75 ปีรัฐธรรมนูญอินเดีย : สดมภ์แห่งเอกภาพและความเจริญรุ่งเรือง (ตอนที่ 2)

- ปกิณกะอินเดีย

รับฟังเสียง


75 ปีรัฐธรรมนูญอินเดีย : สดมภ์แห่งเอกภาพและความเจริญรุ่งเรือง (ตอนที่ 2)

เพลง Kal Ho Naa Ho
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง Kal Ho Naa Ho ออกฉายในปี ค.ศ. 2003 กำกับโดยนิขิล อัทวานี (Nikhil Advani) อำนวยการผลิตโดยยัศ โจฮาร์ (Yash Johar) ดารานำภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แก่ ชายา พัจจัน (Jaya Bachchan) ชาห์ รุค ข่าน (Shah Rukh Khan) ซัยยิฟ อะลี ข่าน (Saif Ali Khan) และปรีติ ซินตา (Preity Zinta) ภาพยนตร์เรื่องนี้นับเป็นภาพยนตร์ฮินดีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 21 เลยก็ว่าได้

เพลงนี้ขับร้องโดยโสนุ นิคม (Sonu Nigam) เนื้อร้องประพันธ์โดยชาเวท อัคตาร์ (Javed Akhtar) ซึ่งเป็นมือแต่งเนื้อร้องระดับปรมาจารย์ของอินเดีย คำว่า “Kal Ho Naa Ho” จริง ๆ ก็เป็นสุภาษิต “Kal Ho Naa Ho” แปลเป็นไทยก็จะประมาณว่า “จะมีวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็ไม่รู้”

สำหรับหลายคนที่เคยบอกผมว่าอยากให้รายการเราเปิดเพลงดังของอินเดียเพราะชอบฟังนั้น คนเหล่านี้ก็ขอมาด้วยว่า ถ้าเป็นไปได้ เมื่อเปิดเพลงแล้ว ก็อยากให้แปลเป็นไทยให้ด้วย เราคงแปลเพลงทั้งหมดไม่ได้แน่ วันนี้จะขอแปลแค่หอมปากหอมคอเท่านั้น

Har ghadi badal rahi hai roop zindagi
ทุกช่วงเวลาชีวิตเปลี่ยนแปลงเสมอ
Chaon hai kabhi, kabhi hai dhoop zindagi
บางครั้งก็มีร่มเงา บางคราก็มีแสงแดด
Har pal yahan jee bhar jiyo
ใช้ชีวิตทุกช่วงเวลาที่มีให้เต็มที่
Joh hai samaan kal ho naa ho
ช่วงเวลาแบบนี้พรุ่งนี้อาจจะไม่มีก็ได้

75 ปีรัฐธรรมนูญอินเดีย : สดมภ์แห่งเอกภาพและความเจริญรุ่งเรือง (นาที 5.10)
หัวข้อวันนี้เป็นตอนที่สองของสัปดาห์ก่อน ซึ่งครั้งก่อนเราพูดถึงสารัตถะอันสละสลวยที่มาจากการกล่าวรายงานของ รองศาสตราจารย์ ดร.ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคำกล่าวต้อนรับของ รองศาสตราจารย์ ดร. ปาลนี ศรีอมรานนท์ รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ครั้งนี้เราจะพูดถึงสาระสำคัญของการกล่าวปาฐกถาของอีก 4 คน คือ
(1) นายนาเกช ซิงห์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย
(2) ดร.พูยา ทริปาทิ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดสมุทรปราการ
(3) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิยณัฐ สร้อยคำ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ผู้ช่วยอธิการบดี และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาอินเดีย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
(4) ศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
(1) นายนาเกช ซิงห์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย
ท่านทูตอินเดียมาแรงมาก มาแรงด้วยความขมขื่น มาแรงด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ และมาแรงด้วยความภาคภูมิใจในรัฐธรรมนูญของตน

ท่านทูตเริ่มต้นด้วยว่าวันที่ 26 พฤศจิกายน สำคัญสำหรับอินเดียอย่างไร เพราะเป็นวันที่อินเดียมีรัฐธรรมนูญฉบับของตน ก่อนจะนำมาใช้ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1950

ท่านทูตกล่าวต่อว่า ความยุติธรรม เสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพท่ามกลางความหลากหลายในด้านต่างๆ รวมถึงขนาดของประเทศ ในวันนั้นไม่มีใครเชื่อว่าอินเดียจะมีประชาธิปไตยได้

ตรงนี้แหละที่ท่านทูตได้ยกคำพูดของ วินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ผู้ได้รับฉายามากมาย รวมถึงวีรบุรุษแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ทราบเหมือนกันว่า ที่ท่านทูตเลือกคำกล่าวของตนด้วยการอ้างถึงเชอร์ชิลนั้น เป็นเพราะ ณ ขณะนี้กำลังมีภาพยนตร์ Churchill at War ฉายทาง Netflix 4 ตอนหรือไม่

ท่านทูตยกคำพูดของเชอร์ชิลที่กล่าวต่อประชาธิปไตยอินเดีย ขอแปลเป็นไทยว่า “อำนาจจะตกไปอยู่ในมือของพวกคนชั่ว พวกอันธพาล พวกโจร ผู้นำอินเดียทุกคนจะมีความสามารถต่ำและเป็นพวกอ่อนแอปวกเปียก พวกเขาจะปากหวานและเป็นคนโง่ พวกเขาจะต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจ และอินเดียจะพ่ายแพ้ในการทะเลาะวิวาททางการเมือง วันหนึ่งจะมาถึงเมื่อแม้แต่อากาศและน้ำจะต้องเสียภาษีในอินเดีย”

คำกล่าวของเชอร์ชิลที่ท่านทูตยกมานั้น ก็ยังมีคนเห็นต่าง บางคนที่ปกป้องเชอร์ชิลก็บอกว่าไม่ได้กล่าวเช่นนั้น ในขณะเดียวกันก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า มีวรรณกรรมด้วยที่ระบุว่าเชอร์ชิลเป็นคนเหยียดเชื้อชาติ

เห็นได้จากสีหน้าของท่านทูตอินเดีย ฟังได้จากน้ำเสียงด้วยว่า อินเดียได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า จะเริ่มจากศูนย์ก็ตามเถิด อินเดียก็มีประชาธิปไตยเป็นของตนเอง และขอให้เชอร์ชิลนอนหลับพักผ่อนเป็นอมตนิรันดรกาล

หลังจากนั้นท่านทูตก็พาเราเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยของอินเดียในปัจจุบัน ที่มีรัฐธรรมนูญอินเดียเป็นหนังสือสำคัญของประเทศในการกำหนดกฎกติกาไว้เกือบทั้งหมด ท่านกล่าวถึงผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่มีมากเกือบ 1 พันล้านคน และการนับคะแนนเสียงของอินเดียก็ทำกันเสร็จในระยะเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งในประเด็นนี้ท่านทูตก็อ้างถึง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ที่ตำหนิความล่าช้าในการนับคะแนนในแคลิฟอร์เนีย พร้อมกับชื่นชมการนับคะแนนการเลือกตั้งของอินเดีย คืออินเดียนับคะแนนเสียงทั้งหมด 640 ล้านคนภายในวันเดียว

หลังจากนั้นท่านทูตก็กล่าวต่อว่า การมีประชาธิปไตยหลายคนอาจจะมองเป็นเรื่องใหม่สำหรับอินเดีย แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ สารัตถะสำคัญอันเกี่ยวกับประชาธิปไตยฝังลึกในอารยธรรมอินเดีย โดยยกตัวอย่างสภาสงฆ์ (Sangha Council)

ท่านทูตเน้นย้ำด้วยว่า รัฐธรรมนูญอินเดียเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอินเดียเป็นประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อผู้คนจำนวนมากอยู่ร่วมกันภายใต้รัฐธรรมนูญ ย่อมมีผลด้านสันติภาพต่อโลกอย่างสำคัญ ดังนั้นไม่ว่าจะดูที่ผลผลิตของรัฐธรรมนูญที่วันนี้มีผลดีมากมาย หรือจะดูที่กระบวนการต่าง ๆ รวมถึงการเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความยืดหยุ่นโดยเฉพาะแก้ไขได้ง่าย แต่เป็นฉบับเดียวมาโดยตลอดนั้น ควรค่าแก่การทำความเข้าใจอย่างยิ่งยวด ทั้งนี้ต้องไม่ลืมด้วยว่านายกรัฐมนตรีของอินเดียทุกคนต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ นางอินทิรา คานธี (Indira Gandhi) เคยประกาศภาวะฉุกเฉินในปี ค.ศ. 1975 แต่ท้ายที่สุดเธอก็ต้องพ่ายแพ้ต่อประชาธิปไตย

ท่านทูตปิดท้ายด้วยกล่าวว่า ดีใจมากที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล มองเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้แทบจะเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งของมนุษยชาติเลยก็ว่าได้
(2) ดร.พูยา ทริปาทิ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดสมุทรปราการ
ดร.พูยา ใช้หัวข้อว่า “วิวัฒนาการและความสำคัญของรัฐธรรมนูญอินเดีย” ท่านผู้พิพากษามีหลายประเด็นที่น่าสนใจ แต่ประเด็นสำคัญที่สกัดมาได้ 4 ข้อ ดังนี้

1. ความพยายามในการมีรัฐธรรมนูญเพื่อใช้ในการปกครองประเทศนั้น เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ประเทศอินเดียจะได้รับเอกราช

2. สภาพความเป็นอยู่ของประชากรของประเทศก็ไม่สู้ดีนัก คนจำนวนมากไม่มีการศึกษา กระบวนการมีมากมายและต้องรอคอยเพื่อให้มีรัฐธรรมนูญที่ยั่งยืน เปรียบเหมือนสุภาษิตที่ว่า กรุงโรมไม่ได้สร้างขึ้นมาในวันเดียว

3. รัฐธรรมนูญอินเดียก็ได้รับการออกแบบให้แก้ไขง่าย เพื่อให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ตราบจนทุกวันนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า มีการแก้ไขมาตราต่าง ๆ มากว่าหนึ่งร้อยครั้งแล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามเจตจำนงของผู้ร่วมร่างรัฐธรรมนูญ นั่นคือ ให้สอดคล้องกับบริบทสังคมอินเดียตามกาลเวลา

4. ด้วยเหตุที่กล่าวมา จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเฉลิมฉลองและร่วมยินดีในวันรัฐธรรมนูญจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อรำลึกถึงผู้ที่ได้เสียสละและอุทิศตนรวบรวมวิชาความรู้ที่แต่ละท่านมีจัดทำกฎหมายสูงสุดของประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ตัดสิทธิอนุชนคนรุ่นหลังให้สามารถแก้ไขปรับปรุงหลักการหรือบทบัญญัติต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสมเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ
(3) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิยณัฐ สร้อยคำ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ผู้ช่วยอธิการบดี และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาอินเดีย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
คนนี้ก็ไม่เบา อาจารย์ปิยณัฐตั้งชื่อหัวข้อปาฐกถาของตนว่า “มองรัฐ สังคม และนโยบายสาธารณะ ผ่านรัฐธรรมนูญอินเดีย” ดังชื่อหัวข้อปาฐกถา อาจารย์ปิยณัฐเน้นมิติรัฐ สังคม และนโยบายสาธารณะ โดยจัดวางความงดงามและยิ่งใหญ่ของรัฐธรรมนูญอินเดียไว้ 4 ข้อ ดังนี้

ข้อที่ 1 รัฐธรรมนูญอินเดียเป็นเครื่องมือที่สร้างสมดุลระหว่างอำนาจและเสรีภาพ
รัฐธรรมนูญอินเดียผ่านการออกแบบระบบบริหารราชการแผ่นดิน ที่ผสมผสานผสานการรวมอำนาจเพื่อเสริมพลังการพัฒนาประเทศ พร้อมกับการให้คุณค่าแนวคิดการกระจายอำนาจที่มีลักษณะโดดเด่น กล่าวคือ รัฐธรรมนูญอินเดียกำหนดให้มีรัฐบาลกลาง ณ กรุงนิวเดลี รัฐบาลระดับมลรัฐ 28 แห่ง และรัฐบาลท้องถิ่นที่อยู่ทั่วประเทศ โดยระบุถึงความสัมพันธ์ทางอำนาจ และกำหนดบทบาทหน้าที่ของรัฐบาลแต่ละระดับอย่างชัดเจน

ข้อที่ 2 รัฐธรรมนูญอินเดีย กำหนดให้มีหลักนโยบายแห่งมลรัฐ
มลรัฐต้องมีหน้าที่ในการออกนโยบาย และดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมความเท่าเทียมและความยุติธรรม หลักการนี้เป็นหัวใจของการสร้างสังคมที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยรัฐบาลมีหน้าที่ส่งเสริมสวัสดิการในทุกระดับ เพื่อให้คนทุกกลุ่มในสังคมสามารถเข้าถึงโอกาสและทรัพยากรที่สำคัญในการพัฒนาตนเองได้

ข้อที่ 3 รัฐธรรมนูญอินเดียโอบรับความหลากหลายของสังคมและจัดการความแตกต่างให้อยู่ร่วมกัน
กล่าวคือ รัฐธรรมนูญอินเดียส่งเสริมความเป็นเอกภาพ ในขณะที่ยังคงเคารพในความแตกต่าง สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นผ่านกำหนดให้อินเดียเป็นรัฐทางโลก (Secular State) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความยุติธรรมและเสรีภาพทางศาสนา โดยรัฐจะไม่เข้าข้างศาสนาใดศาสนาหนึ่ง และให้เสรีภาพแก่ประชาชนทุกศาสนาอย่างเสมอภาค หลักการนี้ทำให้สังคมอินเดียอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

ข้อที่ 4 รัฐธรรมนูญอินเดียเป็นรัฐธรรมนูญที่มีชีวิต มีความยืดหยุ่นและปรับตัวตามยุคสมัย
นับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ อินเดียยังคงมีรัฐธรรมนูญฉบับเดียว โดยเป็นรัฐธรรมนูญที่สามารถแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ผ่านกระบวนการที่กฎหมายกำหนด มากว่าร้อยครั้งแล้ว ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขครั้งสำคัญ ๆ ก็เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
(4) ศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
อาจารย์นครินทร์เป็นคนกล่าวปาฐกถาคนสุดท้ายของงานในวันนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นผู้ใหญ่ที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ ปาฐกถาของท่านจึงมีความเก๋าไม่น้อยเลย

อาจารย์นครินทร์ไม่ได้ดูปาฐกถาของตน คือท่านต้องการมีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่ 3 คนแรกได้กล่าวมา อาจารย์นครินทร์เริ่มตั้งคำถามก่อนเลยว่า ทำไมไทยเราถึงไม่มีวันรัฐธรรมนูญที่แลดูจริงจังแบบอินเดีย ทำไมเราไม่แลดูจริงจังกับผู้มีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญแบบ ดร.ภีมราว รามยี อัมเบดการ์

อาจารย์นครินทร์รู้สึกชอบมากกับที่ท่านทูตกล่าวถึงการที่ศาลใช้รัฐธรรมนูญในการยับยั้งไม่ให้นางอินทิรา คานธีทำตามอำเภอใจ และรู้สึกทึ่งกับการที่รัฐธรรมนูญอินเดียแก้ไขมามากว่าร้อยกว่าครั้ง ซึ่งอาจารย์นครินทร์มองว่าเป็นจุดสำคัญบ่งบอกความยั่งยืนของรัฐธรรมนูญ

หลังจากนั้นท่านก็เข้าสู่ศรัทธาอันแรงกล้าของชาวอินเดียที่จะมีรัฐธรรมนูญของตน จะมีระบบของตน อาจารย์นครินทร์พูดถึงลักษณะประการสำคัญที่รัฐธรรมนูญอินเดียโดดเด่นเป็นพิเศษคือ “วิถีแห่งรัฐธรรมนูญ” หรือ “ศีลธรรมเชิงรัฐธรรมนูญ” ที่อิงกับหลัก “เสมอชนนิยม” นอกจากนี้รัฐธรรมนูญอินเดียยังเป็นแนวทางสำหรับการปฏิบัติทั้งแก่รัฐบาลและพลเมืองด้วย

อาจารย์นครินทร์รู้สึกชอบมากที่ทางจุฬาฯ ประสงค์จะทำการตีความรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบ ก่อนจะอวยพรให้อินเดียมีเอกภาพมั่นคง มีความเจริญรุ่งเรือง และฝากแสดงความยินดีไปยังท่านตุลาการ สัญชีพ ขันนา (Sanjiv Khanna) ประธานศาลสูงสุดแห่งอินเดียด้วย

รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ

(Live) รายการ ฮีลใจไปกับ ดร.จอย