สำหรับทีมงานรายการดนตรีคลาสสิก สถานีวิทยุจุฬาฯ นั้น เท่าที่เราจะทำได้ตามขอบเขตของเนื้อหารายการและจุลสารเล็กๆเล่มนี้ คือขอเสนอเรื่องราวของบทเพลงที่มีชื่อว่า 4’ 33’’ (อ่านว่า สี่นาที สามสิบสามวินาที) ของจอห์น เคจ (John Cage; ค.ศ. 1912-1992) ซึ่งผู้เขียนเคยเสนอไว้ครั้งหนึ่งแล้วในจุลสาร Music of the Masters ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 แต่ขอนำเสนออีกครั้งในบริบทการฟังและบริบทสังคมที่ต่างออกไป
จอห์น เคจ เป็นนักประพันธ์เพลงแนวล้ำสมัย ชาวอเมริกัน เคยเรียนดนตรีกับ นักประพันธ์เพลงและนักคิดทางดนตรีใหญ่ๆหลายท่านตอนช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่ต่อมามุ่งแสวงหาแนวทางดนตรีอื่นๆ เพื่อบรรลุถึงเอกลักษณ์ของตนเอง และพยายามหาแนวทางสร้างสรรค์ดนตรีใหม่ๆให้สังคมตะวันตก ที่ระบบภาษาดนตรีซึ่งดำเนินมาแล้วหลายร้อยปี ถึงทางตันและเริ่มปรากฏความเสื่อมสลายอย่างจริงจัง (ไม่ต่างอะไรกับระบบระเบียบแบบแผนทางการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคมของฝรั่งตะวันตกกระแสหลัก)
เคจ ออกเดินทางท่องเที่ยวดูโลกกว้าง เยือนดินแดนต่างๆและร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะกับศิลปินมากมายหลายสาขา และในราวช่วงทศวรรษ 1940 เป็นต้นมา หันมาสนใจและได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของปรัชญาตะวันออกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแนวคิดและวิถีชีวิตของลัทธิเซนและเต๋า แนวคิดตะวันออกส่งผลสะเทือนถึงงานสร้างสรรค์ของเคจนับแต่นั้นมา โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง ‘การไม่ควบคุมความเป็นไปของสรรพสิ่ง’ เพราะปรัชญาตะวันออกเชื่อในความยิ่งใหญ่และการดำรงอยู่ของธรรมชาติ มนุษย์นั้นมาทีหลัง และควรน้อมนำชีวิตของตนให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ซึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดำเนินไปด้วยเจตจำนงของตนเอง; เจตจำนงแห่งธรรมชาติซึ่งหลายๆอย่างยังเป็นปริศนาของมนุษย์
ด้วยแนวคิดเช่นนี้เป็นภูมิหลัง เคจจึงรังสรรค์บทเพลงที่จำกัดบทบาทของผู้แต่งและผู้บรรเลง รวมทั้งตัวท่านเองด้วย ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นใช้วิธีการเสี่ยงทายเพื่อให้ได้เสียงโน้ตและองค์ประกอบดนตรีต่างๆ รวมทั้งวิธีการแสดงในแต่ละครั้ง เหมือนการเสี่ยงเซียมซีที่เราเป็นผู้ดำเนินการเสี่ยงทาย แต่เราควบคุมไม่ได้ทั้งหมดและไม่รู้ผลลัพธ์ล่วงหน้า เคจใช้แนวคิดและวิธีการเสี่ยงทายนี้อย่างเข้มข้นในเพลงหลายบทของท่าน บทที่สำคัญคือเพลงชุด Music of Changes for Piano จาก ปี ค.ศ. 1951 (ได้รับอิทธิพลทางความคิดและกระบวนการการแต่งจากคัมภีอี้จิงของจีนโบราณ ซึ่งฝรั่งรู้จักกันในชื่อ The Book of Changes)
แนวคิดครรลองนี้ของเคจ พัฒนามาสูงสุดในปีถัดมา ในบทเพลง 4’ 33” ที่รังสรรค์ขึ้นและนำออกแสดงครั้งแรก เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1952 ที่หอประชุม Woodstock Artists Association ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพลงบทนี้ผู้ประพันธ์ให้ใช้เครื่องดนตรีหรือกลุ่มเครื่องดนตรีอะไรก็ได้ และระบุไว้ที่สกอร์โน้ตให้ผู้บรรเลงไม่ต้องบรรเลงอะไรเลยตามเวลาที่กำหนด โดยแบ่งโครงสร้างของบทเพลงเป็น 3 กระบวน กระบวนแรกยาว 30 วินาที กระบวนที่สอง 2 นาที 23 วินาที และกระบวนสุดท้าย 1 นาที 40 วินาที
นักเปียโน David Tudor เป็นผู้แสดงเพลงนี้ในรอบปฐมฤกษ์ในคอนเสิร์ตบทเพลงเปียโนร่วมสมัย ทิวเดอร์นั่งที่หน้าเปียโนแล้วปิดฝาเปียโนเป็นการเริ่มบทเพลงกระบวนแรก เขานั่งเงียบจนครบเวลาแล้วเปิดฝาเปียโนเป็นสัญญาณว่าจบกระบวนแรก จากนั้นก็ทำเช่นเดิมกับกระบวนที่สองและสาม เขาจับเวลาแต่ละกระบวนด้วยนาฬิกาจับเวลาอย่างเคร่งครัดตามที่ระบุ (ผู้อ่านที่สนใจสามารถชมวีดีโอการแสดงนี้ได้จาก You Tube ซึ่งนอกจากจะมีบันทึกการแสดงรอบปฐมฤกษ์นี้แล้ว ก็ยังมีการแสดงของผู้ประพันธ์เอง รวมทั้งการแสดงเพลงนี้โดยศิลปินท่านอื่นๆในวาระโอกาสต่างๆกันด้วย)
แน่นอนว่าแนวคิด ความเป็นไป และการแสดงเพลงบทนี้ย่อมสร้างความประหลาดใจและความฮือฮาอย่างมากแก่ผู้ชมทุกยุคทุกสมัย เพราะดูจะหักล้างไวยากรณ์และท่าทีการแสดงออกของศิลปะดนตรีเท่าที่เรารู้จักกันในทุกวัฒนธรรมปัจจุบัน แต่หากครุ่นคิดกันให้ลึกซึ้ง องค์ประกอบดนตรีที่เคจใช้เป็นเนื้อหาของเพลงบทนี้ อันที่จริงก็เป็นสิ่งที่รู้จักและใช้กันอยู่ในดนตรีตามแบบแผนประเพณีที่มีผ่านมาในทุกยุคทุกสมัย นั่นคือ ‘ความเงียบ’ ซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของเหรียญที่มี ‘สรรพเสียง’ เป็นคู่หู ทั้งเสียงและความเงียบจึงเป็นสองด้านของการรับรู้และความเข้าใจทางโสตประสาทและความเข้าใจใน ‘ดนตรี’ อย่างสมบูรณ์ ความเงียบช่วยขับเสียงที่ต้องการให้ปรากฏโดดเด่นขึ้นมาในการรับรู้ และยังช่วยแยกแยะประโยคดนตรีหรือทำนองเพลงให้เราฟังเข้าใจ เหมือนช่องว่างระหว่างการเว้นวรรคในภาษาเขียนภาษาพูด ดนตรีฝรั่งนั้นเห็นความสำคัญของ ‘ความเงียบ’ ถึงกับให้บันทึกความเงียบเป็นลายลักษณ์ ไม่ต่างกับการบันทึก ‘เสียงโน้ต’ แสดงให้เห็นว่า ‘ความเงียบ’ มีที่ทางอย่างแน่นอนในระบบดนตรีฝรั่ง
ในเพลง 4’ 33” จอห์น เคจ เพียงแต่ยืดขยายใช้ประโยชน์จากความเงียบจนบริบูรณ์ แต่ก็ต้องนับว่าเป็นการใช้สิ่งที่รู้จักกันอยู่แล้วในภาษาดนตรีฝรั่ง ทว่าด้วยท่าทีและวิธีการแสดงออกที่แปลกแหวกแนวมาก ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนกรอบการคิดโดยได้รับอิทธิพลจากปรัชญาตะวันออก เป็นการประสมประสานกรอบตะวันตกและตะวันออกได้อย่างชาญฉลาด
นอกเหนือจากแนวคิดเรื่องการสร้างสรรค์โดยปราศจากการควบคุมดังที่กล่าวแล้ว เมื่อผู้คนไปถามถึงแนวคิดและความหมายของเพลงบทนี้ เคจก็ให้คำอธิบายหรือเสนอความคิดว่า อันที่จริงแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเงียบ’ เลย ดนตรีมีอยู่ทั่วไปทุกแห่งหน เพียงแต่เราเปิดหูเปิดใจออกไปแล้วก็ ‘ฟัง’ เคจเห็นว่าเสียงทุกเสียงมีศักยภาพเป็นเสียงดนตรีทั้งสิ้น ระหว่างที่เพลงนี้ดำเนินไปอย่างเงียบๆ ถ้าผู้ชมผู้ฟังเปิดหูเปิดใจออกไป ก็จะได้ยินเสียงต่างๆ (หรือดนตรีในความหมายของเคจ) เกิดขึ้นมากมายโดยไม่คาดหมาย ดังที่เคจกล่าวไว้เองหลังจากการแสดงรอบปฐมฤกษ์ของเพลงบทนี้ว่า
“They missed the point. There’s no such thing as silence. What they thought was silence, because they didn’t know how to listen, was full of accidental sounds. You could hear the wind stirring outside during the first movement. During the second, raindrops began pattering the roof, and during the third, the people themselves made all kinds of interesting sounds as they talked or walked out.”
หลังจากความฮือฮาและสับสนวุ่นวายหลังการแสดงรอบปฐมฤกษ์ เพลงบทนี้ก็ค่อยๆเป็นที่รู้จักและกลายมาเป็นเพลงที่สำคัญที่สุดบทหนึ่งของเคจ มีการซื้อลิขสิทธิ์ไปตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์โน้ตดนตรี Edition Peters
นอกจากนี้ ผู้ประพันธ์ยังหวนกลับมาหาและปรับเปลี่ยนรายละเอียดของเพลงบทนี้อยู่อีกเป็นระยะ โดยสิบปีถัดจากครั้งแรก ท่านออกฉบับปี ค.ศ.1962 ใช้ชื่อเพลงว่า 0’ 0” หรือรู้จักกันในอีกชื่อว่า 4’ 33” หมายเลข 2, ต่อมาในปี ค.ศ. 1989 เพียง 3 ปีก่อนถึงแก่กรรม เคจก็ยังหวนกลับมาหาเพลงบทนี้ นำเสนอฉบับปรับครั้งสุดท้าย ใช้ชื่อเพลงว่า One = 4’ 33” (0’ 0”) + โดยระบุรายละเอียดให้ใช้ระบบเครื่องเสียงเป็นกรอบกำกับความเงียบ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะแบบฉบับใด แนวคิดและเนื้อหาดนตรีก็ยังคงเดิม
60 กว่าปีหลังจากการแสดงรอบปฐมฤกษ์ของเพลง 4’ 33” ผู้เขียนบทความนี้ขอเสนอการตีความเพลงบทนี้ในอีกลักษณะหนึ่ง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของสังคมเราในปัจจุบัน เป็นการแสดงให้เห็นถึงคุณค่าและศักยภาพของผลงานศิลปะที่สามารถรับใช้สังคมได้ในหลายยุคหลายสมัยที่เปลี่ยนไป ขอเชิญชวนผู้อ่านผู้ฟังร่วมกันบรรเลงเพลงบทนี้ บทเพลงที่เราเป็นทั้งผู้บรรเลงและผู้ฟังอย่างครบวงจรไปพร้อมๆกัน
ลองหาเวทีบรรเลงให้เหมาะตามใจชอบ อยู่ในอิริยาบถสงบสำรวม หลับตาแล้วเริ่มบรรเลง โดยเพียงตั้งใจอยู่นิ่งๆ เงียบๆ เฉยๆ หยุดความคิด ความฝัน ความอยาก ละวางจุดประสงค์จุดหมายปลายทางและตัวตนทั้งปวง หาจุดสมดุลระหว่างความตั้งใจและการผ่อน-คลาย แล้วฝึกบรรเลงจนสามารถประคองความเงียบ ความนิ่ง ความว่างให้คงอยู่ได้ อย่างน้อยก็ประมาณ 4 นาที 33 วินาที ตามที่เคจเสนอไว้
การบรรเลงเพลงบทนี้ก็เช่นเดียวกับการบรรเลงบทเพลงอื่นใด ที่ต้องอาศัย ‘ความ-เพียร’ ในการฝึกซ้อม เมื่อบรรเลงได้เชี่ยวชาญขึ้นตามลำดับ ก็อาจขยายออกเป็นบทเพลงขนาดใหญ่ขึ้นๆ ตามที่ผู้ประพันธ์กำกับไว้ในรายละเอียดของสกอร์โน้ต (ฉบับ Edition Peters) ว่า “The work may be performed by (any) instrumentalist or combination of instrumentalists and last any length of time.” เมื่อบรรเลงได้เชี่ยวชาญและนานพอ ก็จะสามารถรับสุนทรียรสของความเงียบความว่าง ซึ่งคือความสงบในตัวเอง โดยผู้เขียนเสนอว่า ไม่ต้องนึกถึงหรือใส่ใจกับสรรพเสียงใดๆที่อาจเกิดขึ้น เพียงรับรู้แบบผู้สังเกตการณ์แล้วก็ปล่อยละวางไป
นอกเหนือจากสุนทรียรสทางศิลปะที่ได้รับ ความสงบที่เกิดขึ้นจะทำให้จิตมีกำลัง พร้อมจะให้ ‘เมตตา’ และ ‘ปัญญา’ อันแท้จริงผุดพราย ซึ่งทั้ง ‘ความเพียร’ ‘ความเมตตา’ และ ‘ปัญญาอันเกิดจากสติ’ จะนำมาสู่ความยั่งยืนแห่งการพัฒนา และความสามัคคีปรองดองเยี่ยงสังคมอารยะอย่างแท้จริง จุดหมายปลายทางเช่นนี้มิใช่หรือ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในพระบรมโกศ ทรงพร่ำชี้แนะและวางแนวทางให้พวกเรามาโดยตลอด
ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งปวงร่วมกันบรรเลงบทเพลงแห่งความเงียบอันสงบสันติ เริ่มต้นอย่างน้อยวันละ 4 นาที 33 วินาที เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพลังงานบริสุทธิ์ที่เกิดจากสุนทรียรสแห่งความเงียบ เป็นเครื่องระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเป็น ราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ