วันที่ 27 กันยายน 2568
Yeh Dosti | Ajeeb Dastan Medley
เพลงนี้ขับร้องโดยคณะประสานเสียง Shillong Chamber Choir ซึ่งมีชื่อเสียงจากการผสมผสานบทเพลงคลาสสิกของอินเดียเข้ากับท่วงทำนองแบบตะวันตก ที่ได้ฟังไปนั้นเป็นการนำบทเพลงภาพยนตร์ภาษาฮินดีอันเป็นอมตะสองเพลงคือ เพลง “Yeh Dosti” จากภาพยนตร์ Sholay ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 1975 และเพลง “Ajeeb Dastan Hai Yeh” จากภาพยนตร์ Dil Apna Aur Preet Parai ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 1960 มาสร้างสรรค์ใหม่ในรูปแบบเมดเลย์ การแสดงนี้ไม่ใช่เพียงการขับร้องซ้ำ แต่เป็นการตีความใหม่ โดยหลอมรวมการเรียบเรียงแบบประสานเสียงเข้ากับทำนองดั้งเดิมของอินเดียอย่างกลมกลืน
ที่เปิดเพลงนี้เพราะเราจะพูดถึงความคล้ายและความต่างระหว่างอินเดียกับเนปาล เพลงทั้งสองที่นำมารวมกันเป็นเมดเลย์สไตล์แบบเฉพาะของ Shillong Chamber Choir ก็น่าจะครอบคลุมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้ดีไม่น้อยเลย
Yeh Dosti หมายถึงมิตรภาพ ในขณะที่ Ajeeb Dastan Hai Yeh หมายถึงเรื่องราวที่วางอยู่ในบริบทของความรักที่ไม่สมหวังและความขัดแย้งทางอารมณ์ ถ่ายทอดความว้าวุ่นภายในใจของหญิงสาวผู้ติดอยู่ระหว่างความคาดหวังของสังคมกับความปรารถนาส่วนลึกของตนเอง ซึ่งก็น่าจะสะท้อนความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศได้ดี โดยรวมแล้วก็มีมิตรภาพแต่ขณะเดียวกันก็มีเรื่องราวความขัดแย้งปะปนกันอยู่ไม่น้อย
อินเดียและเนปาล สองประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียใต้ มีประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกันมายาวนาน ทั้งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ทางสังคมการเมือง
แม้จะมีความแตกต่างกันชัดเจนในด้านขนาดทางภูมิศาสตร์ จำนวนประชากร และระบบการปกครอง แต่ก็มักถูกมองว่าเป็น “พี่น้องทางวัฒนธรรม” เนื่องจากมีรากฐานศาสนาฮินดู-พุทธร่วมกัน มีประเพณีใกล้เคียง และมีภาษาในตระกูลเดียวกัน
ขณะเดียวกันความแตกต่างในด้านโครงสร้างประชากร การเมืองการปกครอง การพัฒนาเศรษฐกิจ และวิถีชีวิตสมัยใหม่ ก็ได้ก่อร่างสร้างเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละประเทศ
เราทั้งสองจะวิเคราะห์ความเหมือนและความต่างระหว่างอินเดียกับเนปาลในสามมิติหลัก ได้แก่ (1) ผู้คน (2) วัฒนธรรม (3) วิถีชีวิต โดยจะอธิบายว่าปัจจัยต่าง ๆ มีบทบาทอย่างไรในการสร้างทั้งความคล้ายคลึงและความแตกต่าง พร้อมสรุปถึงความหมายของความสัมพันธ์นี้ต่อความร่วมมือในภูมิภาค

อินเดีย มีประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคน นับเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ความหลากหลายทางชาติพันธุ์และภาษาโดดเด่น มีมากกว่า 2,000 กลุ่มชาติพันธุ์ และกว่า 1,600 ภาษา ภาษาในตระกูลหลักได้แก่ อินโด-อารยัน ดราวิเดียน ออสโตรเอเชียติก และทิเบโต-พม่า
เนปาล มีประชากรราว 30 ล้านคน ซึ่งน้อยกว่ามาก แต่ก็มีความหลากหลายเชิงชาติพันธุ์สูงเมื่อเทียบกับขนาดประเทศ โดยรัฐรับรองกลุ่มชาติพันธุ์กว่า 120 กลุ่ม และภาษากว่า 100 ภาษา ภาษาราชการคือภาษาเนปาลี (Nepali) กลุ่มสำคัญได้แก่เฉตรี (Chhetri) พราหมิน (Brahmin) เนวาร์ (Newar) มาการ์ (Magar) ตามัง (Tamang) ฐะรู (Tharu) และ เชอร์ปา (Sherpa)
ความเหมือนระหว่างสองประเทศ ทั้งสองประเทศเป็นสังคมพหุชาติพันธุ์และพหุภาษา ระบบวรรณะยังคงมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ทางสังคม แม้จะถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการในอินเดียแล้วก็ตาม อีกทั้งการเคลื่อนย้ายของผู้คนข้ามพรมแดนที่เปิดระหว่างสองประเทศยังทำให้มีชุมชนทับซ้อน โดยเฉพาะในเขตเตราย (Terai) ของเนปาลที่มีความสัมพันธ์กับชุมชนทางตอนเหนือของอินเดีย
ความแตกต่าง ขนาดประชากรของอินเดียก่อให้เกิดความซับซ้อนหลากหลายมากกว่า ในขณะที่เนปาลแม้มีความหลากหลายแต่มีความเข้มข้นของชุมชนสูงกว่า อินเดียมีระดับความเป็นเมืองสูงกว่า ขณะที่เนปาลยังคงเป็นสังคมชนบท โดยกว่า 60% ของประชากรยังพึ่งพาเกษตรกรรม
[1] ศาสนาและจิตวิญญาณ
อินเดีย เป็นต้นกำเนิดของศาสนาฮินดู พุทธ เชน และซิกข์ ปัจจุบันฮินดูเป็นศาสนาหลัก (ราว 80%) แต่ก็มีมุสลิม (14%) คริสเตียน (2.3%) ซิกข์ มีพุทธ และเชนอีก ความหลากหลายทางศาสนาส่งผลต่อเทศกาล ประเพณี และศิลปะอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง
เนปาล มีชาวฮินดูเป็นประชากรส่วนใหญ่ (ประมาณ 81%) แต่ก็มีพุทธในสัดส่วนสำคัญ (9%) เนปาลต่างจากอินเดียในแง่ที่ว่า ที่อินเดียนับตั้งแต่นำรัฐธรรมนูญมาใช้นั้น อินเดียเป็นรัฐฆราวาสมาโดยตลอด แต่ที่เนปาลเพิ่งปรับเปลี่ยนมาเป็นรัฐฆราวาส นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008 เมื่อเนปาลเปลี่ยนจากราชอาณาจักรไปเป็นสาธารณรัฐ ไม่มีระบบกษัตริย์อีกต่อไป กล่าวคือ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008 เนปาลกลายเป็นสาธารณรัฐแบบฆราวาสนิยม ทว่าผู้คนก็ยังปฏิบัติทางศาสนาแบบผสมผสานระหว่างฮินดูกับพุทธ
ความเหมือนกันระหว่างสองประเทศในแง่นี้ ก็เช่นการเคารพเทพเจ้าในคติฮินดู เช่น พระศิวะ พระวิษณุ พระทุรคา เทศกาลที่ร่วมกัน เช่น ดาไชน์ (Dashain) ในเนปาล ซึ่งก็คือทุสเสหรา (Dussehra) ในอินเดีย
ติหาร (Tihar) ในเนปาล ก็คือดิวาลี (Diwali) ในอินเดีย ส่วนโฮลี (Holi) ก็ยังปรากฏเป็นชื่อเดียวกันในทั้งสองประเทศ
ความเหมือนในเรื่องนี้ที่ตามมาอีกคือ การเดินทางแสวงบุญข้ามพรมแดน เช่น ชาวอินเดียไปวัด (Pashupatinath) ในกาฐมาณฑุ (Kathmandu) และชาวเนปาลมักนิยมเดินทางไปแสวงบุญที่พาราณสี (Varanasi)
ด้านความต่างในเรื่องนี้ กล่าวได้ว่า อินเดียมีความหลากหลายทางศาสนามากกว่า โดยเฉพาะอิสลามและคริสต์ที่มีอิทธิพลต่ออาหาร การแต่งกาย และศิลปะ ขณะที่เนปาลมีการผสมผสานระหว่างฮินดูและพุทธชัดเจนกว่า
สถาปัตยกรรมในกาฐมาณฑุแสดงถึงการหลอมรวมศาสนา ขณะที่ในอินเดียแต่ละศาสนาค่อนข้างมีอัตลักษณ์ชัดเจนแยกออกจากกัน
[2] ภาษาและวรรณกรรม
อินเดีย มีความหลากหลายด้านภาษาอย่างมาก ภาษาฮินดี (Hindi) ใช้กันกว้างขวาง แต่ภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่น เช่น เบงกาลี (Bengali) ทมิฬ (Tamil) เตลูกู (Telugu) และมราฐี (Marathi) ก็มีบทบาทในวรรณกรรมและการศึกษา วรรณกรรมในอินเดียก็หลากหลายมากไม่ว่าจะเป็นสันสกฤตหรือภาษาท้องถิ่นและภาษาอังกฤษด้วย
เนปาล ใช้ภาษาเนปาลีเป็นทางการ แต่ภาษาท้องถิ่น เช่น เนวารี (Newari) ไมถิลี (Maithili) โภชปุรี (Bhojpuri) และฐะรู (Tharu) ก็สำคัญ วรรณกรรมเนปาลีเช่นผลงานของลักษมี ประสาท เทวโกตา (Laxmi Prasad Devkota) ถือเป็นรากฐานของอัตลักษณ์ชาติ
ความเหมือนที่สังเกตได้ชัด ทั้งสองประเทศให้คุณค่าเรื่องวรรณกรรม มหากาพย์ และตำนานปากเปล่า โดยเฉพาะเรื่องราวจากรามายณะและมหาภารตะ
ความต่างที่พบ อินเดียมีระบบการเมืองที่ให้รัฐใช้ภาษาของตนเองได้มากกว่า ขณะที่เนปาลเน้นการรวมศูนย์ด้วยภาษาเนปาลี
[3] ด้านศิลปะ ดนตรี และการแสดง (นับเป็นองค์ประกอบสำคัญของวัฒนธรรมเช่นกัน)
อินเดีย มีนาฏศิลป์คลาสสิก เช่น ภรตนาฏยัม (Bharatanatyam) กถัก (Kathak) โอดิสสี (Odissi) ดนตรีก็เช่น ฮินดูสตานี (Hindustani) และกรรนาติก (Carnatic) ส่วนภาพยนตร์ก็มีขนาดใหญ่มาก เช่น บอลลีวูด (Bollywood)
เนปาล มีศิลปะการแกะสลักไม้แบบเนวาร์ (Newar woodcarving) ภาพเขียนตังกา (Tanga) และดนตรีพื้นบ้าน เช่น โดโฮรี (Dohori) และสถาปัตยกรรมผสมผสานพุทธ-ฮินดู
ความเหมือนที่เห็นได้ชัด เช่น เพลงบูชาทางศาสนา เครื่องดนตรีร่วม เช่น ตัพลา (Tabla) และการเต้นรำที่อิงตำนานศาสนา
ความต่างที่ชัด ๆ คือ ศิลปะและภาพยนตร์อินเดียแพร่ไปทั่วโลก แต่เนปาลยังคงมีลักษณะเฉพาะท้องถิ่น
[1] ครอบครัวและสังคม
อินเดีย ยังนิยมครอบครัวขยาย แต่ในเมืองใหญ่เริ่มเปลี่ยนเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ระบบชายเป็นใหญ่ยังชัดเจน แต่ผู้หญิงมีบทบาทเพิ่มขึ้นทั้งด้านการศึกษาและการทำงาน
เนปาล ให้คุณค่าเรื่องครอบครัวขยายไม่น้อยเลย โดยเฉพาะในชนบท ระบบวรรณะยังมีผลต่อการแต่งงานและโอกาสทางสังคม
ความเหมือนที่ยังพบเห็นได้คือ การเคารพผู้ใหญ่ การแต่งงานที่ครอบครัวจัดให้ การให้ความสำคัญเรื่องเครือญาติ
ส่วนความต่างคือ อินเดียมีชนชั้นกลางในเมืองที่ขยายตัวเร็วกว่า ขณะที่เนปาลยังพึ่งพาการอพยพแรงงานและเงินส่งกลับจากต่างประเทศมาก
[2] ด้านอาหาร
อินเดีย มีอาหารหลายภูมิภาค เช่น แกงเผ็ดในภาคใต้ ขนมปังที่ทำจากแป้งสาลีในทางเหนือ อาหารทะเลในเบงกอลและเกรฬะ การกินมังสวิรัติก็แพร่หลายเพราะอิทธิพลศาสนา
เนปาล ทานอาหารเรียบง่ายแต่หนักท้อง เช่น Dhal bhat ซึ่งก็คือข้าวกับแกงถั่วเป็นอาหารหลัก ร่วมด้วยโมโมะ (momos) และธิโด (dhido) รวมถึงอาหารทิเบต เช่น ทุกปา (thukpa)
ความเหมือนที่พบได้ในสองประเทศคือ การใช้เครื่องเทศ การกินข้าวเป็นหลัก และการผูกพันอาหารกับเทศกาล
ส่วนความต่างคือ อินเดียมีอาหารที่แพร่สู่ระดับโลก ขณะที่เนปาลยังเป็นอาหารท้องถิ่นมากกว่า
[3] การแต่งกาย
อินเดีย ยังนิยมส่าหรี (saree) ซัลวาร์ กะมีซ (salwar kameez) โธตี (dhoti) ส่วนในเมืองนิยมเสื้อผ้าแบบตะวันตก
เนปาล สำหรับผู้ชายก็ยังเป็นเดารา สุรุวัล (Daura suruwal) ส่วนผู้หญิงก็นิยมกุนโย โจโล (gunyo cholo) สำหรับผู้ชายและผู้หญิงการแต่งกายก็จะเรียกกันว่าเป็นแบบเชอร์ปา (Sherpa) ตามเงื่อนไขภูมิอากาศแบบหิมาลัย
ความเหมือนระหว่างอินเดียกับเนปาล หนีไม่พ้นการใช้ผ้าสีสันสดใสและเครื่องประดับในโอกาสพิเศษ
ส่วนความต่าง จะอยู่ตรงที่อินเดียมีอุตสาหกรรมแฟชั่นโลก แต่เนปาลยังคงสะท้อนอัตลักษณ์ชาติอย่างเด่นชัด
ทั้งสองประเทศต่างมีรากฐานร่วมทางประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรมที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการนับถือศาสนาฮินดูและพุทธที่ผสมผสานกัน เทศกาลและพิธีกรรมที่คล้ายคลึง ตลอดจนโครงสร้างครอบครัวที่ยึดโยงกับค่านิยมเรื่องเครือญาติและความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ความคล้ายคลึงเหล่านี้ทำให้ผู้คนจากทั้งสองประเทศรู้สึกใกล้ชิดกันในเชิงจิตวิญญาณและวัฒนธรรม
ขณะเดียวกันความแตกต่างก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน อินเดียในฐานะประเทศขนาดใหญ่ที่มีประชากรมากที่สุดในโลก มีเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย มีการขยายตัวของเมืองและชนชั้นกลาง ขณะที่เนปาลเป็นประเทศเล็กที่ยังพึ่งพาเกษตรกรรมและเงินส่งกลับจากแรงงานในต่างประเทศมากกว่า
การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองก็แตกต่างกัน อินเดียเป็นประชาธิปไตยขนาดใหญ่ที่มีระบบการเลือกตั้งมั่นคง ส่วนเนปาลเพิ่งเปลี่ยนแปลงจากราชาธิปไตยมาสู่สาธารณรัฐเมื่อไม่นานมานี้ และยังคงอยู่ในกระบวนการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง
ในเชิงสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ความสัมพันธ์เช่นนี้ชี้ให้เห็นว่าความเป็น “ชาติพี่น้อง” มิได้หมายความว่าทั้งสองประเทศจะเหมือนกันไปทุกด้าน ตรงกันข้าม ความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมกลับเน้นให้เห็นความแตกต่างชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ความหลากหลายทางศาสนาและชาติพันธุ์ของอินเดียเมื่อเทียบกับโครงสร้างที่เล็กและเข้มข้นกว่าของเนปาล สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่าอัตลักษณ์ของชาติถูกสร้างขึ้นจากทั้งการรับเอาส่วนร่วมและการเน้นย้ำความแตกต่าง
ในมิติทางภูมิรัฐศาสตร์ อินเดียและเนปาลยังคงมีบทบาทสำคัญต่อกัน อินเดียมองเนปาลเป็นเพื่อนบ้านที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของแถบหิมาลัยและการเชื่อมต่อกับจีน ขณะที่เนปาลก็ต้องพึ่งพาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่เปิดกว้างกับอินเดีย ความสัมพันธ์ดังกล่าวแม้จะเต็มไปด้วยความท้าทายและข้อขัดแย้งในบางช่วงเว
จึงไม่เพียงเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบทางวัฒนธรรมเท่านั้น หากยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค การพัฒนาเศรษฐกิจ การจัดการกับการอพยพแรงงาน และการสร้างสังคมที่ยอมรับความหลากหลาย การตระหนักถึงความเป็น “เครือญาติทางวัฒนธรรม” ของสองประเทศนี้สามารถเป็นพื้นฐานสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการสร้างอนาคตร่วมที่ยั่งยืนในเอเชียใต้
ท้ายที่สุด อินเดียและเนปาลแม้จะเป็นรัฐเอกราชที่มีเส้นแบ่งพรมแดนชัดเจน แต่ผู้คน วัฒนธรรม และวิถีชีวิตยังคงหลอมรวมกันในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนา ศิลปะการแสดง ดนตรี อาหาร หรือประเพณีที่สืบทอดต่อกันมา ความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้ทั้งสองประเทศไม่ใช่เพียงเพื่อนบ้าน แต่เป็น “ครอบครัวทางวัฒนธรรม” ที่แม้จะแตกต่าง แต่ก็ผูกพันกันอย่างลึกซึ้งและยากจะแยกขาดออกจากกัน
•
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio [27 ก.ย.68]
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ