai Cooperation Organization หรือ SCO ณ เทียนจิน ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ส.ค. - 1 ก.ย. 2025 ซึ่งการเดินทางครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปีของโมดี หลายคนมองว่า นี่นับเป็นสัญญาณการคลายความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ หลังเหตุการณ์ปะทะชายแดนเมื่อปี ค.ศ. 2020

นัยสำคัญที่ตามมาน่าจะเป็นเรื่องการแสดงภาพแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของโลกใต้ เมื่อประธานาธิบดีสีจิ้นผิง จะเป็นเจ้าภาพต้อนรับผู้นำกว่า 20 ประเทศ รวมถึงประธานาธิบดีปูตินและโมดี เพื่อแสดงถึงเอกภาพของ “Global South” ต่อต้านการครอบงำของมหาอำนาจตะวันตก

ที่หลายคนคาดหวังด้วยก็คือ นายกรัฐมนตรีโมดีจะมีการพบปะแบบทวิภาคีกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ระหว่างการเยือนครั้งนี้ ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio [30 ส.ค.68]
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ