ว่าด้วยอินเดียกับการทูตทางอาหาร
405 views
0
0

เพลง Daal Roti Khao Prabhu Ke Gun Gaao
แปลเป็นไทยตรงตัวคือ กินดาลกับโรตี แล้วขับร้องสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ดาลในที่นี้คือถั่ว เพลงนี้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อ Jwar Bhata ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 1973 คำว่า “Jwar Bhata” ที่เป็นชื่อเรื่องนั้น แปลว่า “น้ำขึ้นน้ำลง” เช่นเดียวกับทุกภาษาก็ว่าได้ การใช้คำแบบนี้คือภาษาภาพพจน์ หรือ figurative language ซึ่งก็จะมีการใช้ในลักษณะอุปมาโดยนัย สัญลักษณ์ หรือการใช้ภาษาแบบจินตภาพ กล่าวอย่างเรียบง่ายคือ ชีวิตก็เปรียบเสมือนน้ำขึ้นน้ำลง มีทั้งช่วงรุ่งเรืองและช่วงตกต่ำ หรือความเจริญสูงสุดและความเสื่อมถอย ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย Adurthi Subba Rao ดารานำคือ Dharmendra, Saira Banu, Sujit Kumar, Nazir Hussain

ที่เราเปิดเพลงนี้ก็เพราะหัวข้อเราเกี่ยวกับอาหาร แต่ก่อนจะเข้าเรื่องก็ควรคุยเรื่องคำว่า “Daal Roti” สักนิดหน่อย ดังที่ได้กล่าวไว้ คำว่า “Daal Roti” ถ้ายึดตามตัวอักษรก็หมายถึง ถั่วกับโรตี แต่คำนี้มีความหมายทั่วไปด้วย นั่นคือ อาหารมื้อพื้นฐานเรียบง่ายเพื่อยังชีพ เหมือนกับประโยคที่ว่า “Bas daal roti mil jaye, kaafi hai” ก็หมายความว่า แค่มีอาหารพื้นฐานพอประทังชีวิตก็เพียงพอแล้ว

การทูตผ่านอาหาร หรือ Gastrodiplomacy (นาที 4.20)

หลายคนมักจินตนาการกันว่า การทูตเป็นโลกอันเคร่งขรึมของสนธิสัญญา หรือการเจรจา และอื่น ๆ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ประเทศต่าง ๆ ก็แข่งขันและร่วมมือกันในมิติทางประสาทสัมผัสเช่นกัน ไม่ว่าจะผ่านภาพถ่าย ดนตรี กีฬา และสำคัญไม่น้อยกว่าสิ่งอื่นใดก็คือผ่านทางอาหารด้วย

การทูตผ่านอาหาร (หรือ “Gastrodiplomacy”) คือการใช้ศิลปะการปรุงอาหารเป็น Soft Power เป็นหนทางในการบอกเล่าเรื่องราวของชาติ กำหนดทัศนคติของสาธารณชนต่างประเทศ สร้างพันธมิตร และแม้กระทั่งขับเคลื่อนตลาดและวาระพหุภาคี

สำหรับอินเดีย ดินแดนแห่งอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ มีเส้นทางการค้าที่ครั้งหนึ่งเคยส่งกลิ่นหอมเครื่องเทศอย่างกระวาน พริกไทย และอบเชยไปทั่วโลก และมีชาวอินเดียโพ้นทะเลที่นำโรตีและสูตรอาหารไปยังทุกทวีป อาหารได้กลายมาเป็นเครื่องมือทางการทูตที่ทรงพลังและจับต้องได้อย่างชัดเจน

รายการวิทยุของเราจะพยายามให้ภาพของการทูตทางอาหารของอินเดีย เน้นไปที่การนำศิลปะการปรุงอาหารมาสอดประสานเข้ากับนโยบายต่างประเทศอย่างมีเจตนา

หลัก ๆ แล้วคือ รายการของเราจะอธิบาย Soft Power ผ่านอาหาร สำรวจเครื่องมือหลักที่อินเดียใช้ ตั้งแต่การจัดเลี้ยงระดับรัฐและเทศกาลของสถานทูต ไปจนถึงมาตรฐานการส่งออก แคมเปญการท่องเที่ยว และโครงการภายใต้องค์การสหประชาชาติ พร้อมกับดูประเด็นด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่มะม่วงไปจนถึงธัญพืชอย่างลูกเดือย พร้อมกันนี้ก็จะวิเคราะห์ความท้าทายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรฐาน และอื่น ๆ

Soft Power ผ่านอาหาร (อินเดีย)

เรื่องอาหารอินเดีย จริง ๆ แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของสายเลือดทางอารยธรรมอินเดีย เรื่องราวด้านอาหารของอินเดียมีมาก่อนการก่อกำเนิดรัฐชาติสมัยใหม่ เครือข่ายทางทะเลโบราณเชื่อมชายฝั่งมาลาบาร์ (the Malabar coast) กับอาระเบีย (Arabia) แอฟริกาตะวันออก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (the Mediterranean)

เครื่องเทศอินเดียไม่ใช่เพียงแค่รสชาติ หากแต่เป็นเสมือน “สกุลเงินทางการทูต” ความหรูหราที่ช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักร พ่อค้า และจักรวรรดิ ศาลหลวงในยุคกลางแสดงอำนาจผ่านงานเลี้ยงที่อิทธิพลเปอร์เซียผสมผสานกับเทคนิคท้องถิ่น ก่อให้เกิดโต๊ะอาหารแบบลูกผสม อันเป็นต้นแบบของจินตภาพ “มุฆไล” (Mughlai) ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันลัทธิล่าอาณานิคมก็ได้ทำให้รสชาติอินเดียแพร่กระจายไปทั่วโลก เช่น ชา ผงกะหรี่ และอาหารแองโกล–อินเดียน และได้วางรากฐานให้กับชุมชนชาวอินเดียโพ้นทะเลอย่างสำคัญด้วย

ตรรกะของ Soft power ผ่านอาหารมีลักษณะ 3 ข้อ ได้แก่
(1) ความเป็นสากล คือทุกคนต้องกินอาหาร ซึ่งสร้างช่องทางเข้าถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้คนได้โดยทันที
(2) ความลึกซึ้งของเรื่องราว นั่นคือ อาหารหนึ่งจานสามารถบรรจุเรื่องราวเกี่ยวกับการเกษตร ศาสนา ภูมิอากาศ การอพยพ ชนชั้นวรรณะ และชนชั้นทางสังคม
(3) ความสามารถในการเกิดซ้ำ คือแตกต่างจากการแสดงเพียงครั้งเดียว ร้านอาหาร เทศกาล และสินค้าที่วางขาย ทำให้เกิดการติดต่อกับสาธารณชนต่างชาติได้อย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน

อินเดียมีข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้าง คือมีความหลากหลายทางอาหารอย่างมหาศาล ตั้งแต่ kahwa จากแคชเมียร์ (Kashmir) ไปจนถึง Tenga จากอัสสัม (Assam) จากวินดาลู (vindaloo) แบบกัว (Goa) ไปจนถึงไก่พริกไทย (Chettinad) ซึ่งความหลากหลายนี้ทำให้อินเดียมีคลังเมนูที่ไม่รู้จบ

ชุมชนชาวอินเดียโพ้นทะเลขนาดใหญ่ก็เป็นผู้ขับเคลื่อนครัวและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ขณะเดียวกันรัฐเองก็มีเครื่องมือเชิงสถาบันหลายด้าน ทั้งด้านวัฒนธรรม ด้านการพาณิชย์ ด้านการท่องเที่ยว ด้านเกษตรกรรม ด้านสาธารณสุข และด้านการต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถปรับเข้าหากันเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านการทูตอาหารได้

คำถามที่ควรถามจึงไม่ใช่ว่าอินเดียมี “พลังอำนาจทางอาหาร” หรือไม่ หากแต่จะจัดระเบียบและส่งสัญญาณอำนาจนั้นอย่างมีประสิทธิภาพในนโยบายต่างประเทศได้อย่างไร

ตรงนี้เราอาจจะต้องพูดถึงเครื่องมือของรัฐบาล หรือกล่าวอย่างเรียบง่ายก็คือ วิธีที่อินเดียใช้อาหารในการทูต

การเลี้ยงรับรองของรัฐและเมนูการประชุมสุดยอด

เมนูอาหารที่ทำเนียบประธานาธิบดี Rashtrapati Bhavan และในงานเลี้ยงอาหารค่ำของการประชุมผู้นำสุดยอด ทำหน้าที่เสมือนสารทางการทูตที่ส่งผ่านด้วยรสชาติ การเลือกสรรเมนูสะท้อนถึงความภาคภูมิใจในท้องถิ่น ความสอดคล้องกับฤดูกาล ความยั่งยืน และการต้อนรับคู่เจรจาเฉพาะราย ธาลี (thali) มังสวิรัติและเมนูที่เน้นลูกเดือย (millets) เน้นย้ำถึงภาวะผู้นำด้านความเป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ ส่วนการลิ้มลองอาหารจากภูมิภาค เช่น คอร์สชายฝั่งที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประเพณี Konkani หรือมาลาบาร์ (Malabar) แสดงถึง “เอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย”

เมื่อจัดขึ้นอย่างพิถีพิถัน มื้ออาหารเหล่านี้สามารถถ่ายทอดเรื่องเล่าเชิงยุทธศาสตร์ของอินเดีย ทั้งความพหุวัฒนธรรม สุขภาพ งานหัตถกรรม และความทันสมัย โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำพูดใด ๆ

ครัวสถานทูต เทศกาล และสัปดาห์อาหาร

คณะทูตอินเดียมักจัดเทศกาลอาหารเป็นประจำ โดยร่วมมือกับโรงแรม โรงเรียนการครัว และรัฐบาลท้องถิ่น ฤดูกาลวัฒนธรรมที่มีตราสัญลักษณ์ “นมัสเต” เช่น ในฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ และอาเซียน ผสมผสานการแสดงนาฏศิลป์ ภาพยนตร์ โยคะ และอาหารภูมิภาคของอินเดีย

งานเหล่านี้ทำหน้าที่ 3 ประการในเวลาเดียวกัน ได้แก่
(1) สร้างความปรารถนาดีในหมู่สาธารณชนต่างชาติ
(2) เชื่อมโยงผู้ผลิตชาวอินเดียกับผู้จัดจำหน่ายและเชฟ
(3) มอบเนื้อหาที่ถ่ายรูปได้สวยงามให้สื่อเผยแพร่ต่อไปไกลเกินกว่าสถานที่จัดงาน

การทูตผ่านการท่องเที่ยว หรือ “Incredible India” และเส้นทางอาหารก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง

การตลาดด้านการท่องเที่ยวของอินเดียในปัจจุบันมักนำเสนอเส้นทางอาหารมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เส้นทางไฮเดอราบาดีบิรยานี (Hyderabadi biryani) การเดินชิมชาต่าง ๆ ในย่านโอลด์เดลี การตักเหล้าตาล (toddy-tapping) ในมลรัฐ Kerala ไร่ชาในอัสสัม สวนเครื่องเทศในมลรัฐ Karnataka ไปจนถึงทัวร์ไร่องุ่นในนาสิก (Nashik)

ข้อความที่สื่อถึงนักท่องเที่ยวและนักลงทุนคือสองประการพร้อมกัน นั่นคือ
(1) อินเดียคือทั้งจุดหมายปลายทาง
(2) ฐานการผลิต สถานที่ที่มรดกทางอาหารมาบรรจบกับการต้อนรับสมัยใหม่และโอกาสทางธุรกิจการเกษตร

วิธีที่ใช้มาตรฐานการส่งออก สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ และการสร้างแบรนด์สินค้าเกษตร ก็เป็นวิธีที่น่าสนใจไม่น้อย

Soft Power ย่อมเปราะบางหากปราศจากระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแรง มาตรการด้านคุณภาพของหน่วยงานสำคัญ การลงทุนในห่วงโซ่ และการสร้างแบรนด์สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์

เช่น ชา Darjeeling, ข้าว Basmati, มะม่วงอัลฟอนโซ Alphonso, ส้ม Coorg, พริกไทยมาลาบาร์ ล้วนเป็นรากฐานที่สร้างความน่าเชื่อถือให้อาหารอินเดียในต่างประเทศ ฉลาก GI หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ เชื่อมโยงรสชาติและถิ่นกำเนิด ปกป้องชื่อเสียง และช่วยให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถคว้าราคาพรีเมียมได้ คณะผู้แทนการค้าของรัฐบาลมักจัด “ห้องชิม” ควบคู่กับการสนทนาทางนโยบาย เพื่อให้การเจรจาทางเทคนิคกลายเป็นประสบการณ์ที่รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส

การทูตอาหารพหุภาคี: กรณีของลูกเดือย (Millets)

หมุดหมายสำคัญของการทูตอาหารอินเดียในระยะหลังคือการผลักดัน “ลูกเดือย” ซึ่งก็คือธัญพืชโบราณที่ทนแล้งให้เป็นทางออกระดับโลกในด้านสุขภาพ ภูมิอากาศ และความมั่นคงทางอาหาร

อินเดียผลักดันจนได้รับการยอมรับในระดับสหประชาชาติ และบูรณาการลูกเดือยไว้ในเมนูการประชุมสุดยอด เทศกาลของสถานทูต อาหารในโรงเรียน และการเล่าเรื่องเชิงการส่งออก อินเดียจึงผสานการเป็นผู้ประกอบสร้างบรรทัดฐาน ผลักดันคุณค่าใหม่ระดับโลกเข้ากับการทูตการค้า เปิดตลาด “ศรีอันนา” (Shree Anna)

นี่คือตัวอย่างของการใช้อาหารเชื่อมโยงเป้าหมายการพัฒนาภายในประเทศ ทำให้มีเกษตรกรมีรายได้พร้อมกับการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเข้ากับการสร้างภาพลักษณ์นโยบายต่างประเทศในฐานะผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม

การทูตผ่านชาวอินเดียโพ้นทะเลและการแลกเปลี่ยนเชฟก็น่าสนใจไม่น้อย

รัฐบาลใช้ประโยชน์จากร้านอาหารที่ดำเนินการโดยชาวอินเดียโพ้นทะเล ให้ทำหน้าที่เสมือนทูตไม่เป็นทางการ พร้อมสนับสนุนโครงการพำนักของเชฟและทุนการศึกษาด้านการทำอาหาร ที่ส่งเชฟชาวอินเดียไปต่างประเทศ และเชิญเชฟต่างชาติมายังอินเดีย การแลกเปลี่ยนเหล่านี้สร้างเครือข่ายวิชาชีพที่คงอยู่ยาวนานเกินกว่างานเทศกาล ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคนิค ความต้องการสินค้า เช่น เครื่องเทศ ชา ลูกเดือย และการนำเสนอเชิงบวกในสื่อมวลชน

นอกเหนือจากลูกเดือย เรื่องราวเชิงสัญลักษณ์ที่ประสบความสำเร็จไม่น้อยก็เช่นเรื่องราวเกี่ยวกับมะม่วง เครื่องเทศ และลูกเดือย

ไม่มีผลไม้ชนิดใดสะท้อนถึงเอกลักษณ์ดินแดนอินเดียได้ชัดเจนเท่ามะม่วง การเข้าถึงตลาดของพันธุ์เฉพาะ การจัดชิมในวาระการเจรจายุทธศาสตร์ทำให้มะม่วงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ

“Nuclear mango” กลายเป็นคำย่อแทนช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์อินเดีย–สหรัฐอเมริกาดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การทูตมะม่วงยังแสดงบทเรียนสำคัญ นั่นคือ Soft Power เชิงสัญลักษณ์จะเสื่อมสลายอย่างรวดเร็ว หากข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับ และความน่าเชื่อถือของห่วงโซ่ยังล้าหลัง บทบาทของรัฐคือการเชื่อม เรื่องเล่า (มรดก) เข้ากับ มาตรฐาน (ความน่าเชื่อถือ) เพื่อให้การส่งออกเชิงการทูตไม่ใช่การเสี่ยงโชค แต่คือการรับประกัน

ในต่างประเทศ “อาหารอินเดีย” มักถูกทำให้ลดเหลือเพียง “แกงกะหรี่” ซึ่งบดบังสายธารอาหารภูมิภาคนับสิบ รวมถึงอาหารที่มาจากภูมิภาคหรือชาติพันธุ์ เช่น Awadhi, Rajasthani, Parsi, Manipuri, Kumaoni, Kodava, Moplah, Bohra, Bodo และอีกมากมาย

การทูตอาหารของรัฐบาลอินเดียได้เปลี่ยนความหลากหลายให้เป็นยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง

การจัดแสดงอาหารภูมิภาคที่สถานทูต การเล่าเรื่อง GI และเมนูที่จับคู่ เช่น ซุปกันดรุคของสิกขิม (Sikkimese gundruk soup) กับ ไอศกรีมโกกุมของกัว (Goan kokum sorbet) แต่ละการคัดสรรสอนให้ผู้คนเข้าใจว่าอัตลักษณ์อาหารอินเดียคือแบบสหพันธ์รัฐและตามฤดูกาล ไม่ใช่สิ่งตายตัวแบบใดแบบหนึ่ง

หลายประเทศใช้อาหารเป็น Soft Power ไทยมี “Global Thai” เกาหลีใต้มี “Hansik” ญี่ปุ่นมี “Washoku” และเปรูมีการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ความได้เปรียบของอินเดียอยู่ที่ ขนาดและความหลากหลาย ความลึกของชุมชนพลัดถิ่น และเรื่องเล่าความยั่งยืน (ลูกเดือย เมนูที่เน้นพืช ความหลากหลายของเครื่องเทศ) ขณะที่ประเทศอื่นมักนำเสนอภาพอาหารชาติเดียว อินเดียสามารถหมุนเวียนภูมิภาคต่าง ๆ มาเป็นจุดเด่น สร้างทั้งความสดใหม่และความแท้จริงในระยะยาว

ไทยเราต้องเริ่มมียุทธศาสตร์ด้านอาหารที่ดีกว่านี้ไหม นี่ย่อมเป็นคำถามสำคัญ

รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio [13 ก.ย.68]
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ