"‘น้ำ’ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่ดูเหมือนมีจิตวิญญาณในตัวเอง ที่มากระทบใจและความรู้สึกให้แปรปรากฏเป็นภาพในใจของผู้เฝ้ามองที่ช่างรับรู้และช่างสังเกตไปได้ต่างๆนานา โดยเฉพาะเมื่อมากระทบใจของศิลปิน เขาก็สามารถแปรความรู้สึกที่เกิดขึ้นผนวกเข้ากับจินตนาการส่วนตัวออกมาเป็นผลงานศิลปะแขนงต่างๆ"
น่าสังเกตว่า เรื่องราวและภาพพจน์เกี่ยวกับ ‘น้ำ’ ดูจะเป็นแหล่งบันดาลใจสำคัญในการสร้างงานศิลปะของศิลปินกลุ่ม ‘ประทับอารมณ์’ (impressionist) เป็นพิเศษ ทั้งนักเขียน จิตรกร และ นักประพันธ์เพลง ศิลปินกลุ่มนี้เป็นศิลปินฝรั่งเศสที่สร้างสรรค์งานอยู่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ต่อกับต้นศตวรรษที่ 20 คือประมาณช่วงปี ค.ศ.1880-1920
ผลงานของศิลปินกลุ่มนี้มักได้รับความบันดาลใจจากสิ่งง่ายๆอันเป็นสามัญที่อยู่รอบๆตัว โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่ค่อยอยู่นิ่ง มีการหวั่นไหวเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่เสมอ จับความไม่ค่อยถนัด แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้ครึ่งๆกลางๆเลือนๆรางๆนั้น ก็มีเสน่ห์และชวนประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นประกายแดดที่เต้นไหวระยิบระยับอยู่บนพื้นน้ำ, หมู่เมฆที่เคลื่อนตัวไปมาอย่างเลื่อนลอย หรือภาพและกลิ่นของไอหมอกที่ค่อยๆระเหยเหือดหายในยามสายของวัน เหล่านี้เป็นแหล่งบันดาลใจของศิลปินกลุ่มประทับอารมณ์มาก
สำหรับศิลปะดนตรีนั้น บทประพันธ์เพลงเกี่ยวกับ ‘น้ำ’ บทสำคัญที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ คือ ‘บทเพลงแห่งท้องทะเล’ (La Mer) ผลงานชิ้นสำคัญของ โคลด เดบุสซี (Claude Debussy; 1862-1918) นักประพันธ์เพลงเอกชาวฝรั่งเศส ผู้นำกลุ่มดนตรีประทับอารมณ์
โคลด เดบุสซี (Claude Debussy; 1862-1918) นักประพันธ์เพลงเอกชาวฝรั่งเศส ผู้นำกลุ่มดนตรีประทับอารมณ์
บิดาของเดบุสซี เคยเป็นทหารเรือ และต่อมาก็อยากให้ลูกชายดำเนินรอยตาม อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเดบุสซีก็หันเหมาเป็นนักดนตรี แต่ภาพและเรื่องราวของท้องทะเลก็คงประทับอยู่ในใจของท่านไม่น้อย
นอกจากนี้ ในช่วงปี ค.ศ. 1902-1903 ที่เริ่มคิดแต่งเพลงนี้ เดบุสซีเดินทางไปกรุงลอนดอน และมีโอกาสชมภาพเขียนของ วิลเลียม เทอเนอร์ (William Turner; ค.ศ. 1775-1851) จิตรกรชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงมากในการวาดรูปทิวทัศน์ท้องทะเล (seascape) ซึ่งน่าจะเป็นแรงบันดาลใจอีกประการหนึ่ง ที่ส่งผลให้ความคิดของเพลงชุดนี้ก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่างยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ศิลปินอีกท่านหนึ่งที่มีอิทธิพลทางความคิดเกี่ยวกับภาพของท้องทะเลแก่เดบุสซีในช่วงเวลาดังกล่าว คือศิลปินญี่ปุ่นนาม คัสสุชิกะ โฮกุไซ ทั้งนี้เพราะในช่วงเวลานั้น ผู้คนและศิลปินทั้งหลายในกรุงปารีสกำลังนิยมและคลั่งไคล้ศิลปะตะวันออกมาก โดยเฉพาะศิลปะญี่ปุ่นและชวา อันเป็นผลสืบเนื่องจากเทศกาล World Exposition ในปี ค.ศ. 1889 ที่กรุงปารีส และมีการเผยแพร่ศิลปะตะวันออกในเทศกาลนั้นเป็นครั้งแรก เป็นที่ตื่นตาตื่นใจและตื่นหูชาวยุโรปมาก ไม่ว่าจะเป็นเพลงจากวงกาเมลันของชวา หรือภาพพิมพ์ไม้สีสันสดใสของญี่ปุ่น สำหรับเดบุสซีเองนั้น ถึงกับเลือกภาพพิมพ์ไม้ชื่อ ‘เกลียวคลื่น’ (The Great Wave) ของ โฮกุไซ มาเป็นภาพปกของโน้ตเพลง La Mer เมื่อตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย
‘บทเพลงแห่งท้องทะเล’ ของเดบุสซี กำหนดให้บรรเลงด้วยวงดุริยางค์ขนาดใหญ่ แถมด้วยเครื่องดนตรีอีกหลายชิ้น ซึ่งปกติไม่ได้ใช้ประจำในวงดุริยางค์ เช่น พิณ (harp), ปี่อิงลิชฮอร์น (English Horn) เป็นต้น
เพลงชุดนี้ประกอบด้วยท่อนย่อย 3 ท่อน มีชื่อกำกับแต่ละท่อนไว้โดยผู้ประพันธ์เพลง ชวนให้ผู้บรรเลงและผู้ฟัง จินตนาการภาพและความรู้สึกตามไปได้อย่างชัดเจน
ท่อนแรกชื่อ ‘อรุณรุ่งถึงเที่ยงวันที่ท้องทะเล’ (De l’aube a midi sur la mer) เดบุสซี เปิดเพลงขึ้นมาด้วยภาพของท้องทะเลยามเช้าตรู่ ทุกสิ่งยังคงสงบนิ่งแต่หนักแน่นด้วยพลังจากเสียงเครื่องสายแนวต่ำๆผสมผสานด้วยพิณใหญ่ 2 ตัว
จากนั้นไม่นาน ตัวละครต่างๆของท้องทะเล ได้แก่ น้ำ คลื่น ลม เงาของท้องฟ้าและเมฆหมอกที่ทอทาบกับท้องน้ำเมื่อแสงของวันเริ่มฉายฉาน ต่างก็ค่อยๆตื่นขึ้นมาแสดงบทบาท ทำนองเอกของท่อนนี้เล่นด้วยปี่อิงลิชฮอร์นและแตรทรัมเป็ต มีท่วงทำนองฟังคล้ายเพลงตะวันออก สื่อถึงดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นจากท้องทะเลทางทิศตะวันออก เดบุสซีผสมผสานสีเครื่องดนตรีชนิดต่างๆได้ราวกับจิตรกรปาดป้ายสีโทนต่างๆลงบนผืนผ้าใบ ให้ได้ภาพรวมของท้องทะเลที่มีชีวิต เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ใช่เพียงภาพนิ่งหรือภาพเหมือนของท้องทะเล
ท่อนสองชื่อ ‘การล้อไล่ของเกลียวคลื่น’ (Jeux de vagues) ท่อนนี้รวดเร็วเริงร่า ราวกับจะวาดภาพการล้อไล่กันของคลื่นและประกายระยิบระยับที่เกิดจากแสงอาทิตย์ที่ตกต้องลงบนท้องน้ำที่ไม่เคยอยู่นิ่ง
ท่อนสามชื่อ ‘บทสนทนาของสายลมและท้องทะเล’ (Dialogue du vent et de la mer) บทสนทนาบทนี้ออกจะดุเดือดเข้มข้นตอนแรก แต่แล้วทั้งคู่ก็เงียบงันกันไป แล้วกลายเป็นเสียงเรียกมาแต่ไกลของปี่โอโบ ปี่อิงลิชฮอร์นและปี่บาสซูน จากนั้นแตรฮอร์นร้องรับเสียงเรียกดังกล่าว แล้วทั้งวงก็เริ่มบทสนทนาหนักหน่วงอีกครั้งจนจบลงด้วยเสียงกึกก้องของกลุ่มแตรทองเหลือง
เดบุสซีประพันธ์เพลงนี้อยู่สามปีก็เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1905 เมื่อนำออกแสดงครั้งแรก เสียงวิพากษ์วิจารณ์แบ่งออกเป็น 2 สาย แตกต่างกันสุดขั้ว ฝ่ายหนึ่งก็ว่า ‘เป็นผลงานที่ดีที่สุดของเดบุสซี’ แต่อีกฝ่ายว่า ‘น่าเบื่อจัง’ อย่างไรก็ตามจากวันนั้นถึงวันนี้ La Mer อายุย่างเข้า 111 ปีแล้ว ก็ยังเป็นบทเพลงที่บรรเลงและฟังกันมากที่สุดบทหนึ่งของเดบุสซี ถ้าเพลงนี้มีแต่ ‘ความน่าเบื่อจัง’ ก็คงต้องเป็นความน่าเบื่อที่มี ‘อะไรอะไร’ แฝงอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ขอเชิญฟัง ‘บทเพลงแห่งท้องทะเล’ คืนวันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม ที่จะถึงนี้