วิกฤตประชาธิปไตยที่มีผลลัพธ์แตกต่างกัน: เปรียบเทียบการเมืองสหรัฐกับเมียนมา
864 views
0
0

วิกฤตประชาธิปไตยที่มีผลลัพธ์แตกต่างกัน เปรียบเทียบการเมืองสหรัฐกับเมียนมา ระหว่าง Rule of Law กับ Rule by Law

เกิดวิกฤตประชาธิปไตย

• 6 มกราคม 2021 กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์บุกหน้าอาคารรัฐสภาสหรัฐ เกิดเหตุจลาจลวุ่นวาย เวลาผ่านไปจนถึงวันที่ 20 มกราคม 2021 พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโจ ไบเดน เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

• 1 กุมภาพันธ์ 2021 เกิดรัฐประหารที่เมียนมา กองทัพประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศเป็นเวลา 1 ปี หลังออกแถลงการณ์ว่าพบความผิดปกติในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

ประชาธิปไตยในสหรัฐกับเมียนมา เปรียบเทียบกันได้หรือ

• เป็นเรื่องบังเอิญที่ทั้งสองประเทศมีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2563 เหมือนกัน เมื่อผลเลือกตั้งออกมาก็มีประเด็นกล่าวหากันว่ามีการโกงการเลือกตั้งเหมือนกัน

• วิเคราะห์จุดอ่อน-จุดแข็งเรื่องประชาธิปไตยของสองประเทศนี้ ซึ่งเป็นกรณีที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดในสหรัฐก็เกิด สิ่งที่ไม่เหนือความคาดหมายในเมียนมายังคงเกิด เพื่อนำไปสู่คำตอบที่ว่า ทำไมประชาธิปไตยในเมียนมาจึงเปราะบาง ล้มง่าย ทำไมประชาธิปไตยในสหรัฐจึงฟื้นตัวได้เร็ว

อ้างว่าทำตามรัฐธรรมนูญ

• ผู้บัญชาการทหารสูงสุด มิน อ่อง ลาย อ้างว่าการรัฐประหารครั้งนี้ทำตามรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าลองไปอ่านมาตรา 417-418 จะรู้เลยว่า การอ้างนี้ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ

• แม้รัฐธรรมนูญบอกว่า หากเกิดกรณีที่มีภัยต่ออธิปไตยต่อประเทศก็สามารถประกาศสภาวะฉุกเฉินได้ แต่คนที่ประกาศได้ต้องเป็นประธานาธิบดี ไม่ใช่ผู้นำทางทหาร และมีขั้นตอนอื่นๆ ตามมา (ถ้าว่ากันตามตำแหน่งตอนนี้ก็คือประธานาธิบดีวิน มินต์ ที่ถูกจับกุมตัวไป)

อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

• หลังจากที่โจ ไบเดน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง เกิดความพยายามล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยทรัมป์กล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้ง ฝ่ายทหารของสหรัฐทำอย่างไร

สารของผู้นำทางทหารเขียนถึงผู้นำทุกเหล่าทัพ (ที่คุมกองกำลังสำคัญของประเทศ) ให้ทราบถึงจุดยืนของทหารว่าจะเคารพและปกป้องรัฐธรรมนูญสหรัฐ หลังเกิดเหตุจลาจล (การบุกอาคารรัฐสภา) เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021

• เราจะเห็นกลไกลทางการเมืองสหรัฐที่เยียวยาวิฤตการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องใช้วิธีที่ไม่เป็นประชาธิปไตย นอกจากสะท้อนวัฒนธรรมทางการเมืองที่ปลูกฝังในสังคมอเมริกันที่จะไม่สนับสนุนคนละเมิดกฎหมายแล้ว สิ่งนี้เองที่แสดงให้เห็นตลอดมาว่าทำไมประชาธิปไตยในสหรัฐสามารถดำรงอยู่และแก้ไขได้ด้วยตัวของมันเอง

Rule of Law กับ Rule by Law

Rule of Law หลักนิติธรรม กฎหมายถูกใช้อย่างเสมอภาคและเป็นธรรมกับทุกคน
Rule by Law ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่มักใช้กฎหมายเป็น “เครื่องมือ” ในการจัดการฝ่ายตรงข้าม เพื่อรักษาผลประโยชน์ตัวเอง

ความแตกต่างอย่างยิ่งของกระบวนการประชาธิปไตยในสหรัฐและเมียนมาเมื่อเกิดความพยายามล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นั่นคือ การยึดกฎหมาย

• เมียนมา ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อดำเนินการอะไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตีความ
• สหรัฐ ยึดหลักกฎหมาย ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองที่สำคัญมาก เพราะทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียม

ประชาธิปไตยยังไปต่อ

• คนที่เคยเป็นพันธมิตรกับทรัมป์ พอถึงจุดหนึ่งก็ไม่สามารถทนความไม่ถูกต้องได้อีกต่อไป

• การยุยงปลุกปั่นของทรัมป์ให้กลุ่มผู้สนับสนุนเขาก่อจลาจลที่อาคารรัฐสภา ความผิดครั้งนี้รุนแรงถึงขั้นนำไปสู่กระบวนการถอดถอนเป็นครั้งที่สอง กรณีนี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับบรรทัดฐานทางการเมืองและกฎหมายในแง่ที่ว่า การกระทำของทรัมป์ทำให้คนเป็นกบฏต่อรัฐธรรมนูญของประเทศหรือไม่ คดีเช่นนี้จะมีข้อโต้แย้งจากทั้งสองฝ่ายอย่างไร

• โซเชียลมีเดียกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สำคัญ กลุ่มการเมืองไม่ว่าประเทศใดมักใช้มันเพื่อป้อนข้อมูลเฉพาะของกลุ่มตัวเอง ทำให้คนที่เสพสื่อไม่รอบด้านอาจตกเป็นเหยื่อได้

• ความเห็นต่างในสังคมประชาธิปไตยเกิดขึ้นได้ แต่ต้องไม่ใช่เกิดจากการโกหกมดเท็จ ทำให้คนเข้าใจผิดด้วยข้อมูลที่ไร้หลักฐาน ทำให้คนจงเกลียดจงชัดกัน
_____________________________

รั ฐ ป ร ะ ห า ร ใ น เ มี ย น ม า
เหตุการณ์ก่อนหน้ารัฐประหาร

ตั้งแต่ปี 2015 ที่พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งอย่างท้วมท้น รัฐบาลภายใต้อองซาน ซูจี ได้เข้ามาบริหารประเทศ แม้ความเป็นประชาธิปไตยไม่ได้เกิดขึ้นทันที เพราะต้องใช้เวลา แต่มีประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์คือ

- สิทธิเสรีภาพของสื่อในเมียนมายังไม่ดีขึ้นเท่าไร มีการฟ้องร้องสื่อที่กล่าวหารัฐ
- การปราบปรามชนกลุ่มน้อยยังอยู่ โดยเฉพาะโรฮิงญา
- อองซาน ซูจี มุ่งเน้นกระบวนการสร้างสันติภาพภายในประเทศมากกว่าฟื้นฟูเศรษฐกิจ
- การเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2020 ไม่โปร่งใส

แรงจูงใจของทหาร แรงต่อต้านจากประชาชน

• รัฐธรรมนูญเมียนมากำหนดให้กองทัพมีที่นั่งสำคัญในสภา 25% เมื่อพรรคเอ็นแอลดีชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2020 อองซาน ซูจี จึงอยากลดสัดส่วนทหารในสภา เพื่อลดอำนาจและอิทธิพลของทหารที่มีมากเกินไป จากนั้นก็เพิ่มอำนาจให้กับประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง อองซาน ซูจี ต้องอยู่กับทหารก่อน เพราะทหารยังคุมอำนาจในเมียนมา

• ทั้งที่ทหารมีอำนาจมากพอสมควรในสภาอยู่แล้ว มูลเหตุจูงใจในการทำรัฐประหารของนายพลมิน อ่อง ลาย คืออะไรกันแน่ แล้วที่กล่าวว่ามีการโกงการเลือกตั้งนั้นจริงหรือ

• รอดูปฏิกิริยาของคนเมียนมาจะต่อต้านถึงแค่ไหน เพราะผลการเลือกตั้งสองครั้งที่ผ่านมาบอกชัดเจนว่านางอองซาน ซูจี ยังคงได้รับความนิยมในหมู่คนเมียนมาทุกชนชั้น

เสียดายโอกาส

• เมียนมามีทรัพยากรมากมาย ประเทศมหาอำนาจและนักลงทุนให้ความสนใจ นับเป็นโอกาสสร้างประเทศ แต่การเข้ามายึดอำนาจของกองทัพเช่นนี้เรียกได้ว่าไม่คำนึงถึงอนาคตประเทศ

• ต้องบอกว่านี่เป็นโอกาสของผู้นำให้ประวัติศาสตร์ได้จารึกชื่อ (ก่อนลงจากตำแหน่ง) ในฐานะคนวางพื้นฐานอนาคตประเทศ มีโอกาสแต่กลับพลาดโอกาส ทำไมถึงเลือกคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องระยะสั้น ซึ่งวันหนึ่งก็หายไป

ประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้น

หนังสือ The Hidden History of Burma เขียนโดย Thant Myint-U

• เข้าใจประวัติศาสตร์และบ่อเกิดความขัดแย้งในเมียนมาที่มีความซับซ้อน ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ด้วยกรอบประชาธิปไตยเพียงผิวเผิน

• รากเหง้าประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยที่ปกครองด้วยกษัตริย์ จนมาถึงรอยร้าวที่อาณานิคมอังกฤษทิ้งไว้เป็นมรดกทางการเมืองกับเมียนมา นำมาสู่ความแตกแยกในสังคมเมียนมาจนถึงทุกวันนี้

• วงจรการรัฐประหารในเมียนมาจะยังไม่จบเท่านี้ ถ้าหากพรรคที่ชนะการเลือกตั้งไม่ใช่พรรคของทหาร เพราะทั้งหมดไม่ใช่เรื่องกระบวนการเลือกตั้ง แต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์

รายการรัฐศาสตร์สู่สังคม
ศาตราจารย์กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู และ ผศ.ดร.ปราณี ทิพย์รัตน์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รัฐศาสตร์สู่สังคม