Mueller's Report บทพิสูจน์ระบบการถ่วงดุลในกระบวนการประชาธิปไตยอเมริกัน
2,049 views
0
0

18 เมษายน 2019 รายงานของมุลเลอร์ ฉบับเต็ม ความยาว 448 หน้า ถูกเผยแพร่

ประเด็นที่อยากให้สนใจไม่ใช่แค่เนื้อหาในรายงาน แต่เป็นเรื่อง ความโปร่งใสในกระบวนการประชาธิปไตยของการเมืองสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีที่ตรวจสอบกันได้

ประเด็นสำคัญจากรายงานของมุลเลอร์

การเลือกตั้งสหรัฐปี 2016 มีการกล่าวหาว่า มีความสัมพันธ์กันระหว่างทีมหาเสียงของทรัมป์กับรัสเซีย เชื่อกันว่า รัสเซียอาจมีส่วนไม่มากก็น้อยที่ทำให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี

ข้อสรุปของมุลเลอร์

1. ไม่พบประเด็นที่เรียกว่า Criminal Conspiracy การทำผิดทางอาญา

แม้ว่าการสืบสวนจะเจออะไรหลายอย่าง แต่ ไม่มีหลักฐานแน่ชัด มัดตัวว่า (ทีมหาเสียงของทรัมป์กับรัสเซีย) สมคบคิดทางอาชญากรรม จึงไม่สามารถตั้งข้อกล่าวหาได้ ขณะเดียวกันแม้พบว่ามี Collusion (การร่วมมือกัน) แต่การร่วมมือนี้ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นการสมคบคิดที่ผิดกฎหมาย

2. ไม่ได้บอกว่าทรัมป์ไม่ได้ขัดขวางกระบวนการยุติธรรม นี่เป็นข้อหาสำคัญ*

ตัวอย่างกรณี (ที่ถูกกล่าวหาว่า) ขัดขวางกระบวนการยุติธรรม

-ประธานาธิบดีทรัมป์ไล่ เจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการหน่วยงานสืบสวนกลางสหรัฐ (FBI) ออก

-ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามให้ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของทำเนียบขาวบอกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สั่งให้โรเบิร์ต มุลเลอร์ ยุติการสอบสวนเรื่องนี้

ทำไมไม่ฟันธงว่า ทรัมป์ทำผิดกฎหมายอาญาที่ขัดขวางกระบวนการยุติธรรม

ถ้าได้อ่านรายงานของมุลเลอร์ พบว่าเป็นการเขียนที่แยบยล ไม่สามารถที่จะสรุปได้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ขัดขวางกระบวนการยุติธรรม

แต่เพราะเป็นนโยบายของกระทรวงยุติธรรมที่ไม่สามารถดำเนินคดีอาญากับประธานาธิบดีระหว่างที่ดำรงตำแหน่งได้
อีกทั้งมุลเลอร์ก็ได้รับการว่าจ้าง (ให้สืบสวนสอบสวน) จากกระทรวงยุติธรรม จึงต้องยกให้กระทรวงไปดำเนินการต่อหรือตัดสินเอง

ข้อเสนอของมุลเลอร์

มุลเลอร์เสนอให้สภาคองเกรสเอารายงานนี้ไปพิจารณาต่อว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีความผิดเรื่องการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมจริงหรือไม่ ควรนำไปสู่กระบวนการถอดถอนหรือไม่

ปฐมบทแห่งการสอบสวน

ทีมหาเสียงของทรัมป์สมรู้ร่วมคิดกับรัสเซียในการล้วงข้อมูลอีเมล์จากที่ทำการพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นข้อมูลที่สร้างความเสียหายให้กับฮิลลารี คลินตัน ส่งผลกระทบต่อความนิยมของเธอ

ข้อมูลนี้อาจไม่ทำให้ทรัมป์ได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ทำให้คนที่คิดจะเลือกฮิลลารี คลินตัน ลังเลใจ ไม่ลงคะแนนเสียง ตรงนี้มีหลักฐานสนับสนุนว่าคนที่เคยให้การสนับสนุนพรรคเดโมแครตและโอบามาในมลรัฐที่สำคัญ โดยเฉพาะ Swing state มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ลงคะแนนเสียงให้ฮิลลารี คลินตัน ขณะที่ทรัมป์ชนะเฉียดฉิวในมลรัฐเหล่านี้ จนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง

ทำไม Collusion ไม่ใช่ Criminal Conspiracy

คำว่า Collusion ในทางกฎหมายของสหรัฐ ไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา เป็นความร่วมมือที่ไม่ถึงระดับประกอบอาชญากรรม

ประเด็นคือ แม้ข้อมูลที่รัสเซียได้ ผิดกฎหมายอาญา เพราะไปล้วงข้อมูลส่วนตัวและยังเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมือง แต่การทำผิดทางอาญาของรัสเซีย ไม่พบหลักฐานชี้ชัดว่าทีมหาเสียงของทรัมป์เข้าไปเกี่ยวข้อง ตั้งแต่วางแผนและลงมือทำ

เพียงแต่ทีมหาเสียงของทรัมป์ได้ประโยชน์จากการพบปะตัวแทนของรัฐบาลรัสเซีย (มีหลักฐานเพียงว่ามีการพบปะกัน และรู้ว่าได้ข้อมูลมาอย่างผิดกฎหมาย)

แค่สงสัยไม่พอ ต้องไร้ข้อสงสัย

หลายคนบอกว่า หลักฐานแวดล้อมแค่นี้น่าจะเพียงพอแล้ว
แต่ในทางกฎหมายอาญาต้อง พิสูจน์จนไร้ข้อสงสัย (Proof Beyond a Reasonable Doubt)

What's Next

มีคำถามว่า สภากองเกรสจะทำอย่างไรต่อไป

เรื่องนี้มี 2 กระแส มีการถกเถียงกันว่าควรดำเนินการถอดถอดประธานาธิบดีหรือไม่
1. ถอดถอน
2. ไม่ต้องถอดถอน เพราะเสียเวลา ให้ประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ในตำแหน่งต่อไป เป็นการบ่อนเซาะและทำลายพรรครีพับลิกันไปเรื่อยๆ คนจะเห็นว่าทรัมป์ไม่เหมาะสมเป็นประธานาธิบดีเพียงใด คนจะเชื่อมโยงกับความไม่น่านิยมของพรรครีพับลิกัน และกลายเป็นโอกาสของพรรคเดโมแครต

คำถามที่ยังไม่ตอบ ทำไมรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐ

ในรายงานของมุลเลอร์ไม่ได้วิเคราะห์ว่า รัสเซียมีแรงจูงใจอะไรในการแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐปี 2016
ทำไมปูตินในฐานะผู้นำรัสเซีย (ถ้ามีส่วนเกี่ยวข้องจริง) อยากให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง

เพราะไม่ชอบฮิลลารี คลินตัน?
เพราะทรัมป์ชักจูงง่ายกว่า?
เพราะการเข้ามาแทรกแซง ทำให้รัสเซียรู้สึกว่าถือไพ่เหนือกว่าสหรัฐ?

เราไม่มีวันรู้หรอกว่าเหตุจูงใจที่แท้จริงของปูตินคืออะไร

สมัยที่ฮิลลารีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ก็วิพากษ์วิจารณ์รัสเซียค่อนข้างเยอะ และมีนโยบายแข็งกร้าวต่อรัสเซีย
ถ้ามองอีกด้าน เป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าประเทศไหนก็ต้องอยากให้รัฐบาลประเทศอื่นมีทัศนคติที่ดีและไม่เป็นปฏิปักษ์กับเรา

บทบาทสื่อ กรณีรายงานของมุลเลอร์

สรุปประเด็นที่เป็นหัวใจสำคัญ เพื่อให้ประชาชนที่ไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย เข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับตัวเขาอย่างไร และถ้าสนใจประเด็นไหน ก็โยงให้เห็นว่าต้องไปอ่านตรงไหนต่อ ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เพื่อให้คนเข้าถึง

สื่อมวลชนกระแสหลักของสหรัฐเป็นพวก Liberal มีจุดยืนของตนเอง มีการตรวจสอบกันเอง
แยกแยะข้อเท็จจริงและความคิดเห็น เพื่อให้คนตัดสินเอง ไม่จงใจบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้สอดคล้องกับความเห็นของตนเอง

ประชาธิปไตยในการเมืองสหรัฐ ข้อดีที่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างคือ ความโปร่งใส เกิดอะไรขึ้นสามารถสืบสวน ตรวจสอบได้ ข้อเท็จจริงและหลักฐานจะอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถโกหกได้

ถอด-ถอน

รัฐธรรมนูญสหรัฐระบุไว้ หากประธานาธิบดีทำสิ่งที่เป็นการทรยศต่อประเทศ ติดสินบน หรือทำผิดทางอาญา ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าเข้าเกณฑ์ก็จะดำเนินเรื่องในสภา เพื่อเข้าสู่กระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีต่อไป

กรณีทรัมป์ แม้เข้าข่าย เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการยอมให้ต่างชาติมาแทรกแซง แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีส่วนร่วมในการกระทำ

กระบวนการถอดถอนเป็นประเด็นทางการเมือง

ถ้าเสียงส่วนใหญ่ของ ส.ส. ในสภาเห็นว่าควรถอดถอน ก็เข้าสู่การถอดถอน

-ส.ส. ทำหน้าที่เป็นอัยการ
-ส.ว. ทำหน้าที่เหมือนลูกขุน ลงคะแนนเสียงตัดสินว่าควรถอดถอนหรือไม่ (พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาสูง จึงค่อนข้างยากที่จะถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์)
-ศาลสูง ทำหน้าที่เป็นประธานในการไต่สวน (ไม่สามารถแทรกแซงสภาในกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีได้)

Culture Of (Dis) Honesty

Dishonesty
New York Times เขียนบทความ 'A Portrait of the White House and Its Culture of Dishonest'
พูดถึง วัฒนธรรมความไม่ซื่อสัตย์ที่แพร่ระบาดในทำเนียบขาว คนโกหกกันตลอดเวลา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดี ถ้าถามว่าแปลกไหมสำหรับเจ้าหน้าที่หรือนักการเมือง คงไม่ แต่ถ้าปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่มีการลงโทษ ทำให้เห็นว่า Culture Of Dishonesty สามารถผ่านไปโดยไม่มีใครทำอะไร

Honesty
ในระหว่างการสอบสวน เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่แม้จะอยู่ภายใต้สังกัดประธานาธิบดีทรัมป์ แม้ถูกคำสั่งให้ต้องโกหกหรือปลดใคร ถ้าเจ้าหน้าที่เห็นว่าไม่ถูกต้องก็ไม่ทำตาม เรื่องนี้น่าชื่นชม ไม่ยอมทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แม้ผู้สั่งการคือประธานาธิบดี

BRI เหตุจูงใจเบื้องหลังยุทธศาสตร์ของจีน [นาทีที่ 62]

Belt and Road Initiative เพื่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของจีน

>> ก่อนหน้าที่ สี จิ้นผิง ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีปี 2013 ตอนนั้นเศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอตัว
จีนมีปัญหาเรื่องผลผลิตที่เกินพอดีจากการเร่งพัฒนาเต็มกำลัง ทำอย่างไรจะรักษาระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ได้ วิธีหนึ่งคือต้องเอาผลผลิตเหล่านี้ไปลงทุนนอกประเทศ

>> การพัฒนาเส้นทางด้านตะวันตกของจีน (เอเชียกลาง-ยุโรป) ทำให้ประเทศทางตะวันตกของจีนซึ่งยากจน ได้รับการพัฒนาไปด้วย

>> จีนต้องการความมั่นคงทางพลังงาน การสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลาย ช่วยลำเลียงพลังงานมาสู่จีน

>> จีนต้องการผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงเพื่อเผชิญหน้ากับสหรัฐที่พยายามสกัดกั้นจีน

รายการรัฐศาสตร์สู่สังคม
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู และ ผศ.ดร.ปราณี ทิพย์รัตน์
ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รัฐศาสตร์สู่สังคม