วันที่ 5 ธันวาคม 2562
มีการยื่นหมูยื่นแมว (Quid Pro Quo) ดังที่กล่าวหาจริงหรือไม่ ในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและยูเครน
• การไต่สวนสาธารณะเพื่อถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ โดยพิจารณาว่าสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ทำลงไปเข้าข่าย High crimes and misdemeanors หรือไม่
• การไต่สวนสาธารณะ องค์คณะไต่สวนประกอบด้วยพรรครีพับลิกันและเดโมแครต
• เปิดคำให้การของพยานคนสำคัญ (จาก 12 คน) ซึ่งทำลายความน่าเชื่อถือของทรัมป์ พยานที่ไม่ได้มาจากพรรคฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นคนที่ประธานาธิบดีทรัมป์แต่งตั้ง และเป็นข้าราชการรัฐระดับสูง
• พยานคนสำคัญที่ให้การจนดูเหมือนว่าประธานาธิบดีทรัมป์ไม่รอดแน่ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
____________________
High crimes and misdemeanors
คำนี้มีความหมายพิเศษในรัฐธรรมนูญของสหรัฐ หมายถึงผู้ที่ดำรงตำแหน่งสาธารณะกระทำการใดแล้วทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ไว้วางใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นโทษอาญา โทษที่ทำแล้วขัดกับระบอบการปกครองของประเทศ เช่น ประธานาธิบดีใช้อำนาจในทางที่มิชอบ ก็เข้าข่าย
Quid Pro Quo (ภาษาละติน)
= ยื่นหมูยื่นแมว = Something for something
สิ่งนี้ไม่ผิดถ้าทำเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ แต่ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง
____________________
ประธานาธิบดีทรัมป์ถูกกล่าวหาว่า ได้สั่งให้มีการระงับการให้ความช่วยเหลือทางทหารต่อยูเครนไว้ก่อน เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน กดดันให้ผู้นำยูเครนทำการตรวจสอบกรณีคอร์รัปชันของลูกชายอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ โจ ไบเดน (ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมือง) เพื่อใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือช่วยหาเสียงเลือกตั้งปี 2020
หัวใจสำคัญคือ ประธานาธิบดีสหรัฐกำลังเชื้อเชิญให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงนโยบายต่างประเทศ แสดงถึงการใช้อำนาจในทางที่ผิด และติดสินบนด้วยเงินของแผ่นดิน เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวทางการเมือง
1. การไต่สวนสาธารณะครั้งนี้นอกจากเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณะได้รับรู้ ยังสะท้อนให้เห็น กระบวนการประชาธิปไตยแบบอเมริกันที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีการถ่วงดุลกันระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ
2. พยานที่มาให้ปากคำ ส่วนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยหลักการไม่น่ายอมมาให้การเพื่อเป็นโทษกับเจ้านายของตัวเอง แต่ปรากฏว่า พวกเขาให้ความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ เพื่อความถูกต้อง ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐต้องทำเพื่อประชาชนและประโยชน์ของประเทศ ไม่ยอมทำสิ่งที่ไม่ถูกแม้จะเป็นนโยบายจากประธานาธิบดี (ผู้บังคับบัญชา) ก็ตาม
จุดเริ่มจากเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง (จากหน่วยข่าวกรอง) ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เขาได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่รัฐหลายคนว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังใช้อำนาจหน้าที่ของตำแหน่งประธานาธิบดีดึงต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งปี 2020
**คนที่ออกมาแฉหรือให้ข้อมูล (Whistleblower) ในครั้งนี้เป็น "ข้าราชการของรัฐ" ไม่ได้มาจากนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม
[ในระบบการเมืองสหรัฐ มีกฎหมายที่เรียกว่า Whistleblower Protection Law กฎหมายที่ปกป้องคนที่แจ้งเบาะแส โดยไม่มีผลร้ายต่อคนที่มาเปิดเผย แต่ถ้าถูกจับได้ว่าให้การเท็จจะมีความผิดอาญา]
เมื่อก่อนยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย ยูเครนก็แยกตัวออกมาจากรัสเซีย รัสเซียจึงรุนรานประเทศนี้โดยสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดนของยูเครนและกำลังทำสงครามกันอยู่ ดังนั้นยูเครนจึงต้องพึ่งความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐ ซึ่งพรรคการเมืองสหรัฐทั้งสองพรรคเห็นพ้องที่จะให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนและสภาก็อนุมัติแล้ว แต่ประธานาธิบดีทรัมป์กลับยับยั้ง ซึ่งผิดกฎหมาย
คณะกรรมการยุติธรรมของสภาผู้แทนราษฎรจะสรุปข้อกล่าวหาประธานาธิบดีทรัมป์ว่า
1. ใช้อำนาจในทางมิชอบหรือไม่
2. ติดสินบนหรือไม่
3. ขัดขวางกระบวนการยุติธรรมหรือไม่
ก่อนให้สภาสูงทำหน้าที่ตัดสินต่อไป
มีคนเตือนพรรคเดโมเครต การไต่สวนครั้งนี้อาจเกิด Negative impact กับพรรคเดโมแครต และส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งปี 2020 เพราะ
1. แทนที่จะเอางบประมาณไปทำอย่างอื่น กลับเอามาลงกับกระบวนการไต่สวนนี้
2. ฐานเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์ยังหนาแน่น การที่พรรคเดโมเครตทำเช่นนี้อาจยิ่งกระตุ้นให้คนออกมาสนับสนุนทรัมป์ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป
สมาชิกพรรคเดโมแครตออกมาแสดงความเห็นว่า ถ้าเราคิดแบบนี้และไม่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เราจะบอกคนรุ่นลูกรุ่นหลานได้อย่างไร แม้แต่สมาชิกพรรครีพับลิกันเองก็ตาม ถ้าเห็นประธานาธิบดีจากพรรคเดโมเครตทำเช่นนี้ก็คงรีบดำเนินการถอดถอดเหมือนกัน
พรรครีพับลิกันเองต้องไม่ลืมว่าตัวเองเป็นเจ้าหลักการ ชอบพูดเรื่องจริยธรรม แต่เรื่องนี้ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกเสแสร้ง พวกตัวเองทำไม่ผิด แต่พอเป็นพรรคฝ่ายตรงข้ามกลับทำไม่ได้ เปรียบเทียบเมื่อครั้งอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน (พรรคเดโมแครต) ที่ดำเนินการถอดถอน ทั้งที่คดีต้นเรื่องคือการพูดโกหกจากกรณีสัมพันธ์ชู้สาวในทำเนียบขาว ไม่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติสักนิด แน่นอนว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่ถ้าเทียบกับการกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศ ความผิดนี้ต่างกันเยอะ
ถ้าครั้งนี้พรรครีพับลิกันลงคะแนนเสียงว่าทรัมป์ไม่ผิด ก็ให้ประวัติศาสตร์เป็นตัวตัดสินว่าพฤติกรรมแท้จริงของพรรครีพับลิกันเป็นอย่างไร
แม้หลักฐานดูเหมือนแน่นหนา แต่พรรคเดโมแครตเองก็รู้ โอกาสที่นำไปสู่การถอดถอนค่อนข้างยาก แต่ถ้าเราทำสิ่งที่ถูก ผลลัพธ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไรก็ต้องยอมรับ ไม่อย่างนั้นต่อไปบรรทัดฐานก็ไม่มี ประธานาธิบดีทำอะไรก็ไม่ผิด ต่อไปรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการถอดถอนก็คงไร้ความหมาย

รายการรัฐศาสตร์สู่สังคม
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู และ ผศ.ดร.ปราณี ทิพย์รัตน์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย