ฉฬาภิชาติพิไสย วรรณกรรมไทยที่ตีความใหม่เรื่องวรรณะ

- ปกิณกะอินเดีย

รับฟังเสียง


ฉฬาภิชาติพิไสย วรรณกรรมไทยที่ตีความใหม่เรื่องวรรณะ

เพลง Vasudhaiva Kutumbakam
เพลงที่เปิดไปเป็นโศลกสันสกฤตที่เรียบเรียงอย่างสละสลวย ชื่อเพลงคือ “วสุไธวะ กุฏุมพกัม” (Vasudhaiva Kutumbakam) คำนี้จัดว่ามีนัยสำคัญทางปรัชญาอินเดียมาก มหาตมาคานธีเองก็ถือประโยคดังกล่าวเป็นคำขวัญประจำตัว คำว่า วสุไธวะ ในชื่อเพลงนี้เป็นคำสมาสระหว่าง วสุธา ที่คนไทยก็รับมาใช้ในคำว่า พสุธา แปลว่า แผ่นดิน กับคำว่า เอวะ ที่เป็นคำเน้นในทำนองว่า นั่นเอง ส่วน กุฏุมพกัม ก็คือครอบครัว สรุปแล้วก็หมายความว่าทั้งโลกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ซึ่งพวกเราทั้งคู่ค่อนข้างชอบคำแปลฉบับของอาจารย์กรุณา-อาจารย์เรืองอุไร กุศลาสัย ที่ว่า “โลกทั้งผองพี่น้องกัน”

เพลงดังกล่าวจัดอยู่ในชุดเพลงบูชาครูที่ชื่อว่า วันเท คุรุปรัมปราม (Vande Guru Paramparaam) ขับร้องโดยกลุ่มสามคน (Trio) ชื่อ กุลทีป เอ็ม. ปาย (Kuldeep M. Pai) ราหุล เวลไล (Rahul Vellai) และ รฆุราม มณิกัณฑัน (Raghuram Manikandan) ด้วยสาเหตุที่เพลงเป็นปรัชญา ผู้ฟังคงจะอยากเข้าใจเนื้อหา เผื่อจะนำไปประยุกต์กับชีวิตได้ จึงขอให้คุณณัฐช่วยอธิบายเนื้อเพลงส่วนที่เปิดไปด้วยครับ

येषामतिशर्मदा सर्वान् प्रति सर्वदा गर्वाद्यतिदूरगा भान्ती हृदये दया । तेषाममलात्मनां याता वसुधाम्बतां पितृतां गतमम्बरं जगदेव कुटुम्बकम् ॥ 1 ॥

เยษามติศรฺมทา สรฺวานฺ ปฺรติสรฺวทา
บุคคลใดที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นทุกเมื่อ

ครฺวาทฺยาติทูรคา ภานฺตี หฺฤทเย ทยา
หลีกห่างจากความหยิ่งผยอง มีความกรุณาฉายชัดในหัวใจ

เตษามมลาตฺมนำ ยาตา วสุธามฺพตำ
บุคคลผู้มีจิตวิญญาณเช่นนั้น แผ่นดินก็เปรียบเสมือนแม่

ปิตฺฤตำ คตมมฺพรํ ชคเทว กุฏุมฺพกมฺ ฯฯ๑ฯฯ
ท้องฟ้าก็เปรียบเสมือนพ่อ ทั้งโลกก็คือครอบครัวเดียวกัน

ฉฬาภิชาติพิไสย วรรณกรรมไทยที่ตีความใหม่เรื่องวรรณะ (นาที 5.10)
เรื่องราวที่เราจะหยิบยกมาเล่าให้ฟังในวันนี้ มีความเกี่ยวข้องกับระบบวรรณะ ซึ่งหลายท่านคงจะมีความเข้าใจในระดับพื้นฐานอยู่แล้ว แต่หัวข้อวันนี้ของเรามีความพิเศษอยู่สักหน่อยตรงที่ว่า

ระบบวรรณะที่ว่านี้ไม่ใช่แบบของอินเดียโดยตรง แต่ผ่านการตีความของวรรณกรรมไทยเรื่องหนึ่งช่วงรัตนโกสินทร์ ซึ่งวรรณกรรมเรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องที่รู้จักแพร่หลายเท่าไรนัก กล่าวคือเรื่อง ฉฬาภิชาติพิไสย พระนิพนธ์หม่อมเจ้าเพิ่ม ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2430

ก่อนอื่น คำว่า ฉฬาภิชาติพิไสย [ฉะหลาพิชาดติพิไส] ฟังดูเป็นคำเข้าใจยากสักหน่อย คนไทยส่วนใหญ่ถ้าไม่เรียนบาลีสันสกฤตมาโดยตรงก็อาจฟังไม่เข้าใจในทันที

คำนี้เป็นศัพท์ประดิษฐ์อิงจากภาษาบาลี โดยคำว่า ฉฬ- ที่อยู่ข้างหน้า มีความหมายว่า หก อภิชาติ ก็คือกำเนิดหรือตระกูล ส่วน พิไสย มาจาก วิสัย หมายถึง ขอบเขต เมื่อนำมารวมกันก็เป็น ฉฬาภิชาติพิไสย มีความหมายว่าขอบเขตแห่งชาติกำเนิดทั้งหกประเภท ซึ่งในวรรณกรรมเรื่องนี้หมายถึง 1. กษัตริย์ 2. พราหมณ์ 3. แพทย์ 4. สูท 5. ปุกกุส 6. จัณฑาล ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า สังคมสยามในสมัยนั้นก็ไม่เคยมีการใช้ระบบวรรณะแบบอินเดีย แต่วรรณกรรมเรื่องนี้กลับถ่ายทอดแนวคิดคล้ายคลึงกันที่ผ่านการตีความใหม่

ผู้ฟังที่ได้ยินคำต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้นคงจะเข้าใจได้ทันทีว่า คำศัพท์ส่วนใหญ่เว้นแต่คำว่าปุกกุสในลำดับที่ 5 รับมาจากระบบจตุรวรรณะในแนวคิดอินเดีย ซึ่งคำว่าจตุรก็หมายถึงมีอยู่ 4 พ่วงอีกคำหนึ่งที่ว่า จัณฑาล (จริง ๆ แล้วควรเรียก ทลิต) ที่เป็น อวรรณะ หมายถึงอยู่นอกระบบวรรณะ และคนที่อยู่ในระบบไม่อาจแตะเนื้อต้องตัวได้เพราะถือว่าเป็นมลทิน
ทบทวนแนวคิดพื้นฐานเรื่องจตุรวรรณะก่อน เพื่อจะได้เชื่อมโยงกับวรรณกรรมเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น
คำว่า วรรณะ มีที่มาจากภาษาสันสกฤตว่า วรฺณ (varna) ความหมายดั้งเดิมหมายถึง สีสัน แน่นอนว่าทุกวันนี้ในการใช้ส่วนใหญ่ก็ยังแปลว่าสีอยู่เหมือนเดิมนั่นเอง (คล้ายคำว่า ranga) เพียงแต่ในบริบทของระบบจตุรวรรณะหรือวรรณะทั้งสี่นั้นมีความหมายถึงการแบ่งชนชั้นออกเป็นสี่ชั้น

1. พราหมณ์ (Brahmana) ที่หมายถึงนักบวชทางศาสนา จัดเป็นวรรณะสูงสุดของสังคม เพราะถือว่าเป็นผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับพระเวทและประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์อันเป็นการสื่อสารกับเทพเจ้า

2. รองลงมาคือ กษัตริย์ (Kshatriya) หมายถึงบรรดานักปกครองและนักรบ ซึ่งมีพลังอำนาจแข็งแกร่ง เป็นผู้คุ้มครองรักษาอาณาเขตและพลเมือง แต่ก็ต้องเกลือกกลั้วด้วยเรื่องของทรัพย์สมบัติทางโลก จึงมีความบริสุทธิ์สู้พราหมณ์ไม่ได้

3. รองลงมาอีกคือ แพศย์ (Vaishya) หมายถึงบรรดาพ่อค้าวาณิช และเจ้าของพื้นที่การเกษตรหรือปัจจัยการผลิตต่าง ๆ เป็นกลุ่มที่ผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงคนในสังคม และประกอบธุรกิจค้าขายต่าง ๆ

4. สุดท้ายในจตุรวรรณะคือ ศูทร (Shudra) หมายถึงชนชั้นกรรมาชีพ เป็นคนรับใช้หรือกรรมกรที่ใช้แรงงานหนัก หรือประกอบอาชีพหัตถกรรมที่ต้องอาศัยหยาดเหงื่อแรงกายเข้าแลก ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ขาดไม่ได้เลยในสังคมเพราะผลผลิตต่าง ๆ ก็จำเป็นต้องอาศัยแรงงานให้สำเร็จ

ความจริงแล้วระบบวรรณะนั้นเริ่มต้นก็มาจากการแบ่งงานกันทำนั่นเอง แต่พอเริ่มมีความคิดว่างานใดสูงกว่า งานใดต่ำกว่า ก็เลยกลายเป็นการกีดกันทางชนชั้นไปในตัว และสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมอินเดียโบราณหลังจากที่ระบบวรรณะครอบงำเหนือสังคมก็คือ วรรณะกลายเป็นการสืบทอดเชื้อสายตระกูลโดยกีดกันคนในวรรณะอื่น ๆ ไม่ให้เข้ามาปะปนในวรรณะของตนเพื่อรักษาสายเลือดบริสุทธิ์ของวรรณะตนเองไว้

บุคคลใดที่ละเมิดข้อต้องห้ามในเรื่องวรรณะก็จะถูกขับให้พ้นจากระบบ มีสถานะเป็นผู้แตะต้องไม่ได้ที่อินเดียนิยมเรียก ทลิต และไทยชอบเรียกว่า “จัณฑาล” นั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้เข้าใจว่า การเรียกว่า “จัณฑาล” นั้นผิด เพราะคำว่าจัณฑาล (ภาษาฮินดีออกเสียง จานดาล) มีความหมายจำเพาะมาก คือกลุ่มคนที่ทำงานเป็นสัปเหร่อผู้จัดการซากศพ ซึ่งบุคคลนอกวรรณะหรือผู้แตะต้องไม่ได้นั้นมีหลากหลายกลุ่มกว่านั้น จึงอยากรณรงค์ให้คนไทยใช้คำว่า ทลิต กันอย่างแพร่หลาย

ทั้งนี้ก็ต้องอย่าลืมด้วยว่า อินเดียปัจจุบันไม่มีระบบวรรณะแล้ว ถึงแม้ในความเป็นจริงคนใจแคบบางคนจะยังคงถือวรรณะอยู่ แต่การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุวรรณะนั้นมีโทษทางกฎหมายนะครับ
ที่มาของวรรณกรรมไทย ฉฬาภิชาติพิไสย
มีหม่อมเจ้าองค์หนึ่ง พระนามว่า หม่อมเจ้าเพิ่ม ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2368 เป็นพระโอรสของกรมหลวงเสนีบริรักษ์ในรัชกาลที่ 1 หม่อมเจ้าเพิ่มมีฐานะไม่สู้ดีนัก และไม่มีโอรสธิดาไว้สืบสกุลเลย

พระองค์จึงนิพนธ์วรรณกรรมเรื่อง ฉฬาภิชาติพิไสย ขึ้นมาเพื่อเป็นประหนึ่งผู้สืบตระกูลไปภายหน้า มีลักษณะคำประพันธ์ที่เรียกว่า ลิลิต หมายถึงโคลงสลับร่าย แล้วจึงทรงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 5 เพื่อพระราชทานแจกเป็นของชำร่วยในงานพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอและพระอรรคชายา ใน พ.ศ. 2430 ส่วนตัวหม่อมเจ้าเพิ่มเองสิ้นชีพิตักษัยปี พ.ศ. 2434
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้น่าสนใจยิ่ง คือแบ่งคนในสังคมออกเป็นหกกลุ่มใหญ่ มีลำดับดังนี้คือ
1. กษัตริย์ หมายถึงองค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลาย
2. พราหมณ์ คือบรรดาพราหมณ์ปุโรหิตผู้ประกอบราชพิธี
3. แพทย์ ในหนังสือเล่มนี้สะกดด้วย ท และความหมายต่างจาก แพศย์ ของอินเดีย คือหมายถึงหมอรักษาคนไข้
4. สูท ในหนังสือเล่มนี้ก็ต่างจาก ศูทร ของอินเดียเช่นกัน คือหมายถึง พ่อครัว
5. ปุกกุส ในหนังสือเล่มนี้กลับมีความหมายคล้าย ศูทร ของอินเดีย คือหมายถึงคนรับใช้และกรรมกร และยังรวมบรรดานักนาฏศิลป์และนักดนตรีด้วย
6. จัณฑาล หมายถึงคนยากไร้ที่เที่ยวขอทานกิน
ใจความหลักของหนังสือคือการแจกแจงว่าชนชั้นทั้ง 6 เหล่านี้ มีขอบเขตในการร่ำเรียนวิชาเช่นไรและมีอุปนิสัยเช่นไรบ้าง
ชนชั้นแรกคือ กษัตริย์
ดูจะเป็นชนชั้นที่หนังสือเล่มนี้เน้นหนักเป็นพิเศษ และที่น่าสังเกตคือจัดไว้ก่อนพราหมณ์ แสดงว่ายกย่องให้เกียรติมากกว่า และดูจะมีภาระรับผิดชอบหนักกว่ามาก กษัตริย์จะต้องเรียนรู้ทั้งวิชาภาษาและไวยากรณ์รวมไปถึงบาลีสันสกฤตอย่างแตกฉาน รู้วิชาโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ รู้คำนวณฤกษ์ยาม รู้วิชาการรบทัพจับศึก พิชัยสงคราม การบังคับช้างบังคับม้า ใช้อาวุธต่าง ๆ วิชาการปกครอง และรู้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี

ชนชั้นที่ 2 คือ พราหมณ์
ด้วยเหตุที่สังคมสยามนับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลัก วรรณกรรมเรื่องนี้จึงจัดพราหมณ์เป็นลำดับรองจากกษัตริย์ และจำกัดขอบเขตหน้าที่ไว้น้อยกว่า กล่าวคือ พราหมณ์ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเทพเจ้าทั้งสามคือพระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม เรียนรู้เวทมนตร์ต่าง ๆ และเรียนรู้การประกอบพระราชพิธีทั้งสิบสองเดือน จึงเห็นได้ว่าพราหมณ์ในสังคมสยามนั้นมีเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ที่ทำหน้าที่เพื่อสนองราชสำนักเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ สังเกตได้จากเทวสถานโบสถ์พราหมณ์

ชนชั้นที่ 3 คือ แพทย์
ซึ่งน่าสนใจมากเพราะเป็นการตีความจากคำว่า แพทย์ ที่แปลว่า หมอ ไม่ใช่แพศย์ ที่แปลว่าพ่อค้าแบบในอินเดีย ที่น่าสนใจก็เพราะว่าผู้ประกอบแขนงวิชาการแพทย์ในสยามนับว่าได้รับการยกย่องให้เกียรติมาช้านาน ในหนังสือเล่มนี้ถึงจัดไว้รองจากพราหมณ์ ผู้เป็นแพทย์มีหน้าที่เรียนรู้ตำราหลายฉบับ เช่น คัมภีร์พรหมปโรหิต ว่าด้วยการปฏิสนธิและการคลอดจากครรภ์มารดา คัมภีร์ว่าด้วยโรคเด็กคือกุมารเวชศาสตร์ และโรคผู้ใหญ่ รวมถึงวิชาปรุงยาจากสมุนไพรต่าง ๆ และที่สำคัญคือเรียนรู้คุณธรรมหรือจรรยาแพทย์

ชนชั้นที่ 4 คือ สูท
นี่ก็น่าสนใจเช่นกัน เพราะเป็นคำพ้องเสียงกับ ศูทร ที่แปลว่าคนรับใช้ในอินเดีย แต่กลับมาจากคำว่า สูทกรรม ที่หมายถึงการปรุงอาหาร ชนชั้นนี้จึงหมายถึงพ่อครัว ซึ่งมีหน้าที่ต้องเรียนรู้ทั้งวิชาการประกอบอาหารคาว ทั้งแกงพะแนง ฉู่ฉี่ พล่า อ่อม ยำ ห่อหมก เป็นต้น รวมถึงการประกอบอาหารหวาน ซึ่งก็น่าสนใจข้อความตอนหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า “...ทำขนมอเนกนาม ตามตำราแต่เดิม เพิ่มเติมประดิษฐ์ใหม่ ด้วยไข่น้ำตาลแป้ง...” แสดงให้เห็นว่าการทำขนมในยุคนั้นก็นิยมขนมที่มีอิทธิพลจากทางตะวันตกไม่น้อย นอกจากนี้คนครัวยังต้องรู้จักคำนวณค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมพอดีกับจำนวนคน และต้องรู้จักงานฝีมือแกะสลักผักผลไม้เพื่อประดิดประดอยใส่จานด้วย

ชนชั้นที่ 5 คือ ปุกกุสหรือปุกกุสะ
เป็นคำที่ไม่พบในจตุรวรรณะของอินเดีย แต่ความหมายโดยรวมก็ตรงข้ามกับวรรณะศูทรของอินเดียนั่นเอง ในหนังสือเล่มนี้จัดออกเป็นสองพวกใหญ่ ๆ พวกแรกคือพวกกรรมกรที่รับจ้างใช้แรงงาน ทั้งแบกหาม ไถนาเกี่ยวข้าว รับจ้างเลื่อยไม้ เป็นต้น ซึ่งก็ตรงกับศูทรในความเข้าใจของอินเดีย กับอีกพวกหนึ่งคือพวกนาฏศิลปินหมายถึงนักระบำรำฟ้อนและรวมไปถึงนักดนตรี ซึ่งค่อนข้างน่าประหลาดใจที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับกรรมกร เพราะทักษะที่ใช้เป็นคนละประเภทกัน

ในที่นี้ขอตั้งข้อสังเกตและสะท้อนความคิดด้วยว่า สังคมสยามสมัยก่อนค่อนข้างเหยียดหยามคนที่ประกอบอาชีพทางนาฏศิลป์และดนตรี ถึงกับมีสำนวนที่เรียกกันว่าพวก “เต้นกินรำกิน” ชะรอยจะเพราะว่าเป็นงานที่เป็นไปเพื่อความบันเทิงอย่างเดียว และดูร่อนเร่เรื่อยไปไม่ได้มีหลักแหล่งอะไร แต่ที่จริงแล้ว ศิลปินต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่มีทักษะที่ผ่านการทุ่มเทฝึกฝนมาอย่างหนัก และแน่นอนว่าอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็ทำอย่างพวกเขาไม่ได้ ดังนั้นปัจจุบันนี้สังคมจึงมีการยกย่องศิลปินเหล่านี้ในระดับสำคัญ

กลุ่มสุดท้ายที่หนังสือฉฬาภิชาติพิไสยกล่าวไว้คือ จัณฑาล
แน่นอนว่าเป็นจัณฑาลตามความคิดของชาวสยาม กล่าวคือ เป็นพวกขอทานที่ไม่มีวิชาความรู้ใด ๆ เที่ยวประจบสอพลอเขากิน บ้างก็ร้องรำทำเพลงอย่างที่เรียกว่าวณิพก บ้างก็แกล้งทำเป็นเจ็บป่วยพิการเรียกความสงสารจากคนอื่น ซึ่งในมุมมองของหนังสือเล่มนี้ถือว่ามีสถานะที่ต่ำที่สุด
ที่น่าสนใจเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้คือ
วรรณกรรมไทยเล่มอื่นที่กล่าวถึงชนชั้นสังคมในลักษณะคล้ายคลึงกับวรรณะทางอินเดียนั้นแทบไม่มีเลย และไม่ปรากฏด้วยว่า การจัดกลุ่มชนออกเป็น 6 กลุ่มตามลักษณะนี้อิงจากตำราใดของทางอินเดีย แต่จากการพรรณนาวิชาชีพต่าง ๆ นั้นทำให้ทราบว่าลักษณะตรงกับสังคมไทยอย่างมาก ก็คงพอจะกล่าวได้ว่าเป็นแนวคิดแบบลูกผสม (hybridity)

สิ่งหนึ่งที่ชวนขบคิดด้วยคือ การแบ่งคนออกเป็น 6 กลุ่มนี้คงเป็นเพียงแนวคิดที่ไม่เคยนำมาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมจริง ๆ เหมือนกับระบบจตุรวรรณะในอินเดีย เพราะมีกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า บุคคล 4 กลุ่มหลังคือ แพทย์ สูท ปุกกุส และจัณฑาลนั้น ถ้าบุญกุศลมาหนุนนำก็สามารถร่ำรวยเป็นคหบดีขึ้นมาได้ ซึ่งต่างจากวรรณะแบบอินเดียโบราณที่ผู้คนในวรรณะต่ำไม่มีทางเงยหน้าอ้าปากได้เลย

รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ

(Live) รายการ คุยกับเด็กจุฬาฯ