เพลง Ektaal
ทุกคนคงจดจำได้ดีว่าเสียงดนตรีที่เราเปิดไปคือ เสียงของกลองตัพลา ซึ่งครั้งหนึ่งในรายการปกิณกะอินเดียเราเคยนำเสนอเรื่องราวของกลองชนิดนี้ไปแล้ว แต่เสียงบรรเลงตัพลาของเราในครั้งนี้มีนัยสำคัญพิเศษ กล่าวคือ เป็นเสียงบรรเลงที่อัดไว้ในปี ค.ศ. 1976 ในจังหวะที่ชื่อว่า “เอกตาล” (Ektaal) ซึ่งเป็นฝีมือการบรรเลงของ อุสตาด ซากีร์ ฮุสเซน (Ustad Zakir Hussain) ในวัยหนุ่ม คู่กับคุณพ่อของเขาเอง คืออุสตาด อัลลารขา กุเรชี (Ustad Allarakha Qureshi) สุดยอดนักตัพลาอีกคนในอดีตที่เคยบรรเลงร่วมกับบัณฑิตรวิ ศังกร (Pandit Ravi Shankar) มาแล้วอย่างโชกโชน
ที่บอกว่ามีนัยสำคัญก็เพราะว่า อัลลารขาเป็นทั้งคุณพ่อและอาจารย์คนแรกที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาตัพลาให้แก่ซากีร์ ฮุสเซน ครั้นเมื่อซากีร์ ฮุสเซนได้จากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา จัดว่าเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของวงการดนตรีอินเดีย เราจึงนำบันทึกเสียงที่ทั้งสองคนบรรเลงร่วมกันไว้ในอดีตมาเปิดให้ทุกคนฟัง เป็นการสื่อความหมายว่าตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนคงจะได้กลับมาบรรเลงตัพลาร่วมกัน ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งในสวนสวรรค์อยู่แน่ ๆ
อาลัย ซากีร์ ฮุสเซน พ่อมดแห่งวงการตัพลา (นาที 4.20)
ข่าวการจากไปของอุสตาดซากีร์ ฮุสเซน ทำให้วงการดนตรีทั่วโลกต่างก็อาลัยอาวรณ์อย่างยิ่ง เพราะกล่าวได้ว่าชื่อของเขาติดทำเนียบนักดนตรียิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของอินเดียและของโลกเรียกว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักศิลปินตัพลาคนนี้ ทั้งอาจารย์สุรัตน์และผมเองต่างก็เคยได้รับฟังซากีร์ ฮุสเซนบรรเลงต่อหน้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ใช่แล้ว และถ้าจำไม่ผิด คือในช่วงเดือนกันยายนปี ค.ศ. 2016 หรือ พ.ศ. 2559 เมื่อซากีร์ ฮุสเซนมาแสดงที่โรงละครแห่งชาติ กรุงเทพฯ ในโอกาสรำลึกถึงศรี สัตคุรุ ชัคชิต สิงห์ ยี (Sri Satguru Jagjit Singh Ji) คุรุผู้เป็นที่เคารพของชาวซิกข์นามธารี
ประสบการณ์ในครั้งนั้นต้องบอกว่าน่าประทับใจและน่าทึ่งมาก โดยเฉพาะตัวผมเองที่ในตอนนั้นก็หัดเล่นตัพลาเบื้องต้นอยู่ด้วย ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าฝีมือของซากีร์ ฮุสเซนนั้นน่าอัศจรรย์จริง ๆ สมกับที่หลายคนเรียกเขาว่าพ่อมดแห่งตัพลา (Tabla Wizard) ไม่เพียงแต่การบรรเลงของเขาจะน่าทึ่ง เขายังมีเทคนิคแพรวพราวในการสร้างความบันเทิงให้ผู้ชม สามารถดึงดูดสายตาทุกคนในหอประชุมให้จ้องไปที่เขา และทำให้เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงกลองของเขาเหมือนต้องมนตร์สะกด ขณะเดียวกันที่ผมชอบเป็นพิเศษก็คือ แม้ซากีร์ ฮุสเซนจะเป็นมุสลิม แต่เขาก็เคารพให้เกียรติคุรุของชาวนามธารีอย่างมากด้วย
รายละเอียดมรณกรรมของซากีร์ ฮุสเซน
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2024 ครอบครัวของซากีร์ ฮุสเซนเผยว่านักตัพลาผู้ยิ่งใหญ่ได้ถึงแก่กรรมเนื่องจากภาวะพังผืดในปอด ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองซาน ฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สิริอายุ 73 ปี ก่อนหน้านั้นซากีร์ ฮุสเซนเกิดภาวะที่หายากชนิดหนึ่ง เรียกตามศัพท์แพทย์ว่า Idiopathic Pulmonary Fibrosis (IPF)IPF อธิบายง่าย ๆ ก็คือเกิดแผลเป็นขึ้นในปอดโดยที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ซึ่งแผลเป็นดังกล่าวนี้จะทำให้ผนังปอดบางส่วนเกิดแข็งตัวทำให้ปอดขยายออกได้ไม่เต็มที่ นาน ๆ ไปก็ทำให้เกิดภาวะหายใจติดขัด เหนื่อยง่าย และในกรณีของซากีร์ ฮุสเซนได้พัฒนาจนเกิดเป็นพังผืด เขาพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลประมาณสองสัปดาห์ก่อนจะย้ายเข้าไปในห้องไอซียู และอาการทรุดหนักลงจนเสียชีวิต
ทันทีที่ได้ทราบเหตุดังกล่าว บุคคลในวงการบันเทิงก็ออกมาแสดงความเสียใจมากมาย และที่สำคัญ นายกรัฐมนตรีโมดีก็ได้ออกมาเขียนข้อความแสดงความอาลัยต่อซากีร์ ฮุสเซนด้วย ก่อนที่เราจะกล่าวถึงข้อความของนายกฯ โมดี บางท่านอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักซากีร์ ฮุสเซนนัก ดังนั้นเราจะขอนำเสนอประวัติย่อ ๆ ของเขาก่อน

ประวัติย่อ
ซากีร์ ฮุสเซน มีชื่อเต็มว่า ซากีร์ ฮุสเซน อัลลารขา กุเรชี (Zakir Hussain Allarakha Qureshi) เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1951 ในเมืองมุมไบ มลรัฐมหาราษฏระ อินเดียพ่อของเขาคือ อุสตาด อัลลารขา กุเรชี ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในนามนักตัพลาผู้บรรเลงคู่กับบัณฑิตรวิ ศังกร มือสิตาร์ชั้นครู ที่พวกเราเองก็เคยเสนอประวัติแยกไว้แล้วในตอนหนึ่ง อัลลารขาผู้พ่อมีบุตรชายสามคน บุตรสาวอีกสามคน ในหมู่บุตรชายทั้งสาม ซากีร์เป็นคนโต ส่วนน้องชายอีกสองคน ฟาซาลและเตาฟิก ซึ่งอายุห่างจากซากีร์ราวสิบปี ต่างก็เป็นนักบรรเลงตัพลากันทั้งคู่ แม้ว่าจะไม่ขึ้นถึงจุดสูงสุดแห่งชื่อเสียงเท่ากับพ่อหรือพี่ชายก็ตาม
อัลลารขาผู้พ่อก็มีประวัติชีวิตโชกโชนไม่น้อย ในวัยเด็กเขาไม่ได้รับการสนับสนุนด้านดนตรีจนกระทั่งต้องหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 12 ขวบ เพื่อที่จะมาตามหาฝันตัวเองในเส้นทางดนตรี และได้เริ่มศึกษากับครูตัพลาในสำนักปัญจาบ (Punjab Gharana) ในช่วงต้น ๆ อัลลารขาก็เป็นมือกลองตีประกอบจังหวะของบรรดาศิลปินเดี่ยวที่มีชื่อเสียงหลายคน ชื่อเสียงเขามาโด่งดังเป็นพลุแตกก็เมื่อยุคทศวรรษ 1950 ที่เขาได้เล่นร่วมกับรวิ ศังกร ในช่วงนั้นเองเป็นช่วงเดียวกับที่ซากีร์ ฮุสเซนเกิด
อัลลารขาได้สอนตัพลาให้ลูกชายตั้งแต่อายุ 7 ขวบ จนกระทั่งเมื่อเติบโตขึ้นเขาก็ได้พาลูกชายออกแสดงด้วยกัน
ความสัมพันธ์พ่อ-ลูก
ในการสัมภาษณ์ซากีร์ ฮุสเซนกับอุสตาด อัลลารขาเมื่อปี ค.ศ. 1980 โดยบีบีซีอินเดีย ได้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์อันแนบแน่นของพ่อลูกคู่นี้ ทั้งในฐานะพ่อกับลูกและครูกับศิษย์นักข่าวบีบีซีได้ถามเขาว่า “ซากีร์ คุณจำครั้งแรกที่ได้ยินเสียงตัพลาได้ไหม” ซากีร์ ฮุสเซนตอบว่า “จำไม่ได้ แต่ต้องเป็นทันทีที่ผมออกจากโรงพยาบาลมาบ้านหลังจากที่ผมเกิด น่าจะเป็นตอนที่ผมอายุเพียงวันเดียวหรือสองวันนั่นแหละ” นักข่าวถามอีกว่า “พวกคุณมีความสัมพันธ์สองชั้น เป็นทั้งพ่อกับลูกและครูกับศิษย์ ความสัมพันธ์ในลักษณะใดที่แนบแน่นกว่ากัน” ซากีร์ ฮุสเซนตอบว่า
“เพราะว่าพวกเรามีสายเลือดเดียวกันและมีอาชีพเดียวกัน ก็เลยยากที่จะพูด แต่ผมว่าผมคิดถึงเขาในฐานะครูมากกว่า เพราะครูคือทุกสิ่งในคนเดียว ครูเป็นทั้งพ่อและเป็นทั้งผู้ชี้นำ ครูแนะหนทางในทุกสิ่งที่เราทำ ทุกอย่างจึงรวมอยู่ในความเป็นครูหมด”
ซากีร์ ฮุสเซน คงไม่เป็นที่รู้จักมากเท่านี้ หากเขายึดติดกับการบรรเลงเฉพาะกับวงดนตรีอินเดียตามขนบ สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้เขามากที่สุดคงเป็นการที่ร่วมงานกับวงดนตรีสากล
ในปี ค.ศ. 1973 ซากีร์ ฮุสเซนได้ร่วมงานกับจอร์จ แฮร์ริสัน (George Harrison) ศิลปินอังกฤษผู้เป็นมือกีตาร์นำของเดอะบีเทิลส์ (The Beatles) ในอัลบั้มชื่อ Living in the Material World และในปีเดียวกันกับจอห์น แฮนดี้ (john Handy) ศิลปินแนวอเมริกันแจ๊สในอัลบั้มชื่อ Hard Work จากนั้นมาเขาก็มีผลงานร่วมกับศิลปินอีกหลายคนในโลกตะวันตกในปี ค.ศ. 1973 นี่เองที่จอห์น แมคลาฟลิน นักกีตาร์ชาวอังกฤษ ได้ก่อตั้งวงดนตรีแนวผสมผสานระหว่างอเมริกัน-อินเดียภายใต้นามศักติ (Shakti) ร่วมกับนักดนตรีอินเดียสามคนคือ แอล. ศังกร (L. Shankar) มือไวโอลิน ซากีร์ ฮุสเซนแน่นอนว่ารับบทบาทมือกลอง และวิกกุ วินายกรัม มือตีหม้อ แบบที่อินเดียเรียกว่า ฆะฏัม (Ghatam) ซากีร์ ฮุสเซนกับพวกเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสมาชิกรุ่นบุกเบิกของวงศักติ ในเวลาต่อมาสมาชิกรุ่นเก่าก็ออกไปบ้าง และก็มีสมาชิกรุ่นใหม่เข้ามาร่วมตามกาลเวลาและยุคสมัย เดิมทีวงนี้เปิดตัวในนามว่า “ดุริยนันทสังคีต” มีลักษณะโดดเด่นที่ผสมผสานแนวทางของดนตรีอินเดียกับดนตรีแจ๊ส โดยที่ดนตรีอินเดียเองก็ยังมีลักษณะผสมของดนตรีฮินดูสตานีและกรรณาติกอยู่ด้วยกัน เพราะซากีร์ ฮุสเซนนั้นมาจากขนบดนตรีแบบอินเดียเหนือ ในขณะที่คนอื่นในวงคือแอล. ศังกรและวิกกุ วินายกรัมนั้นมาจากสายอินเดียใต้
ซากีร์ ฮุสเซนมีส่วนร่วมในการทำอัลบั้มอื่น ๆ กับศิลปินอีกหลายคนและหลายค่าย อัลบั้มเพลงสากลที่บรรเลงร่วมกับชาวตะวันตกเหล่านี้ นับว่ามีส่วนอย่างมากในการเปิดโลกดนตรีอินเดียแก่ชาวตะวันตกให้ได้รับรู้และรับฟังดนตรีอินเดียมากขึ้น จึงมักมีผู้พูดถึงซากีร์ ฮุสเซนในฐานะผู้ทำให้ดนตรีอินเดียแพร่หลายในโลกตะวันตกด้วย หนึ่งในอัลบั้มที่มีชื่อเสียงคือ Planet Drum (ค.ศ. 1991) ที่อำนวยการผลิตโดยมิกกี้ ฮาร์ท (Mickey Hart) ซึ่งมีแนวคิดในการรวบรวมเครื่องดนตรีประกอบจังหวะมาจากหลากหลายชาติ ทั้งซากีร์ ฮุสเซน และวิกกุ วินายกรัมก็ได้รับเชิญมาร่วมบรรเลงตัพลาและตีฆะฏัมในอัลบั้มนี้ด้วย และอัลบั้มดังกล่าวก็ได้รับรางวัลแกรมมี่ในปี ค.ศ. 1992
ซากีร์ ฮุสเซนได้ประพันธ์เพลงและเป็นที่ปรึกษาด้านดนตรีให้แก่ภาพยนตร์หลายเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักเป็นระดับภาพยนตร์รางวัล นอกจากนี้ยังบรรเลงประกอบภาพยนตร์ ทั้งที่เป็นเฉพาะเสียงเพลงฉากหลัง หรือที่มีตัวเขาปรากฏในภาพยนตร์เองด้วยในบทบาทมือตัพลา ในปี ค.ศ. 2016 ซากีร์ ฮุสเซนเป็นหนึ่งในนักดนตรีหลายคนที่ได้รับเชิญจากประธานาธิบดีบารัก โอบามาเพื่อไปร่วมคอนเสิร์ตรวมดาวระดับโลก (All-Star Global Concert) ของวันแจ๊สสากลประจำปี ค.ศ. 2016 ที่ทำเนียบขาว
Zakir Hussain: A Life in Music หนังสือที่รวบรวมบทสัมภาษณ์ซากีร์ ฮุสเซน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016-2017
ต่อมา นัสรีน มุนนี กะบีร์ (Nasreen Munni Kabir) ได้รวบรวมบทสัมภาษณ์ซากีร์ ฮุสเซนจำนวน 15 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2016 ถึง 2017 ไว้ในหนังสือชื่อ Zakir Hussain: A Life in Music ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2018หนังสือเล่มนี้พาผู้อ่านผ่านชีวิตของซากีร์ ฮุสเซนตั้งแต่วัยเยาว์ ช่วงเวลาหลายขวบปีแห่งการฝึกฝนอย่างเข้มข้น และการเติบโตในฐานะนักดนตรี หนังสือเล่มนี้ยังทำให้เราทราบด้วยว่า ชีวิตวัยเด็กของซากีร์ ฮุสเซนนั้นใช่ว่าจะสะดวกสบาย เขาให้สัมภาษณ์แก่นัสรีนเกี่ยวกับที่อยู่ของเขาที่อำเภอมหิม (Mahim) เมืองมุมไบ ไว้ว่า “ในช่วงสามปีครึ่งแรกของชีวิตผม เราต่างใช้ชีวิตอยู่ในห้องเดียวกัน ซึ่งไม่มีห้องน้ำ เราต้องใช้ห้องน้ำส่วนกลาง”
เกียรติประวัติของซากีร์ ฮุสเซนในช่วงชีวิตของเขานั้นมีมากมาย
เขาได้รับอิสริยาภรณ์ปัทมศรีในปี ค.ศ. 1988 ปัทมภูษัณในปี ค.ศ. 2002 และปัทมวิภูษัณในปี ค.ศ. 2024 นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลแกรมมี (Grammy Awards) ถึง 4 รางวัล ได้รับรางวัลสังคีตนาฏักอะคาเดมีในปี ค.ศ. 1990 ได้รับรางวัลNational Endowment for the Arts' National Heritage Fellowship ซึ่งเป็นรางวัลทรงเกียรติสูงสุดสำหรับศิลปินในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เช่นมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และมหาวิทยาลัยมุมไบ
ปรมาจารย์ดนตรีคลาสสิกของอินเดีย
และเมื่อทราบข่าวมรณกรรมของซากีร์ ฮุสเซน นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ก็ได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของปรมาจารย์ตัพลาในตำนานผู้นี้โมดีเรียกเขาว่าเป็นปรมาจารย์ดนตรีคลาสสิกชื่อดังของอินเดียคนหนึ่งและมีส่วนอุทิศอันล้ำค่าต่อวงการดนตรีทั่วโลก ท่านเขียนถึงอุสตาดซากีร์ ฮุสเซนว่า “...อุสตาด ซากีร์ ฮุสเซนจะได้รับการจดจำในฐานะอัจฉริยะแท้จริงผู้ปฏิวัติวงการดนตรีคลาสสิกของอินเดีย มอบเสียงเพลงตัพลาให้แก่โลก และครองใจผู้คนนับล้านด้วยท่วงทำนองที่ไม่มีใครเทียบได้ เขาเป็นผู้มีส่วนในการผสมผสานประเพณีดนตรีคลาสสิกของอินเดียเข้ากับดนตรีระดับโลก จึงทำให้เขาสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการสร้างความเท่าเทียมทางวัฒนธรรมได้”
บุคลิกหนึ่งที่น่าจดจำของอุสตาด ซากีร์ ฮุสเซน คือ เขามีความอ่อนน้อมถ่อมตน และไม่เคยมองว่าตนอยู่ระดับเหนือคนอื่น ซ้ำยังยินดีที่จะเรียนรู้จากคนอื่น ดังที่เขาได้เรียนรู้มาตลอดชีวิตจากการทำงานกับผู้คนมากหน้าหลายตา
ซากีร์ ฮุสเซนเคยกล่าวไว้ว่า “ชั่วขณะที่คุณคิดว่าตนเองถึงระดับปรมาจารย์แล้ว ก็เท่ากับคุณกำลังวางตนเองให้ห่างเหินจากคนอื่น ๆ คุณจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของวง ไม่ใช่ครอบงำวง”
และในปีที่แล้วนี้เอง เขาได้กล่าวไว้ว่า “การเป็นนักเรียนและมีแรงผลักดันในการเรียนรู้ทำให้ผมก้าวต่อไป โอกาสที่จะได้รับแรงบันดาลใจจากนักดนตรีรุ่นเยาว์ช่วยให้ผมนำมาปรับปรุงตัวเองได้ อายุของผมไม่ได้ส่งผลต่อพลังและแรงขับเคลื่อนเลย”
•
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ