บทความฉบับนี้ขอแสดงความคารวะต่อห้วงน้ำอันยิ่งใหญ่ ที่เป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตทุกชีวิต คือ ‘ท้องทะเลและมหาสมุทร’ ซึ่งกินที่พื้นที่ถึง 2 ใน 3 ของพื้นผิวโลก นี่คือเรื่องราวของ ‘บทเพลงแห่งท้องทะเล’ (La mer; ละแมร์) ผลงานของ โคล้ด เดบุสซี (Claude Debussy; ค.ศ. 1862-1918) นักประพันธ์เพลงเอกชาวฝรั่งเศส ในสไตล์ ศิลปะประทับอารมณ์ (Impressionism) น่าสังเกตว่า ‘น้ำ’ ดูจะเป็นแหล่งบันดาลใจสำคัญในการสร้างสรรค์งานของศิลปินกลุ่มนี้เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน จิตรกร และนักประพันธ์เพลง ที่สร้างสรรค์งานอยู่ในช่วง ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ต่อกับต้นศตวรรษที่ 20 คือประมาณช่วงปี ค.ศ. 1880-1920
สำหรับเดบุสซีนั้น บิดาของท่านเคยเป็นทหารเรือ และอยากให้ลูกชายดำเนินรอยตาม อย่างไรก็ตาม ชะตาชีวิตของเดบุสซีหันเหมาเป็นนักดนตรี นักแต่งเพลง แต่ภาพและเรื่องราวของท้องทะเลก็คงประทับอยู่ในใจไม่น้อย
นอกจากนี้ ในช่วงปี ค.ศ. 1902-1903 ที่ท่านเริ่มคิดแต่งเพลงนี้ เดบุสซีไปเยือนกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และมีโอกาสไปชมภาพเขียนของ วิลเลียม เทอร์เนอร์ (William Turner; 1775-1851) จิตรกรชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงมากในการวาดรูปทิวทัศน์ท้องทะเล (seascape) ซึ่งน่าจะเป็นแรงบันดาลใจอีกประการหนึ่ง ที่ส่งผลให้ความคิดของเพลงชุดนี้ก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่างยิ่งขึ้น
ศิลปินอีกท่านหนึ่งที่มีอิทธิพลทางความคิดเกี่ยวกับภาพของท้องทะเลแก่เดบุสซีในช่วงเวลาดังกล่าว คือศิลปินภาพพิมพ์ญี่ปุ่นนาม คัสสุชิกะ โฮกุไซ ทั้งนี้เพราะในช่วงเวลานั้น ผู้คนและศิลปินทั้งหลายในกรุงปารีสกำลังนิยมและคลั่งไคล้ศิลปะตะวันออกมาก โดยเฉพาะศิลปะญี่ปุ่นและชวา อันเป็นผลสืบเนื่องจากเทศกาล World Exposition ในปี ค.ศ. 1889 ที่กรุงปารีส ซึ่งมีการเผยแพร่ศิลปะตะวันออกเป็นครั้งแรก นำความตื่นตาตื่นใจและตื่นหูมาสู่ชาวยุโรปมาก ไม่ว่าจะเป็นเพลงจากวงกาเมลันของชวา หรือภาพพิมพ์ไม้สีสันสดใสของญี่ปุ่น สำหรับเดบุสซีเองนั้น ถึงกับเลือกภาพพิมพ์ไม้ชื่อภาพ ‘เกลียวคลื่น’ (The Great Wave) ของโฮกุไซ มาเป็นภาพปกของโน้ตเพลง La mer ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย
‘บทเพลงแห่งท้องทะเล’ ของเดบุสซี กำหนดให้บรรเลงด้วยวงดุริยางค์ขนาดใหญ่ บทเพลงประกอบด้วยท่อนย่อย 3 ท่อน แต่ละท่อนผู้ประพันธ์กำกับชื่อท่อนไว้ด้วย ชวนให้ผู้บรรเลงและผู้ฟัง จินตนาการภาพและความรู้สึกตามไปได้อย่างชัดเจน
ท่อนแรก กำกับชื่อว่า ‘อรุณรุ่งถึงเที่ยงวันที่ท้องทะเล’ (De l’aube a midi sur la mer) เพลงเริ่มด้วยภาพของท้องทะเลยามเช้าตรู่ ทุกสิ่งยังคงสงบนิ่งแต่หนักแน่นด้วยพลังจากเสียงเครื่องสายแนวต่ำๆผสมผสานด้วยพิณใหญ่
จากนั้นไม่นาน ตัวละครต่างๆของท้องทะเลต่างก็ค่อยๆตื่นขึ้นมาแสดงบทบาท ได้แก่ น้ำ คลื่น ลม เงาสะท้อนจากท้องฟ้า และเมฆหมอกที่ทอทาบกับท้องน้ำเมื่อแสงตะวันเริ่มฉายฉาน ทำนองเอกของท่อนนี้เล่นด้วยปี่อิงลิชฮอร์นและแตรทรัมเป็ต มีท่วงทำนองฟังคล้ายเพลงตะวันออก สื่อถึงดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นจากท้องทะเลทางทิศตะวันออก เดบุสซีผสมผสานสีสันของเสียงเครื่องดนตรีชนิดต่างๆได้ราวกับจิตรกรปาดป้ายสีโทนต่างๆลงบนผืนผ้าใบอย่างเชี่ยวชาญ ได้ภาพรวมของท้องทะเลที่มีชีวิต เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ใช่เพียงภาพนิ่งหรือภาพเหมือนของท้องทะเล
ท่อนสอง ชื่อ ‘การล้อไล่ของเกลียวคลื่น’ (Jeux de vagues) ท่อนนี้รวดเร็วเริงร่า วาดภาพการล้อไล่กันของคลื่นและประกายระยิบระยับ ที่เกิดจากแสงอาทิตย์ที่ตกต้องลงบนท้องน้ำที่ไม่เคยอยู่นิ่ง
ท่อนสุดท้าย ชื่อ ‘บทสนทนาของสายลมและท้องทะเล’ (Dialogue du vent et de la mer) บทสนทนานี้ออกจะดุเดือดเข้มข้นในตอนแรก แต่แล้วทั้งคู่ก็เงียบงันกันไป แล้วกลายมาเป็นเสียงกู่แต่ไกลของปี่โอโบ ปี่อิงลิชฮอร์น และปี่บาสซูน จากนั้นแตรฮอร์นร้องรับเสียงกู่ดังกล่าว แล้วทั้งวงก็เริ่มบทสนทนาหนักหน่วงเข้มข้นอีกครั้ง จบลงด้วยเสียงกึกก้องของกลุ่มแตรทองเหลือง
เดบุสซี ประพันธ์เพลงนี้อยู่สามปีก็เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1905 เมื่อนำออกแสดงครั้งแรก เสียงวิพากษ์วิจารณ์แตกออกเป็น 2 สายอย่างสุดขั้ว ฝ่ายหนึ่งก็ว่า ‘เป็นงานที่ดีที่สุดของเดบุสซี’ แต่อีกฝ่ายก็ว่า ‘น่าเบื่อจัง’ อย่างไรก็ตาม จากวันนั้นถึงวันนี้บทเพลง La mer มีอายุ 114 ปีแล้ว ก็ยังเป็นบทเพลงที่บรรเลงและฟังกันมากที่สุดบทหนึ่งของเดบุสซี ถ้าเพลงนี้มีแต่ ‘ความน่าเบื่อจัง’ ก็คงต้องเป็นความน่าเบื่อที่มี ‘อะไรอะไร’ แฝงอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ขอเชิญฟัง ‘บทเพลงแห่งท้องทะเล’ คืนวันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคมที่จะถึงนี้ ในรายการพิเศษที่เราจัดขึ้นตรงวันเพื่อระลึกถึงวาระครบรอบคล้ายวันเกิดของเดบุสซี