สู่ฝันอันมหัศจรรย์
830 views
0
0
"ฉบับนี้ขอนำท่านผู้อ่านผู้ฟังไปสู่ฝันของนักประพันธ์เพลงเอกท่านหนึ่ง ที่ได้ประมวลเอาความสุขความทุกข์ ความสมหวังแลผิดหวังจากความรักในชีวิตจริง มาแปรเป็นความฝัน และในที่สุดได้ถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงเพลงให้เราได้ร่วมรับรู้ ผลพวงแห่งความฝันนั้น คือ บทประพันธ์เพลงในชื่อ “สู่ฝันอันมหัศจรรย์” (Symphonie fantastique, Op 14) ประพันธ์โดย เอ็กตอร์ แบร์ลิออซ (Hector Berlioz; ค.ศ. 1803-1869)"

Berlioz เป็นชาวฝรั่งเศส มีชีวิตและรังสรรค์ผลงานในช่วงเวลาที่กระแสศิลปดนตรีของวัฒนธรรมยุโรปกำลังเคลื่อนเข้าสู่ดนตรีแบบโรแมนติก และผลงานทั้งหลายของ Berlioz ไม่ว่าจะเป็นงานดนตรี หรืองานร้อยกรองด้วยภาษา ก็ล้วนเป็นตัวแทนของศิลปินชาวโรแมนติกในแง่มุมต่างๆได้เป็นอย่างดี

Berlioz เกิดและเติบโตในครอบครัวฐานะดี บิดาเป็นแพทย์ และวาดหวังจะให้ลูกชายเจริญรอยตามเป็นแพทย์ด้วย แต่หลังจากเข้าเรียนโรงเรียนแพทย์ได้เพียงปีเดียว ลูกชายก็หันหลังให้ความหวังและความฝันของครอบครัว และตัดสินใจเข้าเรียนที่วิทยาลัยการดนตรีกรุงปารีส (Paris Conservatoire de Musique) ท่ามกลางความผิดหวังของบิดาผู้ตัดรอนความช่วยเหลือทางการเงิน จน Berlioz ต้องดิ้นรนทำงานสารพัดอย่างเพื่อยังชีพ แต่งานเหล่านี้ก็เป็นประโยชน์ไม่น้อยสำหรับเส้นทางดนตรีของ Berlioz เพราะล้วนเป็นงานเกี่ยวข้องกับดนตรีในรูปแบบต่างๆ เช่น สอนดนตรี หรือขับร้องประสานเสียงกับคณะนักร้องประจำโรงละครต่างๆ เป็นต้น

จนกระทั่งเมื่ออายุราว 27 ปีในปี ค.ศ. 1830 ความสามารถทางด้านการประพันธ์เพลงก็เป็นที่ประจักษ์และยอมรับกันอย่างกว้างขวาง เมื่อเขาได้รับรางวัลปรีเดอโรม (Prix de Rome) สำหรับบทประพันธ์เพลงยอดเยี่ยมประจำปีจากสถาบันแห่งกรุงโรม ประเทศอิตาลี รางวัลนี้เป็นรางวัลใหญ่และสำคัญที่สุดรางวัลหนึ่งของยุโรป

จากนั้น Berlioz ก็มีผลงานการประพันธ์ออกมาอีกมากมาย และได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ แต่ที่น่าเศร้าคือ ผลงานของเขากลับไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของชาวฝรั่งเศสเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าปวดร้าวใจมาก ชาวปารีสใช้เวลานานตราบชั่วชีวิตของ Berlioz กว่าจะให้การยอมรับและยกย่องในดนตรีที่ก้าวหน้าแหวกแนวของเขา

Berlioz หลงใหลและเทิดทูนเบโธเฟน (Ludwig van Beethoven) เช่นเดียวกับศิลปินโรแมนติกทั้งหลาย และยังชื่นชมผลงานวรรณกรรมของกวีเอก เชคสเปียร์ (William Shakespeare) และผลงานของเชคสเปียร์นี่เอง ที่นำ Berlioz มาสู่ดินแดนมหัศจรรย์แห่งความรัก และจุดประกายให้เกิดผลงาน Symphonie fantastique ที่จะนำเสนอในบทความนี้

กล่าวคือเมื่อ Berlioz อายุประมาณ 26 ปี มีคณะละครอังกฤษ นำเอาละครเวทีของ Shakespeare มาแสดงที่กรุงปารีส โดยมี แฮเรียต สมิธสัน (Harriet Smithson) เป็นนางเอก บทบาทของจูเลียตและโอฟีเลียในจินตนาการของ Shakespeare จากการแสดงของ Smithson เป็นที่ชื่นชมของชาวฝรั่งเศสอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับ Berlioz นั้น ความชื่นชมได้กลายเป็นความผูกพันทางใจ เขาตกหลุมรักเธออย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่เรื่องราวทั้งหลายก็ติดตามมาด้วยอุปสรรคหนักหน่วง ทั้งจากครอบครัวและเพื่อนๆของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งจาก Smithson เอง ที่ตอนแรกก็ไม่เล่นด้วยกับความรักของชายหนุ่ม ทำเอา Berlioz ถึงกับจะฆ่าตัวตาย แต่ได้รับการช่วยชีวิตไว้ได้

อย่างไรก็ตาม อีก 3-4 ปีถัดมา ทั้งคู่ก็แต่งงานกัน มีบุตรด้วยกัน 1 คน และในที่สุดต่อมาก็เลิกราจากกัน

ต้นปี ค.ศ. 1830 ท่ามกลางความทุกข์ใจจากแรงรักครั้งนี้ Berlioz ก็เริ่มลงมือถ่ายทอดชีวิตรักออกมาเป็นซิมโฟนีขนาดใหญ่ ที่เขาเขียนกำกับไว้เองว่า “ฉากหนึ่งแห่งชีวิตศิลปิน” (An Episode in the Life of an Artist) ความหมกมุ่นฝันเฟื่องแต่เรื่องของตนเอง และนำเอาอัตตาตัวเองมาผูกพันกับงานศิลปะเช่นนี้ ดูจะเป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของศิลปินโรแมนติกทีเดียว

Symphonie fantastique หรือ An Episode in the Life of an Artist เป็นบทประพันธ์เพลงประเภทดนตรีพรรณนา (programme music) หมายถึงบทเพลงบรรเลงซึ่งมีเรื่องราวหรือภาพอะไรบางอย่าง เป็นจุดกำเนิดและอยู่เบื้องหลังเสียงเพลง สำหรับเพลงบทนี้ Berlioz เป็นผู้ผูกโยงเรื่องราวเอาไว้เอง โดยอาศัยเรื่องราวและความรู้สึกที่เกิดกับตนเอง ผสมผสานกับจินตนาการฝันเฟื่องที่มีอย่างเหลือเฟือในศิลปินโรแมนติก

เรื่องราวที่ Berlioz ผูกโยงและรจนากำกับไว้มีเนื้อความดังนี้...

“ศิลปินหนุ่มผู้หนึ่ง ทุกข์ทรมานใจจากความรักอันรุนแรง จนคิดฆ่าตัวตายด้วยพิษ ยาฝิ่น ทว่ายาฝิ่นนั้นไม่รุนแรงพอที่จะทำให้ตาย แต่กลับนำเขาไปพบกับความฝันอันมหัศจรรย์พันลึก ภาพและความรู้สึกต่างๆ ทั้งงดงามและป่าเถื่อนโหดร้าย ดาหน้ากันมาปรากฏให้เห็นอยู่ในห้วงจินตนาการ แล้วความรู้สึกตลอดจนอารมณ์ต่างๆ อันล้ำลึก รวมทั้งความทรงจำแห่งความรักก็แปรเปลี่ยนเป็นจักรวาลแห่งเสียงดนตรี และแก่นแท้แห่งความทรงจำและท่วงทำนองในเสียงเพลง ซึ่งสะเทือนอยู่ในความทรงจำ คือ ‘นางผู้เป็นที่รัก’ เธอกลับมาปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตรงนั้นตรงนี้ ในรูปของท่วงทำนองอันอ่อนโยนและลึกล้ำ

ฉากแรกที่ผ่านเข้ามาในห้วงจินตนาการ คือ ภาพของความสุขความทุกข์ ความสมหวังและผิดหวังอย่างรุนแรง ซึ่งนางผู้เป็นที่รักได้บันดาลให้เกิดขึ้นในชีวิต

ฉากถัดมา เขาพบตัวเองล่องลอยเลื่อนไหลไปกับเสียงเพลงเต้นรำในงานเลี้ยง ท่วงทำนองของ ‘เธอ’ ติดตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง

ฉากต่อมา เขาพบตัวเองอยู่ท่ามกลางธรรมชาติชนบทอันแสนสบาย เสียงเพลงพื้นบ้านอันเรียบง่ายจากเด็กเลี้ยงแกะนำความสงบและสุขใจมาสู่เขาไม่น้อย ดวงอาทิตย์กำลังอัสดงอยู่เบื้องหน้า ท้องฟ้าส่งเสียงครืนครันไกลออกไปเบื้องหลัง และในที่สุด ก็ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวกับความเงียบ

เขาหลับใหลและโลดแล่นไปกับความฝันอันพิลึกพิลั่นสยดสยอง ในฝันนั้น เขาได้ฆ่านางผู้เป็นที่รักและต้องโทษประหารชีวิต ในฉากนั้น เขาแลเห็นตัวเองเดินอยู่ในกระบวนแห่มุ่งสู่ตะแลงแก็งพร้อมเผชิญหน้ากับความตาย ในห้วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้น นางผู้เป็นที่รักก็พลันปรากฏในรูปท่วงทำนองแสนหวาน ทว่ายังไม่ทันจะระลึกถึงนางได้ถ้วนกระบวนภาพ ใบมีดจากกีโยตินก็หล่นฉับลงมาตัดคอ...วิญญาณเขาละร่างสู่ปรโลก

ในฉากสุดท้าย เขาพบตัวเองอยู่ท่ามกลางแม่มดหมอผีแลเหล่าโขมดทั้งหลายในปรโลก ทั้งหมดกำลังเริงระบำแห่งความตายอยู่อย่างป่าเถื่อน เสียงจากขุมนรกดังอยู่ไม่เป็นส่ำรอบตัว เขาได้มาตกอยู่ท่ามกลางพิธีบูชาอันสยดสยองของเหล่าจิตวิญญาณร้าย และที่น่าสยองยิ่งกว่าสิ่งใด นางผู้เป็นที่รัก ก็ตามมาหลอกหลอนด้วย แต่บิดผันจากท่วงทำนองอันอ่อนหวานเฉกเช่นที่เคยเป็นมา นางกลับมาคราวนี้ในลักษณะของทำนองอันอัปลักษณ์ป่าเถื่อน ร่วมเริงระบำแห่งความตายไปกับจิตวิญญาณร้ายรอบๆตัว”

ที่พรรณนามาทั้งหมดนี้ คือเรื่องราว (programme) ที่ผู้ประพันธ์บันทึกไว้เอง เพื่อประกอบการฟัง สำหรับตัวบทประพันธ์เพลง แบ่งออกเป็น 5 กระบวน (movement) ตามท้องเรื่องและฉากต่างๆ ดังพรรณนามา แต่ละกระบวนมีชื่อกำกับไว้เพื่อให้ได้อรรถรสในการฟัง
1. ความฝันและความปั่นป่วนแห่งอารมณ์รัก (Reverie - Passions)
2. งานเลี้ยง (Un bal)
3. ฉากชนบท (Scene aux champs)
4. พาเหรดสู่ตะแลงแก็ง (Marche au supplice)
5. พิธีบูชาและการเริงระบำแห่งความตาย (Songe d’une nuit du sabbat)

กลวิธีทางดนตรีที่ Berlioz ใช้เพื่อสื่อเรื่องราวและเพื่อความสะดวกในการติดตามฟัง คือ การคิดประดิษฐ์ทำนองหลักให้เป็นสัญลักษณ์ (idee fixe) สื่อถึงนางผู้เป็นที่รัก ทำนองสัญลักษณ์นี้เผยโฉมครั้งแรกในกระบวนที่หนึ่ง จากนั้นทำนองหลักอันเดียวกันนี้ก็จะหวนกลับมาอยู่เรื่อยๆ ทุกครั้งที่ความระลึกถึงนางหวนกลับมาในแต่ละฉากของเรื่อง แต่อาจกลับมาในรูปของทำนองที่บิดผันไปตามบริบทของแต่ละฉากหรือแต่ละกระบวน

นอกเหนือจากเรื่องราวที่ผูกโยงขึ้นอย่างเข้มข้นไปด้วยจินตนาการแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงความสามารถอันเอกอุของ Berlioz คือ ความสามารถในการเลือกใช้เครื่องดนตรีและการเรียบเรียงเสียง หรือการแจกบทบาทให้เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นแต่ละแผนก (orchestration) ทำได้อย่างมีสีสันสามารถสื่อความคิด วาดภาพ และสร้างบรรยากาศของท้องเรื่องได้อย่างสมบูรณ์

เสียงเพลงของ Berlioz สร้างความหวั่นไหวในใจของผู้ฟังไปในทางใดทางหนึ่งเสมอ เพราะถ่ายทอดออกมาจากความหวั่นไหวในใจและจินตภาพอันล้ำลึกของผู้ประพันธ์ผู้เป็นศิลปินโรแมนติกเต็มตัว

ขอเชิญติดตามรับฟังบทเพลง “สู่ฝันอันมหัศจรรย์” (Symphonie fantastique, Op 14) ในรายการคืนวันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม ในรายการเฉลิมฉลองให้ Berlioz ในวาระครบรอบคล้ายวันเกิดในช่วงเดือนธันวาคมนี้