วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563
บันทึกประวัติศาสตร์การถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์
โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐที่ถูกถอดถอน (ต่อจากอดีตประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน และบิล คลินตัน)
• สรุปเหตุการณ์เมื่อสภาผู้แทนยื่นเรื่องการถอดถอด ส่งมาถึงวุฒิสภา
• การโต้ตอบของทั้ง 2 ฝ่าย (ฝ่ายตั้งข้อกล่าวหาและฝ่ายปกป้องประธานาธิบดี) จากเหล่านักกฎหมายของ Harvard Law School
• พรรคเดโมแครตประณามเสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันว่าสมรู้ร่วมคิดกับประธานาธิบดีในการปกปิดการกระทำผิดของประธานาธิบดี
• แม้ประธานาธิบดีทรัมป์รอดจากการถูกขับออกจากตำแหน่ง แต่ก็ถือว่าเป็นประธานาธิบดีที่ไม่พ้นมลทิน เพราะถูกถอดถอนโดยสภาผู้แทนมาแล้ว
• เมื่อไม่ถูกถอดถอน หลังจากนี้ประธานาธิบดีทรัมป์คงโอ้อวดกับประชาชนได้เต็มที่ สภาทำอะไรเขาไม่ได้ พรรคเดโมแครตจะเพลี่ยงพล้ำในการเลือกตั้งที่กำลังมาถึงในเดือนพฤศจิกายน 2020 หรือไม่
_____________
ข้อกล่าวหา (เชื่อมโยงกันระหว่างการเลือกตั้ง 2020 + กำจัดคู่แข่งทางการเมือง + ใช้อำนาจในทางที่ผิด)
1. ประธานาธิบดีทรัมป์ถูกกล่าวหาว่า ได้กดดันประธานาธิบดียูเครนให้สอบสวนคดีของลูกชายของอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน (เชื่อว่าจะเป็นผู้ลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2020 = เป็นคู่แข่งทางการเมือง) ถือว่าเป็นการดึงต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง
2. ประธานาธิบดีทรัมป์กดดันยูเครนโดยจะยังไม่ส่งมอบความช่วยเหลือทางทหารจนกว่าจะทำคดีนี้
3. ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อำนาจในทางที่ผิด นั่นคือ ใช้อำนาจประธานาธิบดีระงับงบประมาณความช่วยเหลือที่ผ่านสภามาแล้ว แลกกับการที่ยูเครนต้องสอบสวนลูกชายของโจ ไบเดน (ที่ทำงานในยูเครน)
4. ประธานาธิบดีทรัมป์ขัดขวางกระบวนการไต่สวนของสภาคองเกรส (ซึ่งมีอำนาจในการถอดถอน) โดยไม่ยอมให้ทั้งพยานเอกสารและพยานปากคำ ยกเว้นคนที่มาให้การด้วยความสมัครใจ
1. สองคดีก่อนเป็นเรื่องภายในสหรัฐ (แม้จะถูก impeach จากสภาผู้แทน แต่ก็รอดในวุฒิสภา)
- แอนดรูว์ จอห์นสัน สั่งปลดรัฐมนตรีกระทรวงการทำสงคราม
- บิล คลินตัน มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับนักศึกษาฝึกงานในทำเนียบขาว และให้การเท็จกับผู้มีอำนาจไต่สวน
2. กรณีของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวโยงกับการที่ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง ซึ่งส่งผลต่อการเลือกตั้งภายในประเทศ (ข้อกล่าวหานี้ตรงกับเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ต้องการให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงระบบการเมืองสหรัฐ)
3. อดีตประธานาธิบดีสองคนก่อนหน้าอยู่ในตำแหน่งมา 2 สมัยแล้ว ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังเสนอตัวให้ประชาชนเลือกอีกครั้งในการเลือกตั้ง 2020
สภาผู้แทน เป็นองค์กรเดียวเท่านั้นที่มีอำนาจในการถอดถอนประธานาธิบดี เมื่อสภาผู้แทนมีมติให้ดำเนินการถอดถอนแล้ว ประธานาธิบดีจะถูกขับออกจากตำแหน่งหรือไม่ วุฒิสภา จะเป็นผู้พิจารณาตัดสินแต่เพียงผู้เดียว
แปลตามตัวคือ การกระทำผิดทางอาญาและประพฤติผิดอย่างร้ายแรง
แม้รัฐธรรมนูญไม่ได้บอกว่าคืออะไร แต่นักวิชาการกฎหมายสหรัฐให้ความหมายว่า "การกระทำที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ" ซึ่งอาจไม่ได้เป็นการทำผิดทางอาญาตามที่กฎหมายระบุไว้ (เพราะตอนร่างรัฐธรรมนูญสหรัฐยังไม่มีกฎหมายอาญา)
**ใครที่ศึกษารัฐธรรมนูญสหรัฐ อ่านแค่ตัวรัฐธรรมนูญอย่างเดียวไม่พอ ต้องศึกษาเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่อธิบายความหมายของมาตราสำคัญต่างๆ ด้วย
1. เรามักมองสหรัฐเป็นต้นแบบประชาธิปไตย แต่การ Impeachment ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า แม้กระทั่งประเทศต้นแบบที่ผู้ก่อร่างสร้างประเทศและผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้วางรากฐานอย่างดีมาตั้งแต่ต้น แต่จุดอ่อนก็ยังเกิดขึ้นได้ ดังนั้น "ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ" ที่เรามักเรียกหากันจึงไม่มี แต่อย่างน้อยสิ่งที่ได้เรียนรู้จากกระบวนการไต่สวนและการถอดถอนคือ การแบ่งแยกอำนาจ ตรวจสอบอำนาจ และคานอำนาจ (ระหว่างฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ) สิ่งนี้ต่างหากที่น่าจะเป็นหัวใจสำคัญของความเป็นประชาธิปไตย
2. ข้อดีของระบบการเมืองสหรัฐคือเป็นระบบเปิด จะเห็นว่าระหว่างการไต่สวน ข้อมูลเอกสารทั้งหลาย เรารู้เท่ากับนักการเมืองสหรัฐ ประชาชนเองก็ได้ข้อมูลเปิดเผยรอบด้าน สมมติว่าถ้าเหตุการณ์นี้เกิดที่ประเทศจีน ชาวโลกจะไม่มีทางรู้ข้อมูลมากขนาดนี้เลย
รายการรัฐศาสตร์สู่สังคม
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู และ ผศ.ดร.ปราณี ทิพย์รัตน์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย