ลูเชียแห่งแลมเมอร์มัวร์
493 views
0
0
"บทความจุลสารฉบับนี้ขอนำเสนอเรื่องราวของละครอุปรากรอิตาเลี่ยนเรื่องที่สนุก เข้มข้นในอารมณ์และโด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งจากสมัยโรแมนติก คือเรื่อง “ลูเชียแห่งแลมเมอร์มัวร์” (Lucia di Lammermoor) ผลงานของ เกตาโน โดนีเซ็ทตี (Gaetano Donizetti; ค.ศ. 1797-1848) โดนีเซ็ทตี มีวาระครบรอบคล้ายวันเกิดในเดือนพฤศจิกายนนี้ รายการดนตรีคลาสสิก จึงขอร่วมระลึกถึงท่านในวาระนี้ร่วมกับวงการดนตรีและอุปรากรทั่วโลกด้วย"

เกตาโน โดนีเซ็ทตี เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1797 ที่เมืองแบร์กาโม ประเทศอิตาลี ในครอบครัวยากจน ได้รับการฝึกฝนทางดนตรีจากครูดนตรีประจำโบสถ์ของเมือง และต่อมา ก็ได้ทุนศึกษาดนตรีขั้นสูงที่โรงเรียนดนตรีที่ครูของท่านเป็นผู้ก่อตั้ง จนกระทั่งในปี ค.ศ.1818 เมื่ออายุ 21 ปีโดนีเซ็ทตีจึงเริ่มแต่งละครอุปรากร จากนั้นก็มีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ มีเจ้าของคณะละครว่าจ้างให้ประพันธ์อุปรากรและนำเสนอในเมืองใหญ่หลายแห่ง ทั้งเมืองเนเปิลส์ มิลานและโรม จนกระทั่งอายุราว 33 ปีจึงมีชื่อเสียงขึ้นมาทั่วยุโรป เมื่ออายุราว 40 ปี ท่านย้ายไปอยู่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่งอุปรากรหลายเรื่อง ในภาษาฝรั่งเศส รวมแล้วตลอดชีวิตท่านแต่งอุปรากรไว้ทั้งหมดราว 70 เรื่อง และยังมีเพลงซิมโฟนี 16 บท สตริงควอเต็ท 19 บท เพลงโอราโทรีโอ 3 บท เพลงคันตาตาอีกเกือบ 30 บท และอื่นๆอีกมากมาย นับเป็นนักประพันธ์เพลงเอกคนหนึ่งของยุคสมัย

เกตาโน โดนีเซ็ทตี (Gaetano Donizetti; ค.ศ. 1797-1848)

สำหรับในแวดวงอุปรากรนั้น โดนีเซ็ทตี ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สืบทอดขนบประเพณีของอุปรากรอิตาเลียนที่มีมาแต่โบราณ ร่วมสมัยเดียวกันกับ รอสซีนี (Gioacchino Rossini; ค.ศ. 1792-1868) และ เบลลีนี (Vincenzo Bellini; 1801-1835) อุปรากรของโดนีเซ็ทตี ส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะที่เรียกกันว่า bel canto opera คืออุปรากรที่เน้นการขับร้องและบทร้องที่ไพเราะหยดย้อย

ช่วงบั้นปลายชีวิตของท่านนั้นช่างแสนเศร้า ประมาณปี ค.ศ. 1837 หลังจากสูญเสียบิดามารดาไปเพียงปีเดียว ภรรยาก็ถึงแก่กรรม ลูกทั้งสามคนก็เสียชีวิตกันไปหมดตั้งแต่เด็ก และในราวช่วง 10 ปีท้ายของชีวิต ด้วยเชื้อโรคร้ายบางอย่างที่แฝงอยู่ในตัว ทำให้ระบบจิต-ประสาทและสมองของท่านเริ่มผิดปกติลงเรื่อยๆ และในที่สุดก็ต้องเวียนเข้าออกสถานบำบัดจิตตลอดช่วงท้ายชีวิต เมื่อสติสัมปชัญญะของท่านหลุดลอยไปแล้ว เพื่อนๆจึงนำท่านกลับจาก กรุงปารีสมายังบ้านเกิดที่เมืองแบร์กาโม โดนีเซ็ทตีถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1848 รวมอายุได้ 51 ปี

อุปรากรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของโดนีเซ็ทตีตราบจนทุกวันนี้ คือเรื่อง ‘ลูเชียแห่งแลม-เมอร์มัวร์’ โดนีเซ็ทตีเป็นผู้ประพันธ์ดนตรี และซัลวาตอเร กัมมาราโน (Salvatore Cammarano) เขียนบทอุปรากร อิงนวนิยายลือชื่อเรื่อง “เจ้าสาวแห่งแลมเมอมัวร์” (The Bride of Lammermoor) ของ เซอร์ วอลเตอร์ สก็อต (Sir Walter Scott) นักเขียนเอกชาวอังกฤษ โดย กัมมาราโน ดัดแปลงชื่อตัวละครเป็นภาษาอิตาเลียน และออกแสดงรอบปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 1835 ที่นครเนเปิลส์ และอีก 4 ปีต่อมาดัดแปลงจากภาษาอิตาเลี่ยนเป็นภาษาฝรั่งเศสสำหรับแสดงที่กรุงปารีสด้วย

อุปรากรเรื่องนี้แบ่งออกเป็น 3 องก์ ฉากของเรื่องคือ ปราสาทแรเวนส์วูด ในแคว้น แลมเมอร์มัวร์ ประเทศสก็อตแลนด์ ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ตัวละครเอกได้แก่
ลูเชีย (Lucia) นางเอก

- ท่าน ลอร์ด เอ็นรีโก แอชตัน (Lord Enrico Ashton) เจ้าของปราสาทคนปัจจุบัน และเป็นพี่ชายของลูเชีย

- เซอร์ เอ็ดการ์โด แรเวนส์วูด (Sir Edgardo Ravenswood) คู่แค้นของเอ็นรีโก และ คนรักของลูเชีย

- ลอร์ด อาร์ตูโร บัคลอว์ (Lord Arturo Bucklaw) ชายสูงศักดิ์ ร่ำรวยที่เอ็นรีโกหมั้นหมายไว้ให้ลูเชีย

- อลิซา (Alisa) สาวใช้คนสนิทของลูเชีย

- นอร์มันโน (Normanno) คนสนิทของเอ็นรีโก

- ไรมอนโด (Raimondo) อนุศาสนาจารย์ประจำโบสถ์ของปราสาท

ความเดิมก่อนเริ่มเรื่องนั้น เอ็นรีโกกับเอ็ดการ์โด เป็นศัตรูคู่แค้นกัน เพราะเอ็นรีโกไปสังหารบิดาของเอ็ดการ์โด และยังยึดเอาปราสาทของตระกูลแรเวนส์วูดไว้ในครอบครอง อย่างไรก็ตาม เอ็ดการ์โด ไปตกหลุมรักกับลูเชียเมื่อคราวที่เคยไปช่วยเธอไว้จากอันตรายในป่า ทำให้เขาตั้งใจจะประนีประนอมกับเอ็นรีโกเพื่อขอน้องสาวเป็นภรรยา แต่ลูเชียนั้นกลัวพี่ชาย จึงขอให้ชายคนรักเก็บเรื่องราวไว้เป็นความลับ ฝ่ายเอ็นรีโกเองนั้น ก็ต้องการให้น้องสาวแต่งงานกับ อาร์ตูโร เพื่อให้อาร์ตูโรช่วยค้ำจุนสถานภาพทางการเงินและทางสังคมของตัวเอง

องก์แรก: นอร์มันโนและบรรดาฝ่ายรักษาความปลอดภัยของปราสาท กำลังแยกย้ายกันค้นหา ผู้บุกรุกที่พวกเขารู้ว่ามาหลบซ่อนอยู่ในปราสาท และค่อนข้างแน่ใจว่าคือ เอ็ดการ์โด คู่แค้นของเอ็นรีโก ฝ่ายเอ็นรีโกกำลังตกอยู่ในฐานะลำบาก จึงคิดกอบกู้สถานะของตัวเองโดยจะบังคับให้น้องสาวลูเชีย แต่งงานกับอาร์ตูโร แต่นอร์มันโน บอกว่าเขาไม่แน่ใจในเรื่องนั้นนักเพราะคิดว่า ลูเชียกำลังมีความรัก และชายคนรักก็คือเอ็ดการ์โด เขาเคยเห็นทั้งคู่ลักลอบพบกันหลายครั้งแล้ว และค่อนข้างแน่ใจว่าตอนนี้เอ็ดการ์โดก็กำลังป้วนเปี้ยนอยู่ในปราสาทนี้เอง เอ็นรีโกได้ฟังดังนั้นก็โกรธมาก ด่าว่าจงเกลียดจงชังเอ็ดการ์โด และตั้งใจที่จะยุติความสัมพันธ์อันนี้ให้จงได้

ฉากตัดมาที่น้ำพุในสวนของปราสาท ลูเชียและอลิซาคนสนิท กำลังยืนคอยเอ็ดการ์โดตามที่นัดหมายกันไว้ ลูเชียเล่าให้อลิซาฟังถึงภาพนิมิตที่เธอเคยเห็นที่ข้างน้ำพุ ว่าเป็นเงารางๆของหญิงสาวที่ถูกคนในตระกูลแรเวนส์วูดแทงตายอย่างสยดสยอง อลิซาได้ฟังดังนั้นก็ไม่สบายใจและพยายามบอกให้ลูเชียยุติความสัมพันธ์อันเร้นลับนี้ เพราะภาพนิมิตดังกล่าวน่าจะเป็นลางร้าย แต่ลูเชียก็ไม่ฟัง เอาแต่พร่ำรำพันถึงความรักที่เธอมีต่อเอ็ดการ์โด

อีกไม่นาน เอ็ดการ์โดก็มาถึงพร้อมบอกข่าวว่า เขาจะต้องจากเธอไปฝรั่งเศสพักหนึ่งเพื่อช่วยราชการงานเมืองของสก็อตแลนด์ และก่อนไปเขาก็อยากขอเธอกับพี่ชายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่ลูเชียไม่ยอมเพราะกลัวพี่ชาย ฝ่ายเอ็ดการ์โดก็วูบรำพึงขึ้นมาถึงความแค้นและคำมั่นสัญญาว่าเขาจะเป็นศัตรูกับครอบครัวแอชตัน เพราะเคยทำเขาเจ็บมามาก อย่างไรก็ตาม ลูเชียก็พยายามปลอบประโลมให้สติว่า “แต่เราทั้งสองรักกันมิใช่หรือ?” เอ็ดการ์โดจึงขอให้เธอสาบานและให้คำมั่นสัญญาว่าจะมั่นคงต่อกัน แล้วทั้งคู่ก็แลกแหวนเป็นการหมั้นหมายกันเองอย่างลับๆ ลูเชียบอกกับชายคนรักว่า ขอให้เขาเขียนจดหมายถึงเธอทุกวัน และว่าเธอก็จะคิดถึงเขาทุกลมหายใจ แล้วทั้งคู่ก็พร่ำพลอดรักกันก่อนที่เอ็ดการ์โดจะจากไป

องก์สอง: เปิดฉากขึ้นมาที่ปราสาทแรเวนส์วูด เอ็นรีโกจัดให้มีการเตรียมงานแต่งงานใหญ่โตระหว่างน้องสาวและลอร์ด อาร์ตูโร แต่ขณะเดียวกันก็หวั่นใจอยู่ว่าน้องสาวจะยินยอมแต่งงานตามแผนหรือไม่ แต่นอร์มันโน บอกว่าเขาเตรียมเขียนจดหมายปลอมจากเอ็ดการ์โดมาหลอก ลูเชียแล้ว โดยในจดหมายนั้น เอ็ดการ์โดเขียนมาขอยกเลิกคำมั่นสัญญากับลูเชียเพราะเขาไปมีรักใหม่ เมื่อลูเชียมาถึง เอ็นรีโกก็บอกน้องสาวว่า เขาเตรียมชายหนุ่มสูงศักดิ์ไว้ให้เป็นคู่หมายของเธอแล้ว แต่ลูเชียบอกว่า เธอมีคู่หมายแล้ว พี่ชายจึงเอาจดหมายปลอมจากเอ็ดการ์โดให้เธอดู และให้ไรมอนโดปลอบโยนให้เธอตัดใจจากเอ็ดการ์โดแล้วแต่งงานกับอาร์ตูโรเพื่อความมั่นคงของครอบครัว ลูเชียเสียใจมาก เอาแต่พร่ำรำพันถึงความตาย

ฉากต่อมา อาร์ตูโรมาถึงปราสาทและแปลกใจที่เห็นลูเชียมีหน้าตาท่าทีแปลกๆไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่เอ็นรีโกก็แก้ว่า เธอยังเศร้าและทำใจไม่ได้จากการจากไปของมารดา แต่ในที่สุดเอ็นรีโกก็สามารถทำให้ทั้งลูเชียและอาร์ตูโรลงนามในทะเบียนสมรสสำเร็จ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เอ็ดการ์โดผลุนผลันมาถึงปราสาท ลูเชียตกใจมากจนแทบเป็นลม ฝ่ายเอ็ดการ์โดก็โกรธมาก เอ็นรีโกกับเอ็ดการ์โดเกือบประดาบกัน แต่ไรมอนโดเข้ามาห้ามไว้ แล้วเอ็นรีโกก็ชูทะเบียนสมรสให้เอ็ดการ์โดเห็นลายเซ็นของลูเชีย เอ็ดการ์โดตกตะลึงและด่าว่าสาปแช่งลูเชีย แล้วก็ปาแหวนที่เคยให้ไว้แก่กันทิ้ง ก่อนจะผลุนผลันออกจากปราสาทไป

องก์สุดท้าย: เอ็นรีโกมาหาเอ็ดการ์โดที่บ้านเพื่อท้าดวลกันให้รู้แล้วรู้รอด และเย้ยว่าลูเชียกำลังมีความสุขกับงานแต่งงาน เอ็ดการ์โดรับคำท้าและนัดจะไปดวลกันที่สุสานของตระกูลแรแวนส์วูด

ฉากต่อมาตัดไปที่ห้องโถงของปราสาทแรแวนส์วูด ขณะที่งานเลี้ยงฉลองสมรสกำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ไรมอนโดก็วิ่งเข้ามาแจ้งข่าวร้ายว่า เขาได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากห้องของลูเชีย และเมื่อเขาไปถึงก็เห็นเธอในสภาพที่สติกระเจิดกระเจิงไปแล้ว เธอใช้มีดแทงอาร์-ตูโรตาย เลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วตัวน่าสยดสยองยิ่ง ขณะที่แขกเหรื่อกำลังตกตะลึงกับข่าวร้าย ลูเชียก็กระเซอะกระเซิงออกมา เธอเสียสติแล้วอย่างสิ้นเชิง พร่ำพูดและกรีดร้องเห็นเอ็ดการ์โดกับตัวเธอกำลังจะแต่งงานกันอย่างมีความสุข แล้วลูเชียก็เป็นลมสลบไป เอ็นรีโกเห็นน้องสาวในสภาพเช่นนี้ก็เสียใจมาก

ฉากของลูเชีย หลังจากแทงอาร์ตูโรตาย

ฝ่ายเอ็ดการ์โดมารอเอ็นรีโกอยู่ที่สุสานตามนัด หวังจะตายด้วยปลายดาบของเอ็นรีโก เขามองไปที่ปราสาทเห็นแสงไฟสว่างไสวก็นึกจินตนาการไปถึงลูเชียที่กำลังมีความสุข แต่ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงผู้คนแตกกระเจิดกระเจิงมาจากปราสาท และในที่สุด ก็รู้ข่าวว่าลูเชียกำลังจะตาย และร้องเรียกหาเขาขณะกำลังจะหมดลม เอ็ดการ์โดรู้ความจริงในที่สุดและเสียใจเหลือที่จะกล่าว

ฉากจบของเรื่องเป็นโศกนาฏกรรมซ้ำซ้อนเมื่อเอ็ดการ์โดแทงตัวเองตาย ด้วยหวังจะไปพบกับลูเชียผู้เป็นที่รักในสรวงสวรรค์

ขอเชิญฟังบทเพลงไพเราะระทึกใจจากอุปรากรโศกนาฏกรรมเรื่องนี้ได้ ในคืนวันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายนที่จะถึง