พิธีแห่งศักดิ์ศรี ณ พรมแดนอะฏารี-วาฆา
386 views
0
0

เพลง Peace National Anthem
เพลงที่เปิดให้ได้รับฟังไปนั้นมีความพิเศษมาก ใช้ชื่อว่า “Peace National Anthem” หรือเพลงชาติแห่งสันติ ซึ่งนำเพลงชาติของอินเดีย (Jana Gana Mana) และเพลงชาติของปากีสถาน (Qaumi Taranah หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Pak Sarzameen Shaad Baad) มาหลอมรวมกัน อีกทั้งเชิญนักร้องดังจากทั้งสองฝ่ายมาร่วมร้องมากมาย ทางฝ่ายอินเดียมีอาทิเช่น สัญชีตา ภัตตาจารยา (Sanjeeta Bhattacharya) นิขิล ดีซูซา (Nikhil D’Souza) ราฆพและอรุณ (Raghav & Arun) เป็นต้น ส่วนทางฝ่ายปากีสถานก็มีเช่น นาตาชา บัยก์ (Natasha Baig) อะลิเซีย ดิยาส (Alycia Dias) ซีชัน อะลี (Zeeshan Ali) เป็นต้น รวมถึงคนอื่น ๆ อีกที่ยังไม่ได้ออกชื่อ เพลงดังกล่าวนี้ผลิตโดยสตูดิโอที่ชื่อ Voice of Ram และเผยแพร่ในช่องของศิลปินหญิงนาตาชา บัยก์ของปากีสถานนั่นเอง เมื่อปี ค.ศ. 2017

สำหรับเพลงชาติทั้งสอง ฝ่ายอินเดียคือเพลง ชนะ คณะ มนะ ซึ่งเป็นคำสาธุภาษาอันสละสลวยของเบงกาลี ความหมายโดยรวมคือ “ดวงใจของผองชน” พึงสังเกตด้วยว่า ทั้งสามคำถูกรับมาใช้ในภาษาไทยด้วย “ชนะ” ก็คือประชาชน “คณะ” ก็คือกลุ่มหรือหมู่คณะ ส่วน “มนะ” ก็คือใจ ซึ่งเรามักใช้ว่ามโน เช่นมโนภาพ มโนทัศน์ เพลงนี้ประพันธ์เนื้อโดยครุเทพรพินทรนาถ ฐากูร ผลงานดั้งเดิมชื่อว่า “Bharoto Bhagyo Bidhata” “ผู้กำหนดชะตาแห่งภารัต” มีทั้งหมด 5 ท่อน และท่อนแรกของเพลงนี้ถูกประกาศใช้เป็นเพลงชาติอินเดียในวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1950

ส่วนเพลงชาติปากีสถานมักเรียกชื่อกันว่า Pak Sarzameen Shaad Baad ซึ่งแปลว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงเจริญ เดิมทีแล้วหลังจากการแบ่งแยกประเทศในปี ค.ศ. 1947 สองปีต่อมาคือ ค.ศ. 1949 เพลงชาติปากีสถานจึงเกิดขึ้น เริ่มจากการมีแต่ทำนอง เรียกว่า กอมี ตะรานะห์ ซึ่งแปลตรง ๆ ว่า “เพลงชาติ” ประพันธ์โดย อาหมัด จี. ชักลา (Ahmad G. Chakla) แล้วในปี ค.ศ. 1950 จึงมีการจัดประกวดเนื้อร้อง ซึ่งเนื้อร้องที่ได้รับเลือกให้ใช้คือบทกวีของฮะฟีซ ชลันธารี (Hafeez Jalandhari) ที่เริ่มต้นบรรทัดแรกว่า Pak Sarzameen Shaad Baad…. จึงกลายเป็นชื่อเพลงไปโดยปริยาย

ท่านที่ติดตามฟังปกิณกะอินเดียเมื่อสองสัปดาห์ก่อนคงจำได้ว่าเราได้กล่าวถึงฮะฟีซ ชลันธารีมาแล้วครั้งหนึ่ง ในฐานะผู้แต่งเพลง Krishna Kanheya

เหตุผลที่เราเลือกเพลงนี้มาเปิด เพราะสัมพันธ์กับเนื้อหาของเราในวันนี้คือ พิธีที่เรียกว่า พิธีชายแดนอะฏารี-วาฆา หรือ Attari-Wagah Border Ceremony ซึ่งจัดเป็นประจำทุกวันต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 ณ บริเวณชายแดนอินเดีย-ปากีสถานที่ชื่อว่าอะฏารี-วาฆา โดยกองกำลังสองฝ่ายคืออินเดียกับปากีสถาน เป็นพิธีมีชื่อเสียงมากทั้งในหมู่ชาวอินเดียและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ถึงกับบางคนก็อยากเดินทางไปชมบรรยากาศสดที่อินเดียโดยตรง

อะฏารี-วาฆา (นาที 7.45)

เมื่อพูดถึงพิธีพรมแดนอะฏารี-วาฆา ภาพแรกเลยที่ทุกคนนึกถึง ซึ่งก็แพร่หลายมากในสื่อออนไลน์ก็คือ กองกำลังอินเดียกับปากีสถานในเครื่องแบบสวยงาม ไว้หนวดโง้งดุดัน กำลังเตะขาจนสูงถึงศีรษะเพื่ออวดศักดานุภาพ แน่นอนว่าภาพดังกล่าวนี้เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์ของพิธีที่ดึงดูดความสนใจของประชาชนอย่างมาก บอกได้เลยว่า บางคนก็ไปนั่งรอดูเขาเตะขากันนี่แหละ ไม่ได้สนใจอย่างอื่นเท่าไหร่เลย แต่แน่นอนว่า พิธีดังกล่าวก็ย่อมมีที่มาที่ไป มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ก่อนอื่นเราต้องทราบที่มาของชื่อก่อนว่า อะฏารี-วาฆา หมายถึงอะไร

ความหมายของชื่อนี้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน อะฏารี-วาฆาก็คือชื่อของอาณาบริเวณอันเป็นที่ตั้งของเส้นพรมแดนจุดที่ประกอบพิธีนั่นเอง โดยอะฏารี (Attari) เป็นหมู่บ้านของฝั่งอินเดีย ตั้งอยู่ในเขตอมฤตสระ (Amritsar) มลรัฐปัญจาบ (ของอินเดีย) ส่วนวาฆา (Wagah หรืออาจสะกดว่า Wagha) คือหมู่บ้านที่อยู่ทางฝั่งปากีสถาน ตั้งอยู่ใกล้ ๆ เขตเมืองลาฮอร์ (Lahore) มลรัฐปัญจาบ (ของปากีสถาน)

ผู้ฟังคงสังเกตว่าชื่อมลรัฐของทั้งสองฝั่งนั้นเหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพราะว่าเดิมทีปัญจาบเคยเป็นแคว้นปกครองตนเองมาก่อน เมื่อเข้ามาอยู่ในบริติชอินเดีย ก็ยังคงเป็นแคว้นปัญจาบ จนกระทั่งเกิดการแบ่งแยกดินแดน ปัญจาบก็ถูกตัดแบ่งเป็นสองฝั่ง และใช้ชื่อเดิมว่าปัญจาบทั้งคู่

และชื่อพิธีที่เราเรียกในวันนี้ว่า อะฏารี-วาฆา ก็แน่นอนว่าเป็นมุมมองจากฝั่งอินเดีย เพราะเราทำรายการปกิณกะอินเดีย ถ้าเรามองจากฝั่งปากีสถาน พิธีนี้ก็ชื่อว่า วาฆา-อะฏารี เอาง่าย ๆ คือคนของประเทศใครก็เรียกชื่อพื้นที่ของตัวเองขึ้นก่อนนั่นแหละ

พิธีแห่งศักดิ์ศรี ณ พรมแดนอะฏารี-วาฆา

สาระสำคัญของการประกอบพิธีพรมแดนนี้คือ พิธีเชิญธงกองทัพลงจากยอดเสา และตามด้วยการถอยทหารกลับเข้าป้อม ตามอย่างที่อังกฤษเรียกว่า Beating Retreat สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏในพิธีนี้ แสดงถึงทั้งความเป็นพี่น้องกันและความเป็นคู่ปรับกันของทั้งสองประเทศ

ผู้ริเริ่มทำพิธีดังกล่าวเป็นคนแรกคือ นายพลจัตวาโมฮินเดอร์ ซิงห์ โจปรา (Brigadier Mohinder Singh Chopra) กับนายพลจัตวา นะซีร์ อะห์เหม็ด (Brigadier Nazir Ahmed) ในวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1947 พื้นที่บริเวณชายแดนที่ทั้งสองตั้งประจัญหน้ากันนั้น อยู่บนถนนสายสำคัญชื่อว่า แกรนด์ทรังก์ (Grand Trunk) ซึ่งในสมัยนั้นเป็นถนนสายเดียวที่เชื่อมระหว่างอินเดียกับปากีสถาน และยังไม่มีป้อมสวยงามหรืออัฒจันทร์อย่างที่มีทุกวันนี้ เป็นเพียงการตั้งกระโจมทหารอย่างเรียบง่าย

ในสมัยนั้น การประกอบพิธีเชิญธงลงยังไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนัก ทหารอาจจะเผชิญหน้ากันและมีการโอ้อวดข่มขวัญกันนิดหน่อย แต่ยังไม่เป็นการแสดงประกอบจังหวะเหมือนปัจจุบัน ในเวลาต่อมา ก็มีการต่อเติมสถานที่มากขึ้นเรื่อย ๆ มีอัฒจันทร์ให้พลเรือนมานั่งเชียร์ได้นับหมื่นคน การประกอบพิธีพรมแดน จะเกิดขึ้นในทุกเย็นก่อนตะวันจะลับขอบฟ้า ซึ่งจะเป็นเวลาต่างกันในฤดูกาลต่างกัน กล่าวคือประมาณ 17:15 น. ในช่วงเดือนเมษายนถึงกันยายน และประมาณ 16:15 น. ในช่วงเดือนตุลาคมถึงมีนาคม ทั้งนี้เนื่องจากสภาพแสงของทั้งสองฤดูต่างกัน ในช่วงฤดูหนาวแสงอาทิตย์ย่อมหมดเร็วกว่าฤดูร้อน

ณ พรมแดนแห่งนี้ บนดินแดนของทั้งสองฝั่งจะมีป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ก่อสร้างอย่างสวยงาม ตรงกลางเป็นทางเดินแถวทหาร ซึ่งขนาบด้วยอัฒจันทร์ ทางเดินดังกล่าวจะพุ่งตรงมายังเส้นพรมแดนที่ขีดกั้นกลางพอดี และ ณ เส้นพรมแดนจะมีประตูรั้วเหล็กกั้น มีธงชาติของทั้งสองประเทศประดิษฐานอยู่เหนือรั้วเหล็กแต่ละฝั่ง ซึ่งธงชาตินี้ จะต้องเชิญลงจากยอดเสาทุกวันในเวลาประกอบพิธีดังกล่าว

สำหรับกองกำลังสองกองที่รักษาเส้นพรมแดน

ฝ่ายอินเดียมีชื่อว่า Border Security Force หรือ BSF ซึ่งอันที่จริงแล้วมีสถานะเป็นตำรวจตระเวนชายแดน มิใช่ทหารแต่อย่างใด หน่วยงานนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1965 ซึ่งเป็นปีที่มีการปะทะกันระหว่างอินเดียกับปากีสถาน เป็นระยะเวลา 17 วันและมีทหารสละชีวิตนับพันคน กองกำลังนี้ปัจจุบันมีขนาดใหญ่กว่า 250,000 นาย มีหน้าที่พิทักษ์ความสงบชายแดน เจ้าหน้าที่ที่เข้าพิธีจะสวมเครื่องแบบสีกากี หมวกประดับผ้าจีบสีแดงขลิบทอง

ส่วนทางฝ่ายปากีสถานนั้น ผู้รับบทคือกองกำลังลาดตระเวนที่ชื่อว่า เรนเจอร์ (Rangers) ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจากกองกำลังที่เรียกว่าทหารปืนเล็กยาวสินธ์ (Sindh Rifles) ก่อตั้งมาตั้งแต่ช่วงก่อนแบ่งแยกดินแดน สวมเครื่องแบบสีดำ หมวกประดับผ้าจีบสีดำคาดแดง

เป็นที่ทราบกันดีว่า ตัวแทนจากกองกำลังทั้งสองฝ่ายที่จะเข้าแสดงในพิธี จะต้องผ่านการคัดเลือกและการฝึกฝนเป็นพิเศษเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการตบเท้าเดินและเตะเท้าสูง การแสดงท่ากางแขนออกข่มขวัญฝ่ายปรปักษ์ ต้องมีความสวยงามแข็งแรงและดุดัน การเตะเท้าสูงนี้แหละที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของพิธีดังกล่าว และถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า Silly Walk

แต่ละวันขณะที่พิธีกำลังจะเริ่มขึ้น ผู้คนจากทั่วสารทิศบริเวณใกล้ตะเข็บชายแดนก็จะเข้ามาจับจองที่นั่งบนอัฒจันทร์ฝั่งของตัว ซึ่งจะเปิดเป็นเวลาหลายชั่วโมงก่อนพิธีจะเริ่ม เมื่อถึงเวลากองกำลังสองฝ่ายก็จะให้สัญญาณด้วยเสียงโห่ร้องออกศึก (Battle Cry) ดังกึกก้อง เดินตบเท้าตามจังหวะดนตรีทะยอยกันออกมาประจัญหน้ากัน ณ บานประตูรั้วเหล็ก สำแดงท่าทางข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามโต้ตอบกันไปมาตามธรรมเนียม และแล้วแต่ละฝ่ายก็จะเลื่อนบานประตูรั้วเหล็กเปิดออกจากกัน

ในชั่วเวลาเพียงสั้น ๆ ที่ประตูพรมแดนเปิดโล่งนี่เอง กองกำลังทั้งสองฝ่ายก็จะเผชิญหน้ากันอย่างเปิดเผย ซึ่งก็จะตามมาด้วยการตบเท้า กระโดด และเตะขาสูง ผายมือแอ่นอก ทำหน้าดุดันข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามอีกสักพักใหญ่ รวมทั้งมีการปลุกใจเรียกเสียงเชียร์จากพลเรือนฝ่ายของตนเอง จากนั้นผู้เชิญธงของทั้งสองฝ่ายจะรี่เข้ามาประจัญหน้ากันอย่างใกล้ชิด ยืนเท้าสะเอวมองหน้ากันแล้วจึงเดินเตะขาสูงสวนทางกันเข้าไปหาธงของตน การเชิญธงลงจะเป็นไปอย่างพร้อมเพรียงโดยคณะเจ้าหน้าที่สามคน เมื่อพับธงเข้าเก็บแล้ว หัวหน้าทีมของทั้งสองฝ่ายก็จะจับมือกันและยิ้มให้กันเป็นการให้เกียรติกันและกันและแสดงมิตรภาพ แล้วประตูรั้วเหล็กก็จะถูกเลื่อนปิด ทั้งสองฝ่ายก็จะแยกย้ายกลับเข้าป้อม เป็นอันจบพิธี

แง่มุมที่น่ารักเกี่ยวกับพิธีนี้มีอยู่ไม่น้อย จนกระทั่งมีเหตุนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงบางประการ

แง่มุมที่น่ารักเกี่ยวกับพิธีนี้มีอยู่ไม่น้อย คือถึงแม้จะเป็นพิธีที่ประกาศความเป็นปรปักษ์กัน แต่การดำเนินขั้นตอนให้พร้อมเพรียงกันจะต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย เปรียบเสมือนการแสดงย่อย ๆ ชุดหนึ่งบนเวที

นอกจากนี้ การแสดงมิตรภาพด้วยการจับมือกันและยิ้มให้กัน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ชวนให้อบอุ่นหัวใจอยู่ไม่น้อย และไม่เพียงแต่เท่านั้น หากเป็นช่วงพิธีสำคัญ ๆ อย่างพิธีอีดของชาวมุสลิม ดิวาลีของชาวฮินดู และวันฉลองเอกราชของทั้งสองประเทศ (ของปากีสถานตรงกับวันที่ 14 สิงหาคม ส่วนอินเดียคือวันที่ 15 สิงหาคม เพราะเวลาของอินเดียนำหน้าปากีสถานครึ่งชั่วโมง) ทั้งสองฝ่ายก็จะมีการแลกเปลี่ยนขนมกันด้วย นี่คือสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายกระทำมาตลอด

จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งมีเหตุนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงบางประการ ดังที่เราจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้

ช่วงเวลานับแต่ปี ค.ศ. 1959 ที่พิธีพรมแดนอะฏารี-วาฆาดำเนินไปทุกวัน ส่วนใหญ่จะเป็นไปด้วยความสงบสุขและสนุกสนาน อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีเหตุการณ์ตึงเครียดเกิดขึ้นบางครั้ง ซึ่งอาจทำให้เกิดการหยุดพักดำเนินพิธีชั่วคราว

ตัวอย่างเช่น ในวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น หลังจากจบพิธีไม่นาน ก็เกิดเหตุระเบิดพลีชีพในดินแดนทางฝั่งปากีสถาน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 60 คนและบาดเจ็บอีกร้อยเศษ

วันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2016 เกิดการปะทะกันในแนวหน้าระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ซึ่งกินระยะเวลาสั้น ๆ เพียงวันเดียว หลังจากการปะทะครั้งนั้นจบลง แม้จะยังคงมีการประกอบพิธีพรมแดนเช่นเคย แต่ฝั่งอินเดียได้ห้ามสาธารณะเข้าชมตั้งแต่วันที่ 29 กันยายนถึง 8 ตุลาคมของปีเดียวกันด้วย นอกจากนี้ BSF ของอินเดียกับเรนเจอร์ของปากีสถานก็งดการแลกเปลี่ยนขนมหวานกัน เช่นที่เคยปฏิบัติก่อนหน้านี้เสมอเมื่อเป็นโอกาสสำคัญอย่างวันอีด

เหตุการณ์ต่อมาเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ หลายท่านอาจจะจดจำได้ว่าเกิดเหตุ Pahalgam Terror Attact ณ พื้นที่มลรัฐจัมมูและแคชเมียร์ ในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2025 ซึ่งจัดเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในรอบหลายปีที่เคยเกิดในพื้นที่ดังกล่าว อินเดียได้ออกมาประณามการกระทำของปากีสถาน (ซึ่งก็ไม่ยอมรับว่ากระทำเรื่องดังกล่าว) และระงับพิธีพรมแดนตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 พิธีจึงได้เว้นไป ครั้นผ่านมาอีกประมาณ 12 วันหลังจากนั้น คือวันที่ 20 พฤษภาคม พิธีนี้ก็ได้กลับมาเหมือนเดิม แต่กระนั้นผู้ชมก็น้อยลงมาก บรรยากาศของพิธีตึงเครียดมากขึ้นเพราะมีผู้ชมจำนวนน้อยลงมาก ผู้ที่มาชมก็ไม่ค่อยส่งเสียงโห่ร้องเหมือนเคย และที่สำคัญ เมื่อเชิญธงลงเสร็จแล้ว ตัวแทนจากทั้งสองฝ่ายไม่จับมือกันเหมือนที่เคยทำ

นอกจากพิธีพรมแดนที่โด่งดังในระดับโลก ณ อะฏารี-วาฆาแล้ว ก็มีการประกอบพิธีพรมแดนในที่อื่นบ้างเป็นบางจุด เช่น คันธสิงหวาลา (Ganda Singh Wala) ของปากีสถานกับฮุสเซนีวาลา (Hussaini Wala) ของอินเดีย หรือที่สุเลมานกี (Sulemanki) ของปากีสถานกับซัดกี (Sadqi) ของอินเดีย แต่พิธีตามจุดต่าง ๆ เหล่านี้ความยิ่งใหญ่ไม่อาจเทียบกับที่อะฏารี-วาฆาได้ และผู้ที่เข้าชมก็มักจะเป็นเพียงคนในหมู่บ้านแถบนั้น มากกว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากที่อื่น

รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio [6 ก.ย.68]
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ