ไล่เรียงเหตุการณ์สำคัญระหว่างประเทศในปี 2020 เกิดอะไรขึ้นกับโลกบ้าง
ไล่เรียงเหตุการณ์สำคัญระหว่างประเทศในปี 2020 เกิดอะไรขึ้นกับโลกบ้าง
โควิด-19 แสดงให้เราเห็นว่า สิ่งที่เคยคิดว่าจะเป็นภัยต่อโลก เช่น การก่อการร้าย ปรากฏว่ามหันตภัยที่ร้ายแรงกว่ากลายเป็นโรคระบาด เพราะกระทบทุกภาคส่วนของโลก แม้โรคระบาดไม่ใช่เรื่องใหม่ของโลก ในอดีตเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่โรคระบาดทำให้เรารู้ว่า ไม่มีใครปลอดภัยถ้าหากว่าคนอื่นยังไม่ปลอดภัย (ไม่มีประเทศใดปลอดภัย ถ้ายังมีประเทศที่ไม่สามารถจัดการกับโรคระบาดได้)
การเลือกตั้งสหรัฐ 2020 มีคนออกมาใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งสูงมากเป็นประวัติการณ์ ประมาณ 66.7% (ที่ผ่านมา สหรัฐมีคนออกมาใช้สิทธิ์ประมาณ 50%)
แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้การเลือกตั้ง ออกแคมเปญเรียกร้องเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนทรัมป์ พาลใส่คนที่ไม่สนับสนุนทรัมป์ และกระทำในสิ่งไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตกถึงคนอเมริกันในเรื่องเงินช่วยเหลือช่วงโควิด
จีนได้แสดงพลังอำนาจและมีบทบาทกับกับโลกในทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ ในช่วงที่โควิดแพร่ระบาดไปประเทศต่างๆ หลังจากที่จีนจัดการโควิดภายในประเทศตัวเองได้แล้ว ก็ได้ส่งความช่วยเหลือไปยังประเทศต่างๆ ด้วย แต่จีนก็ยังมีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพของสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา
สหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงละเลยประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้จีนจะเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้ แต่อย่าลืมว่า ทั้งจีนและสหรัฐคือตัวการสำคัญที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดของโลก
ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องเร่งด่วนของโลก ไม่ว่าเกิดมุมไหนของโลก ก็ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศ จำเป็นที่ชาวโลกต้องตระหนักในปัญหานี้ร่วมกัน แต่ประเทศมหาอำนาจต้องแสดงความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นต้นเหตุสำคัญด้วย
เรื่อง Climate Change จะอยู่ในลำดับต้นๆ ของนโยบายสหรัฐภายใต้การนำของโจ ไบเดน อย่างแน่นอน
การฆาตกรรมชาวผิวดำ จอร์จ ฟลอยด์ โดยเจ้าหน้าที่รัฐผิวขาว ทำให้การเหยียดสีผิวกลับเข้ามาเป็นประเด็นในการเมืองสหรัฐและสังคมโลกอีกครั้ง
เรื่องการเหยียดสีผิว เหยียดเชื้อชาติ ชาวโลกต้องร่วมมือกันแก้ไข เพราะมนุษย์ไม่ว่าจะมีสีผิว เชื้อชาติ ศาสนาใด ล้วนมีคุณค่าเหมือนกันหมด ความยุติธรรมต้องเสมอภาคกัน
Abraham Accords เป็นการลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างกันของอิสราเอล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรน โดยการนำของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์
ความพยายามของประธานาธิบดีทรัมป์ในการทำให้ประเทศตะวันออกกลางอื่นๆ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับอิสราเอล (เดิมมีแค่อียิปต์และจอร์แดน) เป้าหมายจริงๆ ก็เพื่อต้องการขายอาวุธ เพราะถ้ายังเป็นปฏิปักษ์กับอิสราเอล อิสราเอลจะไม่ยอม ทั้งหมดก็เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ไม่ได้สร้างสันติภาพถาวรอย่างแท้จริง เนื่องจากปาเลสไตน์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ที่สำคัญ จุดกำเนิดของปัญหาการก่อการร้ายอยู่ที่ตะวันออกกลาง เป็นปมความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์-อิสราเอล-ประเทศอาหรับ
เป็นผลมาจากการที่การขนส่งทั่วโลกหยุดชะงัก (จากการแพร่ระบาดของโควิด) และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ยังคงผลิตต่อเนื่องในปริมาณเดิม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ OPEC ในอนาคต ขณะเดียวกันเราได้เห็นการมองการณ์ไกลของผู้นำในการเตรียมพร้อมประเทศ ไม่พึ่งพิงรายได้จากน้ำมันเพียงอย่างเดียว
สหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของสองประเทศนี้ก็ดิ่งลงเรื่อยๆ แม้ภายหลังจะมีความพยายามดึงอิหร่านกลับเข้ามาในการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์อีกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่อิหร่านก็ไม่เอาด้วยแล้ว ทำให้อิหร่านไม่มีพันธะเรื่องการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
เรื่องนี้เป็นความเบาปัญญาของทรัมป์ และกลายเป็นโจทย์สำคัญของโจ ไบเดนในฐานะประธานาธิบดี ในการดึงอิหร่านกลับเข้ามาในโต๊ะเจรจา
อังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปและสามารถเจรจาบรรลุข้อตกลงระหว่างกันได้สำเร็จก่อนสิ้นปี 2020
บทเรียนจากการที่อังกฤษลงประชามติออกจากสหภาพยุโรปปี 2016
นายกรัฐมนตรีเวลานั้น (เดวิด คาเมรอน) ไม่คิดว่าผลการลงประชามติจะพลิกล็อค ประชาชนเลือกออกจากสหภาพยุโรปมากกว่า (ชนะเฉียดฉิว) เรื่องนี้เป็นบทเรียนให้อีกหลายประเทศต้องบวกลบคูณหารผลดีผลเสียให้ถี่ถ้วน เพราะผลออกมาเป็นอย่างไรก็ต้องรับผิดชอบผลที่ได้นั้น ถอยหลังกลับไม่ได้ ขณะนี้เป็นที่แน่ชัดว่าอังกฤษได้รับผลกระทบมาก หน่วยงานที่วางแผนและวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจบอกว่าทำให้อัตราการเติบโตของอังกฤษลดลง ต้องรอดูกันต่อว่าอังกฤษจะเป็นอย่างไรเมื่อนำข้อตกลงเหล่านั้นไปปฏิบัติจริง
• Chaos | Confusion | Corruption บทสรุปแห่งตำนาน 3C ที่ทรัมป์ทิ้งไว้
• จริงๆ แล้วทรัมป์มีโอกาสชนะการเลือกตั้งด้วยซ้ำ เพราะในยามเกิดวิกฤต ผู้นำได้แสดงความรับผิดชอบ แม้การบริหารจัดการจะบกพร่องไปบ้าง แต่โควิดไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ ทว่าทรัมป์กลับเลือกหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องของตัวเอง และไม่ทำอะไรตรงไปตรงมา
• ตัวอย่างวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน 3 คนที่ไร้หลักการ กลืนน้ำลายตัวเอง ลืมสิ่งที่เคยวิจารณ์ทรัมป์เสียๆ หายๆ พอตัวเองได้ประโยชน์จากทรัมป์ก็กลับคำพูด เปลี่ยนมาเป็นสรรเสริญเยินยอทรัมป์ได้ทันที
• ทรัมป์เป็นกรณีศึกษาตัวอย่างของผู้นำที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง
รายการรัฐศาสตร์สู่สังคม
ศาตราจารย์กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู และ ผศ.ดร.ปราณี ทิพย์รัตน์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย