"เดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 และ 2560 เป็นสองปีที่จะต้องได้รับการจารจารึกอยู่ในหัวใจของคนไทยทั้งชาติที่อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชฯ บรมนาถบพิตร เมื่อพระโพธิสัตว์กษัตริยาธิราชเจ้า เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ท่ามกลางความเศร้าโศกอาลัยรักอย่างท่วมท้น และสำนึกในพระมหา-กรุณาธิคุณอันล้นพ้นของปวงพสกนิกร และต่อมาทางราชการได้ประกาศให้วันที่ 13 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันสำคัญของชาติ เพื่อระลึกถึงการเสด็จสวรรคตของพระองค์"
เวลาได้ล่วงเลยมาจนครบหนึ่งปีแล้ว และในวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม ที่จะถึง เหล่า-พสกนิกรทุกหมู่เหล่าก็จะได้ร่วมกันส่งเสด็จพระองค์สู่สวรรคาลัย ท่ามกลางความเศร้าโศกอาลัยรักท่วมท้น และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่มิได้ลดน้อยจางลงแต่อย่างใด
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาทุกภาคส่วนของสังคม ต่างก็แสดงออกถึงความรักความอาลัยและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในรูปแบบต่างๆ ในแวดวงศิลปะนั้น ศิลปินทุกสาขาต่างก็รังสรรค์ผลงานกันอย่างสุดฝีมือเพื่อร่วมถวายและส่งเสด็จเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับด้านดนตรีนั้น บทประพันธ์เพลงต่างๆต่างหลั่งไหลจากปลายปากกาดนตรีของคีตกวีทุกแนวดนตรี
บทประพันธ์เพลงที่สำคัญที่สุดบทหนึ่งที่รังสรรค์ขึ้นในวาระโอกาสนี้ คือ ซิมโฟนีขนาดใหญ่ในนาม “ภูมิพลอดุลยเดชฯ มหาราชา” ประพันธ์ดนตรีโดย ศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร และบทร้องจากบทกวีโดย คุณก้องภพ รื่นศิริ นำออกบรรเลงรอบปฐมฤกษ์ไปแล้วเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาจารย์ณรงค์ฤทธิ์ กล่าวว่า ซิมโฟนี “ภูมิพลอดุลยเดชฯ มหาราชา” ประพันธ์ขึ้นในนามของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อร่วมถวายความอาลัยและน้อมรำลึกถึงการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ บรมนาถบพิตร โดยได้รับแรงบันดาลใจ จากบทกวี “ภูมิพลอดุลยเดชฯ มหาราช” ของคุณก้องภพ รื่นศิริ ที่มีเนื้อหาลึกซึ้งกินใจ ผนวกกับความรู้สึกน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ 9 ทรงมีต่อประเทศไทยและพสกนิกรชาวไทย
ซิมโฟนี “ภูมิพลอดุลยเดชฯ มหาราชา” วันที่ 2 กรกฎาคม ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ซิมโฟนีบทนี้เป็นบทเพลงขนาดใหญ่ กำหนดให้มีการขับร้องเดี่ยว การขับร้องประสานเสียง ร่วมกับวงซิมโฟนีออร์เคสตราขนาดใหญ่ มีความยาวทั้งสิ้น 40 นาที ประกอบด้วยเพลง 5 กระบวน ดังต่อไปนี้
1. ภูมิพลอดุลยเดชเจ้า จอมไทย บทเพลงเริ่มต้นด้วยบทนำที่สงบเงียบพร้อมกับการเสนอทำนองหลัก “ภูมิพล” จากนั้นดนตรีจะคลี่คลายไปสู่การขับร้องประสานเสียงที่ยิ่งใหญ่และสง่างาม ในช่วงกลางของกระบวนจะมีบรรยากาศผ่อนคลายและสงบ หมู่นักร้องประสานเสียงจะขับร้องซ้ำพระนาม “ภูมิพลอดุลยเดช” ทำนองหลักของกระบวนจะกลับมาอีกครั้งอย่างกึกก้องโดยกลุ่มเครื่องทองเหลือง พร้อมกับนักร้องประสานเสียงในประโยค “ปกเผ้าปวงประชา”
2. เฉลิมพระนาม งามสง่า มหาราช เสนอทำนองหลักของซิมโฟนี โดยมีการดัดแปลงทำนองหลักให้เหมาะสมกับอารมณ์ของกระบวน โดยวงออร์เคสตราจะดำเนินทำนองหลัก และมีแนวดนตรีของนักร้องประสานเสียงเข้ามาเสริมและทำให้เนื้อดนตรีมีความสมบูรณ์ขึ้น ดนตรีจะเริ่มต้นอย่างสงบด้วยการขับร้องสลับกันระหว่างกลุ่มนักร้องชายและหญิง สลับกับช่วงบรรเลงคั่นจากวงออร์เคสตรา ในช่วงท้ายของกระบวน ดนตรีจะเร้าใจขึ้น โดยเฉพาะในช่วงคำร้อง “เฉลิมพระกรุณา สุดฟ้าดิน รู้ระบิล อิ่มอาบ ซาบทรวงชน”
3. ธ อุทิศ พระชนม์ให้ ไทยทั้งผอง กระบวนนี้มีลีลาดนตรีที่ดุเดือด ตื่นเต้นเร้าใจ มีการเสนอทำนองหลักของซิมโฟนีอย่างต่อเนื่อง เนื้อหาดนตรีจะเป็นการบรรเลงและร้องรับสลับกันระหว่างวงออร์เคสตราและกลุ่มนักร้องประสานเสียง มีการใช้เสียงประสานแบบกระด้าง (dissonance) ในบางตอน เพื่อแสดงถึงดนตรีที่รุนแรงขึ้นด้วยการเข้ามาของกลุ่มเครื่องตี ก่อนที่กระบวนจะจบลงด้วยประโยค “ธ ทรงเป็น ความหวัง พลังแผ่นดิน รวมชีวิน รวมแรงใจ ไทยทุกคน”
4. หนึ่งเอยหนึ่งในหล้า พระมิ่งฟ้าภูมิพล เป็นกระบวนที่เสนอการขับร้องเดี่ยวเสียงโซปราโน ที่ไพเราะอ่อนหวาน กระบวนจะเริ่มด้วยบทนำในบรรยากาศที่เศร้าโศกจากกลุ่มเครื่องสาย โดยเฉพาะในประโยค “กราบซบกับภพพื้น เสียงสะอื้นระงมแดน” จากนั้นดนตรีจะค่อย ๆ คลี่คลายไปสู่ประโยคเพลงที่ยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือนการประกาศ คำมั่นสัญญาของประชาชนคนไทยที่มีต่อพระองค์ว่าจะ “ทำดีถวายพระองค์ รักคงมั่นนิรันดร”
5. อาวรณ์ข่มเทวษค้อม อัญชลี กระบวนเริ่มต้นด้วยเสียงของกลุ่มเครื่องตีและโอโบ บรรเลงเลียนเสียงปี่และกลองของการประโคมย่ำยามในงานพระราชพิธีสวดพระอภิธรรม จากนั้นเป็นการสลับกันขับร้องระหว่างนักร้องเดี่ยวเสียงบาริโทนและคณะนักร้องประสานเสียง ในบรรยากาศที่สงบและวังเวงที่สุด ผู้ประพันธ์ได้นำทำนองจากกระบวนที่ 2 และกระบวนที่ 4 มาสอดสลับด้วย ก่อนจะนำบทเพลงไปสู่ตอนจบที่เปรียบประดุจการชุมนุมของประชาชนชาวไทยที่ร่วมใจกันส่งเสด็จพระองค์ขึ้นสู่สวรรคาลัย ด้วยประโยค “เพื่อพระเกียรติยศก้อง ยิ่งฟ้า ยืนยง” พร้อมกับเสียงจากพิณฮาร์พ กลุ่มเครื่องสายและเครื่องตีที่บรรเลงแนวเสียงสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อวาดภาพทิพยสถานบนสรวงสวรรค์ที่พระองค์เสด็จขึ้นสถิตอยู่
ทีมงานรายการดนตรีคลาสสิกสถานีวิทยุจุฬาฯ ขอร่วมน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายความอาลัย และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และขอนำเสนอบทบันทึกเสียงการแสดงรอบปฐมฤกษ์ของบทเพลงนี้ ในรายการดนตรีคลาสสิกคืนวันศุกร์ที่ 13 และวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคมนี้
นอกเหนือจากซิมโฟนี “ภูมิพลอดุลยเดชฯมหาราชา” ที่กล่าวมา ดร.นรอรรถ จันทร์กล่ำ ผู้อำนวยเพลงของวงออร์เคสตราแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังได้นำบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ บรมนาถบพิตร มาเรียบเรียงให้บรรเลงด้วยวงออร์เคส-ตรา อีกชุดหนึ่งในชื่อ “Journey Through the Music of the Great King”, A Suite for an Orchestra เป็นบทเรียบเรียงที่ไพเราะมาก ชวนให้ระลึกถึงพระราช-อัจฉริยภาพทางดนตรีของพระองค์ ที่ทรงพระราช-นิพนธ์บทเพลงต่างๆและพระราชทานลงมาให้พสกนิกรชาวไทยได้มีความสุขร่าเริงใจตลอดมาในช่วงรัชสมัยอันยาวนานถึง 70 ปี
ผู้เรียบเรียงได้อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ 10 บท มาร้อยเป็นบทเรียบเรียงที่มีความต่อเนื่องเกี่ยวโยงเป็นเพลงชุด (suite) สำหรับบรรเลงด้วยวงออร์เคสตรา บทเพลงพระราชนิพนธ์ทั้ง 10 บท ได้แก่
1. The Hunter (จากเพลงพระราชนิพนธ์ประกอบบัลเลต์ “กินรี”)
2. สายลม
3. สายฝน
4. ฝัน
5. ในดวงใจนิรันดร์
6. เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย
7. มาร์ชราชนาวิกโยธิน
8. มาร์ชราชวัลลภ
9. ความฝันอันสูงสุด
10. แผ่นดินของเรา
บทเพลงพระราชนิพนธ์แต่ละบทจะเป็นสื่อแทนเหตุการณ์ บรรยากาศหรืออารมณ์โดยรวมในช่วงต่างๆของพระชนม์ชีพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ประหนึ่งการเดินทางผ่านกาลเวลาโดยใช้บทเพลงพระราชนิพนธ์เป็นสื่อ
เริ่มจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ The Hunter เป็นเพลงที่อยู่ในกุญแจเสียงไมเนอร์ มีสำเนียงเศร้า เสมือนการเริ่มรัชกาลด้วยความหม่นหมองจากเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ สมด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ทรงต้องแบกพระราชภาระในห้วงเวลากะทันหัน รวมถึงต้องทรงเผชิญกับปัญหาการเมืองที่ซับซ้อน เสมือนต้องทรงต่อสู้โดยลำพังพระองค์ ผู้เรียบเรียงกำหนดให้ เทเนอร์ แซกโซโฟน เครื่องดนตรีที่พระองค์ทรงโปรดและมีพระปรีชาสามารถในการบรรเลง ทำหน้าที่บรรเลงเดี่ยว
ด้วยพระบารมีและพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ทำให้ประชาชนรู้สึกเหมือนมี สายลม พัดเอาความร่มเย็น ที่ได้อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร เป็นการเริ่มต้นห้วงเวลาใหม่ด้วยความหวัง ความเจริญเติบใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา เสมือนต้นไม้ใหญ่น้อยที่ได้รับน้ำจาก สายฝน อันชุ่มฉ่ำประดุจน้ำทิพย์จากสวรรค์สู่ดิน เพลงสายฝนและเพลงสายลมนี้ แทนความรู้สึกของเหล่าพสกนิกรต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯพระองค์ใหม่ ในตอนเริ่มเพลงสายลม ผู้เรียบเรียงใช้กลุ่มเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้ บรรเลงรับส่งกันด้วยส่วนโน้ตที่มีความถี่และมีจังหวะที่เร็ว เพื่อแทนเสียงลมพัด จากนั้นเชลโลและบาสซูนจะนำทำนองเพลงสายลมกลับเข้ามาอีกครั้ง ในครั้งที่สองนี้มีการเปลี่ยนกุญแจเสียง เพื่อให้เกิดการเคลื่อนที่ของทำนองและเพิ่มความสว่างให้บทเพลง โดยมีไซโลโฟน เครื่องดนตรีในกลุ่มเครื่องประกอบจังหวะ เข้ามาเพิ่มสีสันโดยให้บรรเลงทำนองรอง
จากนั้นเป็นช่วงท่อนเชื่อม จากเพลงสายลมสู่สายฝน ผู้เรียบเรียงวาดภาพเสียงฝนที่ค่อยๆลงเม็ด จากเบาแล้วถี่ขึ้นเรื่อยๆ โดยใช้การเพิ่มความถี่ของส่วนโน้ต เริ่มด้วยปิคโคโล ตามด้วยไวโอลินแนวที่หนึ่ง กล็อกเคนชปีลและไซโลโฟน ซึ่งเป็นเครื่องประกอบจังหวะ
เพลงสายฝนจะเริ่มด้วยท่อนนำของฉบับดั้งเดิม ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์หนึ่งในไม่กี่บทเพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์บทนำให้เป็นส่วนหนึ่งของบทเพลง จากนั้นผู้เรียบเรียงให้กลุ่มเครื่องสายบรรเลงทำนองในช่วงเสียงที่ค่อนข้างต่ำ และให้บรรเลงบนสาย สายเดียว เพื่อให้เกิดโทนเสียงที่อบอุ่น และมีเสียงที่อิ่มเต็มจากการบรรเลงพร้อม โดยมีกลุ่มเครื่องลมไม้บรรเลงแนวเลียนเสียงฝนตกประกอบ ในท่อนที่สองผู้เรียบเรียงเปลี่ยนให้กลุ่มเครื่องดนตรีเป็นกลุ่มเครื่องลมทองเหลือง บรรเลงทำนองหลัก และมีกลุ่มเครื่องสายบรรเลงทำนองรองสอดรับกัน เพื่อเปลี่ยนสีสันและจบบทเพลงนี้ด้วยความสงบ ชุ่มฉ่ำดุจยามเมื่อฝนขาดเม็ด แล้วค่อยๆซาลงด้วยเสียงเดี่ยวฟลูทและกลุ่มเครื่องสาย
บทเพลงพระราชนิพนธ์ฝันและในดวงใจนิรันดร์ เป็นตัวแทนความรักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ที่ทรงมีต่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพลงพระราชนิพนธ์ ฝัน เป็นบทเพลงที่มีกลิ่นอายของโรแมนติกแจ๊ส ซึ่งผู้เรียบเรียงได้ให้เทเนอร์แซกโซโฟนบรรเลงเดี่ยว ในลีลาอิสระแบบแจ๊สอย่างเต็มที่
จากนั้นตามด้วยบทเพลง ในดวงใจนิรันดร์ ในจังหวะสโลว์โซล ซึ่งไม่ซับซ้อน เรียบง่าย ฟังง่าย นอกจากการตั้งใจให้บทเพลงโดยรวมมีความหลากหลายในทุกมิติดนตรีแล้ว ผู้เรียบ-เรียงยังต้องการสื่อว่า บทเพลงพระราชนิพนธ์เป็นเพลงที่เข้าถึงผู้ฟังได้ง่าย ด้วยธรรมชาติของบทเพลงที่มีความเรียบง่าย ทำนองไพเราะติดหู
บทเพลงพระราชนิพนธ์ในจังหวะมาร์ชทุกเพลงเป็นเพลงที่ไพเราะ มีลีลาเป็นสากลอย่างยิ่ง ทุกเพลงแสดงถึงพระราชอัจฉริยภาพทางดนตรีอย่างชัดเจนและแท้จริง ผู้รียบเรียงมีความประทับใจในลีลาทำนองและการประสานเสียงที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นอย่างยิ่ง จึงได้อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ในจังหวะมาร์ช 3 เพลง มาเป็นตัวแทนของพระราชภารกิจในด้านการทหาร การรักษามาตุภูมิ รวมถึงความเป็นองค์จอมทัพไทย
เริ่มด้วยบทเพลงพระราชนิพนธ์ เกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย ด้วยเครื่องดนตรีน้อยชิ้นที่สุด เพื่อรักษาบรรยากาศของเพลงมาร์ชดั้งเดิม ที่มีเพียงขลุ่ยเสียงสูง กลองสแนร์และฉาบ
ในท่อนทำนองที่สองจะรับโดยเครื่องลมทองเหลืองเสียงต่ำ โดยมีปิคโคโลและฟลูท บรรเลงทำนองรองล้อกับทำนองหลักตามลีลาดั้งเดิมของเพลงมาร์ช จากนั้นจะนำเข้าสู่บทเพลงพระราชนิพนธ์ มาร์ชราชนาวิกโยธิน บรรเลงเต็มวงด้วยความคึกคัก ในทำนองท่อนที่สอง ผู้เรียบเรียงให้กลุ่มเครื่องลมทองเหลืองเสียงต่ำ บรรเลงทำนองโดยมีกลุ่มเครื่องสายและกลุ่ม-ฮอร์นบรรเลงทำนองประกอบที่เข้มแข็ง ห้าวหาญ จากนั้นจะนำเข้าสู่บทเพลงพระราชนิพนธ์ มาร์ชราชวัลลภ ที่จบลงอย่างฉับพลันเพื่อสื่อถึงพระราชภารกิจที่มีไม่สิ้นสุด
ท่อนเพลงต่อไปจะขึ้นต้นด้วยเสียงไวโอลินเดี่ยว เพลง The Hunter จากนั้นจึงนำเข้าสู่บทเพลงพระราชนิพนธ์ ความฝันอันสูงสุด นำเสนอทำนองแรกโดยฮอร์น ให้เกิดความสง่างามแฝงความมุ่งมั่นในพระราชปณิธานที่จะทำความฝันอันสูงสุดให้เป็นจริง คือการที่พสกนิกรทั้งผองของพระองค์ มีอยู่มีกิน มีความสุขใต้พระบรมโพธิสมภาร บทเรียบเรียงนี้จบลงด้วยบทเพลงพระราชนิพนธ์ แผ่นดินของเรา ซึ่งจะนำด้วยท่อนเพลงที่สื่อถึงความรื่นเริง เฉลิมฉลองด้วยความยินดีปรีดา และมีกลุ่มนักร้องประสานเสียงขับร้องถวายราชสดุดีของปวงชนชาวไทยอย่างกึกก้อง
ท้ายสุดของบทเรียบเรียง ทำนอง The Hunter กลับมาปรากฏเป็นครั้งสุดท้าย เปรียบเสมือนบทสรุปว่า ตลอดรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนของพระองค์โดยแท้