เลฮาร์ เกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1870 ในดินแดนฮังการี สมัยที่ราชอาณาจักรฮังการีเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีอันเกรียงไกร
เลฮาร์ เกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1870 ในดินแดนฮังการี สมัยที่ราชอาณาจักรฮังการีเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีอันเกรียงไกร
เมื่อเลฮาร์โตขึ้น ท่านเข้าเรียนดนตรี ทั้งไวโอลินและการประพันธ์เพลงที่วิทยาลัยดนตรีแห่งกรุงปราก (Prague Conservatory) ได้เป็นศิษย์ของ อันโทนิน ดโวชาร์ค (Antonin Dvorak) ซึ่งครูท่านนี้สนับสนุนให้ ‘เลฮาร์แขวนซอมาแต่งเพลงอย่างเต็มตัวดีกว่า’ เมื่อเรียนจบในปี ค.ศ. 1899 เลฮาร์ก็เริ่มต้น
ชีวิตในวงการดนตรี โดยเป็นผู้ช่วยในวงโยธวาทิตที่กรุงเวียนนา
ต่อมาในปี ค.ศ. 1902 ได้ตำแหน่งผู้อำนวยเพลงประจำโรงละครแห่งกรุงเวียนนา (Theater an der Wien) พร้อมกับได้นำจุลอุปรากร (operetta) เรื่องแรกออกแสดงที่นี่ด้วย จากนั้นชีวิตก็รุ่งโรจน์ จุลอุปรากรเรื่องแล้วเรื่องเล่าหลั่งไหลจากปลายปากกาดนตรีของเลฮาร์ นำทั้งชื่อเสียงและเงินทองมาให้ท่านมากมาย
ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นนักจุลอุปรากรผู้ยิ่งใหญ่คนสุดท้ายของสายสกุลเวียนนา สืบต่อจาก โยฮันน์ สเตราส์ จูเนียร์ (Johann Strauss Jr) เรื่องที่มีชื่อเสียงมากๆ เช่น Die lustige Witwe (The Merry Widow; 1905), Der Graf von Luxemburg (1909), Zigeunerliebe (1910), Das Land des Lachelns (The Land of Smiles; 1929) และ Giuditta (1934)
เนื้อเรื่องจุลอุปรากรของเลฮาร์ ง่ายๆไม่ซับซ้อน เป็นเรื่องราวรักๆใคร่ๆ สุขบ้างทุกข์บ้าง เดี๋ยวหักอกกันเดี๋ยวคืนดีกัน มักมีฉากโอ่อ่าตระการตา สะท้อนบรรยากาศและชีวิตอันรื่นรมย์ของชาวเวียนนาทั้งชนชั้นสูงและชั้นกลางของยุโรป แต่ในละครเรื่องท้ายๆของเลฮาร์ มักจบเศร้าไม่สมหวัง
ความผันผวนของเรื่องราวเหล่านี้ เลฮาร์สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างกินใจ ด้วยบทเพลงเดี่ยว ของตัวละครเอก (aria) เพลงร้องหลายบทจากหลายเรื่อง กลายมาเป็นเพลงร้องไลท์คลาสสิกยอดนิยม นำมาขับร้องและฟังกันเดี่ยวๆแยกจากละครก็มี บทที่โด่งดังที่สุดเห็นจะได้แก่ เพลง ‘Vilja Lied’ จากจุลอุปรากรเรื่อง Die lustige Witwe, เพลง ‘Dein ist mein ganzes Herz’ (You are My Heart’s Delight) จากจุลอุปรากรเรื่อง Das Land des Lachelns, และเพลง ‘Meine Lippen, sie kussen so heiss’ (On my Lips, Every Kiss is Like Wine) จากเรื่อง Giuditta
Giuditta เป็น masterpiece ชิ้นสุดท้ายของเลฮาร์ แต่งและนำออกแสดงครั้งแรก ที่โรงอุปรากรแห่งกรุงเวียนนา (Vienna State Opera) ปี ค.ศ. 1934 นับเป็นจุลอุปรากรเรื่องแรกที่ได้รับเกียรติให้แสดงรอบปฐมฤกษ์ที่โรงอุปรากรแห่งนี้ และยังมีการถ่ายทอดสดการแสดงทั้งในประเทศและนานาชาติ ผ่านวิทยุถึง 120 สถานี
จุลอุปรากรเรื่องนี้ มีทั้งบทพูดและบทร้องเป็นภาษาเยอรมัน (ต่อมามีการแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย) ฉากและท้องเรื่องเกิดขึ้นที่ยุโรปและดินแดนอัฟริกา
ตัวละครเอก ได้แก่
จูดิทตา นางเอก เดิมเป็นภรรยา มานูเอล (Manuele)
อ็อกเทเวีย (Octavia) นายทหารหนุ่มผู้งามสง่า พระเอก
อันโทนีโอ (Antonio) นายทหาร เพื่อนของอ็อกเทเวีย
เปียร์รีโน (Pierrino) และ อนิตา (Anita) สามีภรรยานักแสดง
ลอร์ด แบร์รีมอร์ (Lord Berrymore)
ละครแบ่งออกเป็น 5 ฉาก
ฉากแรก: เรื่องราวเปิดขึ้นที่ตลาดนัดแถวบริเวณท่าเรือแถบยุโรปใต้ วณิพกข้างถนนกำลังร้องเพลงขับกล่อมทำความสนุกสนานแก่ผู้คน แล้วไม่นาน นักแสดงสองสามีภรรยาก็ปรากฏตัว ฝ่ายสามี เปียร์รีโน ขับร้องประกาศขายผลไม้ ตะกร้าผลไม้ และในที่สุด เจ้าลาที่เขาจูงมาพร้อมตระกร้าผลไม้ คือขายทั้งหมด เขาขับร้องเพลงคู่บอกภรรยา ให้เธอดีใจว่ามีเงินพอที่จะเดินทางไปสร้างชีวิตใหม่ที่อัฟริกาแล้ว ทั้งคู่กะจะไปเป็นนักแสดงโด่งดังที่โน่น
เมื่อสองสามีภรรยาจากไป มานูเอล ก็เข้ามาพร้อมกรงนกไม้อันใหญ่ เขาประกาศขายกรงนกเพื่อจะนำเงินไปซื้อผ้าพันคอไหมให้จูดิทตา แล้วเขาก็ขับร้องเพลงรำพันถึงความงาม ความรักเดียวใจเดียว และความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อให้เมียรักมีความสุข แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมเพื่อนของเขากล่าวเตือนว่า ความงามของหญิงสาวนั้นจะว่าไปก็เหมือนดาบสองคมนะ มานูเอลฟังแล้วก็เคืองไม่เห็นด้วย แล้วเดินจากไป
ไม่นาน อ็อกเทเวีย นายทหารหนุ่มรูปหล่อก็ปรากฏตัวพร้อมอันโทนีโอและกลุ่มเพื่อนนายทหาร ทั้งหมดกำลังเตรียมตัวลงเรือไปประจำการที่อัฟริกา อ็อกเทเวียขับร้องเพลงบรรยายถึงชีวิตอันรื่นรมย์ ทุกวันช่างเต็มไปด้วยเรื่องน่าตื่นเต้นและความรักครั้งใหม่ๆ จากนั้น อันโทนีโอและเพื่อนๆนายทหารเดินออกจากฉากเพื่อไปดูแลความพร้อมก่อนเดินทาง
จูดิทตา เดินตาลอยออกมาจากบ้านในละแวกนั้น เธอไม่มีความสุขในชีวิตแต่งงานเลย แม้ว่ามานูเอลจะรักและเอาใจใส่เธออย่างกับอะไรดี แต่เมื่อไม่มีใจรัก เธอก็เฝ้ารำพันถึงความฝัน ว่าเธอจะพบชายที่ทำให้เธอมีความสุขได้
พลันที่จูดิทตาออกมาจากบ้าน อ็อกเทเวียก็ประสบพบพักตร์แล้วตกหลุมรักเธอเข้าให้ และเมื่อทั้งคู่ประสานสายตากัน ต่างก็ตระหนักถึงจิตประพัทธ์ต่อกัน อ็อกเทเวียขับร้องเพลง ขัดเคืองใจที่กำลังต้องจากไปอัฟริกา ฝ่ายจูดิทตาก็ยอมรับกับเขาว่า เธอไม่มีความสุขในชีวิตสมรสเลย อ็อกเทเวียจึงบอกว่าเขาจะรอเธออยู่ที่ท่าเรือ ขอให้เธอตัดสินใจ
เมื่อจูดิทตากลับบ้านไป มานูเอลก็กลับมาและพบอ็อกเทเวียพอดี และจากการสนทนากันก็รู้ว่า นายทหารหนุ่มกับเมียรักท่าจะยังไงๆกันเสียแล้ว มานูเอลหึงหวงและกลัวขึ้นมาจับจิต และเมื่อจูดิทตากลับออกมาจากบ้าน ทั้งคู่ก็มีปากมีเสียงกัน ความหึงหวงของสามี ทำให้จูดิทตาโกรธขัดเคืองมาก เพราะยิ่งรู้สึกเหมือนติดกรงขัง เมื่อมานูเอลผลุนผลันจากไปด้วยความขัดเคือง จูดิทตาจึงประกาศอิสรภาพ ด้วยการปล่อยนกในกรงเป็นสัญลักษณ์ แล้วตามไปพบอ็อกเทเวียที่ท่าเรือ
ฉากที่สอง: หลายสัปดาห์ผ่านไป จูดิทตาและอ็อกเทเวียมีความสุขด้วยกันดีที่วิลลาของอ็อกเทเวีย ในเมืองตอนเหนือของอัฟริกา เปียร์รีโนและอนิตา สองสามีภรรยานักแสดงแสวงโชคกำลังเข้าตาจน เพราะไม่ดังอย่างที่คิด เงินทองก็ร่อยหรอ ทั้งคู่จึงมาหาจูดิทตาและอ็อกเทเวียเพื่อขอความช่วยเหลือ
จูดิทตาเห็นใจ และให้เปียร์รีโนยืมเงินเพื่อกลับบ้านที่ยุโรป และเธอยินดีรับอนิตาไว้ที่บ้านจนกว่าเปียร์รีโนจะหาทางกลับมารับภรรยา แล้วสองสาวก็กลับเข้าบ้านไป
อย่างไรก็ตาม โชคชะตาเริ่มพลิกผัน เมื่ออันโทนีโอมาแจ้งข่าวแก่อ็อกเทเวียว่า เขากำลังจะได้รับคำสั่งให้ออกไปประจำการที่อื่น อ็อกเทเวียเสียใจมากเมื่อรู้ว่าต้องจากคนรัก และเมื่อจูดิทตากลับเข้ามา ทั้งคู่ก็ขับร้องเพลงรำพันถึงความรักที่มีต่อกัน
ฉากที่สาม: อ็อกเทเวียกำลังหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องที่กำลังต้องจากสาวคนรัก เขาขับร้องเพลงรำพันถึงความรักและความสุขเปี่ยมล้นที่มีกับเธอ เธอเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ของเขา แต่เขาก็จำต้องจากไปด้วยหน้าที่ จูดิทตาเข้ามาได้ยินคำพร่ำรำพันพอดี เธอเสียใจมากและพยายามยื้อและโต้แย้งอ็อกเทเวียด้วยเหตุผลต่างๆนานา เพื่อมิให้เขาจากไป ถึงกับยุให้แฟนหนุ่มหนีราชการทหาร อ็อกเทเวียใจอ่อนเต็มที เกือบไม่ไปแล้ว แต่ในที่สุดเมื่ออันโทนีโอเข้ามาตาม เขาก็ได้สติ คว้าหมวกและเสื้อคลุมตามอันโทนีโอออกไป ทิ้งให้จูดิทตาคร่ำครวญถึงชายที่เคยรักเธอทุกคน ซึ่งในที่สุดก็ล้วนต้องพรากจากเธอไป
ฉากที่สี่: หลังจากอ็อกเทเวียจากไป จูดิทตายังอยู่อัฟริกาและผันตัวเองมาเป็นนักร้อง แสดงโชว์อยู่ที่ ‘อัลคาซา’ ไนต์คลับชื่อดัง โชว์แต่ละคืนของเธอมีชื่อเสียงมาก มีชายหนุ่มมาติดพันเสมอ และคืนหนึ่ง ผู้จัดการคลับก็เข้ามาแจ้งแก่เธอว่า ท่านลอร์ดแบรีมอร์ ติดใจและอยากนัดกินข้าวกับเธอ จูดิทตาตอบปฏิเสธไปแล้วขอตัวกลับหลังเวทีเพื่อเตรียมร้องเพลง
อย่างไรก็ตาม จูดิทตาก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับท่านลอร์ด และเมื่อเธอขับร้องเพลงเอกที่ยั่วยวนใจมากจบ ท่านลอร์ดก็ประกาศความรักท่วมท้นที่มีต่อเธอ และทั้งคู่ก็เกี่ยวก้อยไปรับประทานอาหารด้วยกัน
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น อ็อกเทเวีย ซึ่งขณะนี้ปลดประจำการแล้ว ก็โผล่มาที่อัลคาซา เพราะสืบได้ความว่า จูดิทตาเป็นดาราดวงเด่นอยู่ที่นี่ เขากำลังจะให้คนไปแจ้งแก่เธอว่ามีแขกมาพบ แต่ช่วงขณะเดียวกันนั้น ทั้งจูดิทตาและท่านลอร์ดก็กำลังเดินออกไปจากคลับ มีอ็อกเทเวียมองตามตาละห้อย เจ็บปวดลึกอยู่ในอก
ฉากจบ: ฉากเปิดขึ้นมาในห้องรับรองส่วนตัวที่โรงแรมหรู เวลาผ่านไป 4 ปีแล้ว อ็อกเทเวียยังอยู่อัฟริกาและผันตัวเองมาเป็นนักร้องนักเปียโน เขาได้รับการว่าจ้างให้มาเล่นเปียโนให้ท่านลอร์ดและจูดิทตาฟังเป็นการส่วนตัว ตอนแรกที่จูดิทตาเดินเข้ามาในห้องเพียงลำพัง เธอได้ยินเสียงเพลงเปียโนแล้วก็เริ่มเอะใจ ระลึกถึงความหลังขึ้นมา แล้วเธอก็เขม้นมองไปที่นักเปียโน ‘เขานั่นเอง’ แล้วทั้งคู่ก็สนทนากัน จูดิทตาเพิ่งรู้ความจริงว่า อ็อกเทเวียเคยกลับมาหาเธอที่อัลคาซาเมื่อหลายปีก่อน เธอจึงอ้อนวอนให้เขากลับมาหาเธอ แต่อ็อกเทเวียบอกว่า สายไปซะแล้ว เพราะชีวิตของเขานั้นบุบสลายทรุดโทรมเกินเยียวยา
เมื่อท่านลอร์ดมาถึง อ็อกเทเวียก็กลับไปนั่งหน้าเปียโนตามหน้าที่ จูดิทตาขอร้องให้ท่านพาเธอกลับบ้าน แล้วเธอก็หันกลับมามองชายผู้เป็นที่รักเป็นครั้งสุดท้าย ฝ่ายอ็อกเทเวียก็ไม่มีกะจิตกะใจจะบรรเลงเปียโนต่อ ได้แต่พึมพำๆถึงความรักความหลังที่ไม่มีวันหวนคืน
เรื่องราวทั้งหมดที่พรรณนามา ฟังดูเรียบง่าย ไม่ลึกซึ้ง เกิดขึ้น ดำเนินไป และจบลงเสียยังงั้น แต่ในเชิงดนตรี เลฮาร์ก็สามารถคลี่คลายขยายความเรื่องราวและบุคลิกแบนๆของเหล่าตัวละคร ออกมาเป็นบทเพลงที่ไพเราะกินใจนักร้องนักแสดงและผู้ฟังทั่วโลกมาได้เนิ่นนานเกือบร้อยปีแล้ว
ขอเชิญฟังเพลงไพเราะจาก Giuditta ในคืนวันอาทิตย์ที่ 30 เมษายนที่จะถึงนี้