ฟอน วิลเลียมส์ เป็นชาวอังกฤษ ถิ่นพำนักอาศัยเป็นประเทศเกาะ แวดล้อมไปด้วยท้องน้ำอันไพศาลของทั้งทะเลและมหาสมุทร และเช่นเดียวกับศิลปินอังกฤษหลากหลายสาขา ที่ได้รับแรงบันดาลใจและเรียนรู้ปริศนาธรรมต่างๆ จากห้วงน้ำอันยิ่งใหญ่
ฟอน วิลเลียมส์ เป็นชาวอังกฤษ ถิ่นพำนักอาศัยเป็นประเทศเกาะ แวดล้อมไปด้วยท้องน้ำอันไพศาลของทั้งทะเลและมหาสมุทร และเช่นเดียวกับศิลปินอังกฤษหลากหลายสาขา ที่ได้รับแรงบันดาลใจและเรียนรู้ปริศนาธรรมต่างๆ จากห้วงน้ำอันยิ่งใหญ่
ฟอน วิลเลียมส์ ประพันธ์ A Sea Symphony สำหรับนำเสนอเป็นเพลงเอกในงานเทศกาลดนตรีเมืองลีดส์ (Leeds Music Festival) ปี ค.ศ. 1910 โดยตัวท่านเป็นผู้อำนวยเพลง ในการแสดงรอบปฐมฤกษ์ของเพลงนี้เอง การแสดงประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น และได้รับการยกย่องว่าเป็น Sea Music ที่ยอดเยี่ยมที่สุดชุดหนึ่งของอังกฤษ
ซิมโฟนี้บทนี้มีความอลังการและมหึมาพอๆกับห้วงมหาสมุทรเลยทีเดียว กำหนดให้นำเสนอด้วยการขับร้องเดี่ยว ร้องคู่ การขับร้องประสานเสียง และบรรเลงประกอบด้วย วงดุริยางค์ขนาดใหญ่ สำหรับเนื้อร้องนั้น ฟอน วิลเลียมส์ ใช้บทกวีเกี่ยวกับท้องทะเลหลายบทของ วอลท์ วิทแมน กวีเอกชาวอเมริกัน ประกอบด้วยกระบวนเพลง 4 กระบวน เหมือนกับโครงสร้างของเพลงประเภทซิมโฟนี
กระบวนแรก มีชื่อว่า ‘บทเพลงแห่งท้องทะเลและนาวาน้อยใหญ่’ (A Song for All Seas and All Ships) บทนี้เป็นบทสรรเสริญท้องทะเลและเรือเดินทะเลใหญ่น้อยสัญชาติต่างๆ รวมทั้งชาวเรือทั้งหลายที่ใช้ชีวิตเดินทาง ท่องเที่ยวและทำงานด้วยใจหาญกล้าบนท้องน้ำ
ท่อนแรกนี้แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกเป็นบทประสานเสียงของคณะนักร้องกลุ่มใหญ่ บรรเลงประกอบด้วยวงดุริยางค์ พลังดนตรีจากทุกกลุ่มให้เสียงดังกึกก้อง พวกเขาวาดภาพแรกอันยิ่งใหญ่ของท้องทะเลอันไพศาล พร้อมด้วยเรือเดินทะเลที่ลอยลำเข้าออกท่า มุ่งสู่ท้องทะเลที่กระเพื่อมไหวเป็นระลอกขึ้นลงตลอดเวลา
ช่วงกลาง เป็นบทร่ายเสียงเดี่ยวบาริโทน ขับร้องและบรรเลงประกอบด้วยคณะนักร้องประสานเสียงและวงดุริยางค์ ช่วงนี้บทร้องกล่าวสรรเสริญเรือและชาวเรือทั้งหลายซึ่งเป็น ลูกทะเล พวกเขาเป็นวีรบุรุษผู้กล้าที่พวกเราก็อาจลืมไปไม่ค่อยมีใครนึกถึง
ช่วงท้ายของกระบวนแรก นำเข้ามาด้วยเสียงเดี่ยวโซปราโน ตามด้วยบทขับร้องประสานเสียง ปิดท้ายกระบวนแรก ด้วยบทขับขานของเสียงเดี่ยวโซปราโน เสียงเดี่ยวบาริโทน คณะนักร้องประสานเสียงและวงดุริยางค์ ผนึกกำลังกันกล่าวถึง เรือเดินทะเลที่ชักธงประจำเรือ แลเห็นเป็นทิวปลิวไสวเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของมนุษย์ผู้กล้า ที่ต่างทำงานทำหน้าที่ของตนอยู่อย่างแข็งขัน ธงเหล่านี้โบกสะบัดเพื่อแสดงความคารวะแด่ ท้องทะเล เรือเดินทะเลและชาวเรือทั้งหลาย
กระบวนสอง มีชื่อว่า ‘เดียวดายบนชายหาด’ (On the Beach at Night Alone) บทนี้เป็นท่อนช้าแบบเพลงราตรี (Nocturn) ที่ฉายให้เห็นภาพของกวีหรือผู้ขับร้อง ยืนอยู่ตามลำพังบนชายหาดในยามราตรี เมื่อมองออกไปยังท้องน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล เขาก็แลเลยไปเห็นเหล่าดวงดาราที่ดารดาษอยู่บนท้องฟ้า อาณาจักรแห่งดวงดาวนี้ดูจะยิ่งใหญ่แผ่ออกไปกว้างขวางกว่าอาณาจักรแห่งท้องน้ำเสียอีก ความไพศาลของท้องน้ำและท้องฟ้า ทำให้เขาครุ่นคำนึงถึงห้วงจักรวาลอันยิ่งใหญ่ที่โอบอุ้มเอาชีวิตทุกชีวิต ดวงวิญญาณทุกดวง และประเทศชาติทั้งหลายเข้าด้วยกัน
ท่อนช้านี้เป็นบทขับร้องเดี่ยวเสียงบาริโทน ขับร้องและบรรเลงประกอบด้วยคณะนักร้องประสานเสียงและวงดุริยางค์
กระบวนสาม มีชื่อว่า ‘คลื่น’ (Waves) เป็นบทขับขานของคณะนักร้องประสานเสียงและวงดุริยางค์ เป็นบทที่ว่องไวมีชีวิตชีวา บรรยายภาพของท้องทะเลที่ปั่นป่วนเคลื่อนไหวตลอดเวลาด้วยเกลียวคลื่นและฟองคลื่น ที่สอดรับสัมพันธ์กับสายลม และเหล่านาวาที่ลอยลำอยู่บนท้องทะเล
กระบวนสุดท้าย มีชื่อว่า ‘นักสำรวจ’ (The Explorers) บทนี้เป็นบทส่งท้าย (Finale) ที่ทรงพลัง ยิ่งใหญ่มาก โครงสร้างเพลงแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกเป็นบทขับร้องประสานเสียง ตามด้วยบทร้องคู่ของเสียงเดี่ยวโซปราโนและบาริโทน สมทบด้วยคณะนักร้อง ปิดท้ายด้วยการผนึกกำลังของนักร้องนักดนตรีทุกชีวิตบนเวที
กระบวนส่งท้ายนี้ เป็นบทครุ่นคำนึงในเชิงปรัชญาอันล้ำลึก กวีเปรียบเทียบห้วงน้ำอันไพศาลราวกับห้วงจักรวาล ชวนให้เรานึกย้อนกลับไปไกลถึงปฐมกาล เมื่อพื้นพิภพและมนุษยชาติก่อกำเนิดขึ้นมาในห้วงจักรวาลอันเวิ้งว้างว่างเปล่า
เมื่อพิภพถือกำเนิดขึ้นแล้ว ก็ตามติดมาด้วยความงดงามและพลังอำนาจของสิ่งต่างๆ เช่น แสงสว่างและความมืดมิด ทิวาและราตรี ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาราบนฟากฟ้า เบื้องล่างลงมาก็มีต้นไม้ใบหญ้าและท้องธารา เหล่านี้ล้วนก่อกำเนิดและดำรงอยู่อย่างมีจุดประสงค์ และมีเจตจำนงอันเป็นปริศนาของตนเอง
จากมนุษย์คู่แรก คือ อดัมและเอวา มนุษยชาติก็บังเกิดพลังแห่งความตั้งใจ พลังความกระหายใคร่รู้ พวกเราจึงเปรียบเสมือนเป็นนักสำรวจ นักผจญภัย พวกเราตั้งคำถามและเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ใจในสิ่งต่างๆ หัวใจและดวงวิญญาณของพวกเราไม่เคยเป็นสุข เราสงบนิ่งไม่ได้ เพราะธรรมชาติของความใคร่รู้และความเป็นนักสำรวจ ด้วยเหตุนี้อารยธรรมทั้งหลายของมนุษย์จึงก่อกำเนิดตามมา
ในช่วงกลางเพลง นักร้องเดี่ยวทั้งสองหวนกลับมาที่ท้องทะเลและเรือที่ลอยลำอยู่ พวกเขาเปรียบเทียบการเดินทางของเรือในท้องทะเล ว่าเหมือนการเดินทางของจิตวิญญาณที่ออกสำรวจไปในห้วงนิรันดร์อันไพศาล
ช่วงท้าย คณะนักร้องประสานเสียงจึงกล่าวสรุปว่า เรือและชาวเรือ ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเรา ที่เปรียบเสมือน ร่างกายและจิตวิญญาณ ที่ออกเดินทางท่องเที่ยวสำรวจไปในห้วงจักรวาลของพระผู้สร้างผู้ทรงมหิทธานุภาพ
ช่วงท้าย เสียงเพลงจะค่อยๆสงบนิ่ง ฟังห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ราวกับภาพของเรือหรือจิตวิญญาณของมนุษย์ ที่กำลังลอยลำห่างออกไปไกลอย่างสง่างาม แล้วค่อยๆลับหายไปจากสายตา
ขอเชิญดื่มด่ำไปกับ ‘บทเพลงแห่งท้องทะเล’ ดังที่พรรณนามา ในคืนวันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม ที่จะถึงนี้