ตำนานแห่งแม่น้ำเคอร์ลู (The Curlew River)
792 views
0
0
"Music of the Masters ฉบับนี้ขอเสนอเรื่องราวของอุปรากร “ตำนานแห่งแม่น้ำเคอร์ลู” อุปรากรออกแนวศาสนาชิ้นเอกของ เบ็นจามิน บริทเทน (Benjamin Britten; 1913-1976) นักประพันธ์เพลงเอกชาวอังกฤษ"

บริทเทนประพันธ์อุปรากรเรื่อง “ตำนานแห่งแม่น้ำเคอร์ลู” โดยได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวและลักษณะดนตรีของละครโนะ จากเรื่อง “ตำนานแห่งแม่น้ำสุมิดะ” ที่ท่านเคยชมด้วยความประทับใจเมื่อคราวไปเยือนประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1956

เบ็นจามิน บริทเทน (Benjamin Britten; 1913-1976) นักประพันธ์เพลงเอกชาวอังกฤษ

ละครโนะ เป็นแบบฉบับละครคลาสสิกเก่าแก่ของญี่ปุ่นจากคริสต์ศตวรรษที่ 14 ซึ่งยังแสดงสืบทอดต่อกันมาจนปัจจุบัน ‘โนะ’ เป็นละครเวทีที่ผสมผสานศิลปะการแสดง การเต้น การดนตรี และความวิจิตรงดงามของเสื้อผ้าอาภรณ์ เวทีและฉากนั้นเรียบง่ายตามแบบฉบับศิลปะญี่ปุ่น เนื้อหาและการนำเสนอมุ่งเน้นเรื่องราวและอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครเอก ตัวหนึ่ง เป็นหลัก ตัวละครรองอื่นๆมีบทบาทและการแสดงออกที่เป็นไปเพื่ออุ้มให้อารมณ์เข้มข้นของตัวละครเอกโดดเด่น ละครโนะเป็นละครของนักแสดงชายล้วน แม้แต่ตัวละครหญิงตามท้องเรื่องก็จะแสดงโดยนักแสดงชาย ตัวละครเอกมักสวมหน้ากาก เรื่องราวเรียบง่ายไม่ซับซ้อน แต่มุ่งตรงไปยังอารมณ์ที่เข้มข้น ทั้งอารมณ์รัก ชัง น่าเศร้าสะเทือนใจในชะตากรรมของตัวละคร มักแฝงความลี้ลับและปริศนา ในตอนท้ายเรื่องมักเกี่ยวพันกับวิญญาณที่มาปรากฏตัว และขมวดปมด้วยแนวคิดในเชิงสั่งสอนตามปรัชญาศาสนาพุทธ

ดนตรีประกอบละครโนะ ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น กลุ่มนักดนตรีและคณะนักร้องที่นั่งอยู่ด้านข้างเวที จะบรรเลงและขับร้องประกอบการแสดง การเต้น การเคลื่อนไหวของตัวละครเอก รวมทั้งการขับร้องและพูดของตัวละครอื่นๆ

“ตำนานแห่งแม่น้ำสุมิดะ” เป็นละครโนะของ จูโร โมโตมาซา (ค.ศ.1395-1431) เรื่องนี้แสดงสืบทอดกันมาแต่โบราณกาล บริทเทนได้ชมละครเรื่องนี้ถึง 2 ครั้งเมื่อไปเยือนญี่ปุ่นดังกล่าว ท่านประทับใจมากถึงกับขอเทปบันทึกการแสดงกลับไป ต่อมาเมื่อกลับอังกฤษแล้ว ท่านก็เขียนอุปรากรเรื่อง “ตำนานแห่งแม่น้ำเคอร์ลู” ร่วมกับ วิลเลี่ยม โพลเมอร์ (William Plomer; 1903-1973) นักเขียนบทละคร โดยอิงเนื้อหาเรื่องราวของ “ตำนานแห่งแม่น้ำสุมิดะ” แต่เปลี่ยนชื่อเรื่องและฉากเป็น แม่น้ำเคอร์ลู แห่งดินแดนเฟน (Fenlands) ซึ่งเป็นดินแดนในจินตนาการในอังกฤษ เปลี่ยนห้วงเวลาจากศตวรรษที่ 14 ของญี่ปุ่น เป็นสมัยกลาง (Middle Ages; 500-1400) ของยุโรป และเปลี่ยนแนวคิดสรุปในตอนท้ายจากปรัชญาศาสนาพุทธ เป็นศาสนาคริสต์

“ตำนานแห่งแม่น้ำเคอร์ลู” เสร็จสมบูรณ์ นำออกแสดงครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.1964 ที่โบสถ์ออร์ฟอร์ด (Orford Church) มณฑลซัฟโฟล์ค (Suffolk) ประเทศอังกฤษ

ตัวละครหลักของทั้งเรื่อง “ตำนานแห่งแม่น้ำสุมิดะ” และ “ตำนานแห่งแม่น้ำเคอร์ลู” คือ ‘หญิงบ้า’ ซึ่งบริทเทนเขียนเป็นพิเศษให้ เซอร์ ปีเตอร์ เพียร์ส (Sir Peter Pears; 1910-1986) นักร้องเทเนอร์เอกในดวงใจตลอดกาลของผู้ประพันธ์ ตัวละครรองอื่นๆในเรื่องก็เป็นตัวละคร นิรนามเช่นเดียวกับ ‘หญิงบ้า’ ได้แก่ ชายแจวเรือ นักเดินทาง ท่านเจ้าอาวาส ชายแปลกหน้า- ร่างใหญ่ และดวงวิญญาณเด็กน้อย ร่วมด้วยคณะนักร้องประสานเสียง 8 คนที่อยู่ในบทบาทของคณะสงฆ์และนักแสวงบุญตามท้องเรื่อง

“ตำนานแห่งแม่น้ำเคอร์ลู” เปิดฉากขึ้นมาในโบสถ์สมัยกลาง ใกล้ๆฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเคอร์ลูที่คั่นระหว่างดินแดนเฟนตะวันตกและตะวันออก

คณะสงฆ์ เหล่าผู้จาริกแสวงบุญและท่านเจ้าอาวาส เดินเข้ามาในโบสถ์พร้อมกับขับร้องเพลงสวดเก่าแก่จากสมัยกลาง (Gregorian Chant) จากนั้นท่านเจ้าอาวาสก็กล่าวกับผู้ชมว่า ต่อไปนี้จะเล่าเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงความรักและเมตตาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ แล้วทั้งหมดก็เตรียมตัวแสดงและขับร้องเป็นตัวละครต่างๆ ท่านเจ้าอาวาสทำหน้าที่เป็นผู้เล่าเรื่องราวเชิงปาฏิหารย์ ดังมีความว่า

ณ ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเคอร์ลู มีชายแจวเรือที่คอยพายเรือรับส่งคนข้ามฟากอยู่เป็นนิจ เขาพานพบสิ่งต่างๆมามากมายที่สายน้ำแห่งนี้ ชายแจวเรือขับร้องรำพึงว่า “วันนี้เป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันครบรอบปีที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดและเศร้าสลด เมื่อเด็กชายคนหนึ่งตายลงที่ริมฝั่งน้ำอีกด้านหนึ่ง ต่อมาเด็กชายผู้นั้น กลายเป็นที่เคารพสักการะของผู้คนที่ผ่านไปมา ในฐานะดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์”

ขณะที่เขากำลังจะออกเรือเพราะผู้โดยสารเกือบเต็มแล้ว ชายนักเดินทางคนหนึ่งก็มาถึงและขอข้ามฝากด้วย พร้อมๆกันนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องรำพันของหญิงนางหนึ่งชายนักเดินทางเล่าว่า เธอเป็นหญิงบ้า สติไม่เต็มเต็ง ร้องเพลงและรำพันพร้อมทำท่าแปลกๆเป็นที่น่าขันน่าสังเวชแก่ผู้คนที่พบเห็น เธอกำลังเดินมุ่งมาทางนี้เหมือนกัน

ไม่นานนัก เธอก็ปรากฏตัวพร้อมขอข้ามฟากด้วย ชายแจวเรือจึงถามว่าเธอเป็นใครมาจากไหน เธอเล่าให้ฟังว่า เธอมาจากเทือกเขาดำ (Black Mountains) ออกเดินทางเที่ยวตามหาลูกชายที่หายไป ลูกชายเธออายุ 12 ขวบ และถูกชายแปลกหน้าร่างใหญ่ลักพาตัวมาทางแถบตะวันออก เธอจึงออกเดินทางเที่ยวตามหาเขาไปเรื่อยๆจนกว่าจะพบ

ในตอนแรก ชายแจวเรือไม่ยอมให้เธอลงเรือ แถมล้อเลียนเสียดสีว่าเธอเป็นบ้าน่าขัน ไหนร้องเพลงตลกๆให้พวกเราฟังซิ แต่ในที่สุดเมื่อเธอเล่าเรื่องน่ารันทดดังกล่าว ผู้โดยสารในเรือต่างก็สงสารและขอให้เธอร่วมลงเรือเดินทางด้วย เมื่อทุกคนลงเรือเรียบร้อย ชายแจวเรือก็พายออกจากฝั่ง ขณะที่เรือเข้ามาใกล้เกือบถึงอีกฝั่งด้านตะวันออก ผู้โดยสารต่างก็เห็นผู้คนรวมกลุ่มกันอยู่ตรงชายฝั่ง ต่างก็สงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้น

ชายแจวเรือจึงเล่าให้ฟังว่า “วันเดียวกันนี้เมื่อปีก่อน เกิดเหตุการณ์น่าสลดในวันดังกล่าว มีชายแปลกหน้าร่างใหญ่ พกอาวุธ เขามาขึ้นเรือเพื่อข้ามฟากไปยังฝั่งตรงข้าม ชายร่างใหญ่พาเด็กชายอายุราว 12 ขวบมาด้วย ท่าทางไม่สบายและดูอ่อนแอมาก ชายผู้นั้นบอกว่า เขาซื้อเด็กคนนี้มาเป็นทาส ทว่าเมื่อขึ้นฝั่งได้ เด็กชายก็อ่อนแรงเดินไม่ไหว อาการหนักใกล้ตาย ชายแปลกหน้าผู้นั้นจึงละทิ้งเด็กและจากไป ชาวบ้านฝั่งนั้นต่างก็สงสารและเข้าไปหาเพื่อช่วยเหลือเด็กชาย

เด็กชายเล่าให้ฟังถึงความเป็นมาว่า “เขาเป็นลูกขุนนาง แต่บิดามาเสียชีวิต เขาจึงอยู่กับมารดาเพียง 2 คน แล้ววันหนึ่งก็ถูกชายร่างใหญ่ลักพาตัวมา และขณะนี้เขากำลังจะตาย” ก่อนตายเขาพร่ำบ่นสวดมนต์แล้วก็สิ้นใจไป

ชาวบ้านเห็นว่าเด็กชายคนนี้แปลก ท่าทางราวผู้ใหญ่ สงบ นิ่งและสุขุมมาก พวกเขาจึงพากันคิดว่า เด็กชายน่าจะเป็นนักบุญ จากนั้นชาวบ้านก็ฝังศพเด็กชายผู้วายชนม์ไว้ในสุสานวัด ซึ่งต่อมาสุสานนี้ก็ได้กลายมาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีผู้คนเดินทางมาขอพรให้หายป่วยไข้และสัมฤทธิ์ผลเสมอมา

ดังนั้น วันนี้ซึ่งเป็นวันครบรอบเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้คนจึงมาชุมนุมสวดมนต์เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์น่าเศร้าสลดของเด็กชายนักบุญผู้นั้น”

เมื่อชายแจวเรือเล่าเรื่องจบ เรือก็ถึงฝั่งพอดี ผู้โดยสารทุกคนยกเว้น ‘หญิงบ้า’ ต่างก็ขยับจะขึ้นฝั่ง แต่หญิงบ้ากลับนั่งนิ่งอยู่ในเรือเช่นนั้น เธอเริ่มซักถามชายแจวเรือถึงเด็กชายผู้นั้น ในที่สุด ทุกคนก็แน่ใจว่า เด็กชายคือลูกชายของเธอที่หายไป ทุกคนสงสารเธอกันมากที่อุตส่าห์เดินทางมาไกลเพื่อจะมาพบว่า ลูกชายตายแล้ว ทุกคนจึงพาเธอเดินไปที่หลุมศพเพื่อสวดมนต์ให้ลูกน้อยของเธอ พวกเขาชักชวนให้เธอสวดมนต์ด้วย เพราะบทสวดมนต์จากปากมารดาย่อมศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

ไม่นานนักราวปาฏิหาริย์ ทุกคนก็ได้ยินเสียงเด็กชายร้องเพลงสวดคลอไปกับการสวดมนต์ของคณะสงฆ์ แล้วสักครู่วิญญาณของเด็กชายก็ปรากฏร่าง เขาเดินเข้ามาหามารดา เตือนสติให้มารดาดำเนินชีวิตต่อไปอย่างสงบสันติ เพราะในที่สุด ผู้วายชนม์ทั้งหลายก็จะฟื้นคืนชีวิต และในวันอันน่าปีติใจดังกล่าว เธอก็จะได้พบเขาอีกครั้งบนสรวงสวรรค์

“Go your way in peace, mother. The dead shall rise again, and on that blessed day, we shall meet in heav’n.”

เมื่อเขาสวดมนต์ขอพรพระผู้เป็นเจ้าให้เธอ หญิงบ้าผู้นั้นก็ใจสงบและเป็นอิสระ เธอหลุดพ้นจากอาการเสียสติแล้วด้วยพระมหากรุณาของพระองค์

ขอเชิญติดตามรับฟังอุปรากรเรื่อง “ตำนานแห่งแม่น้ำเคอร์ลู” คืนวันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน ที่จะถึงนี้