วิหคเพลิง
2,790 views
0
0
"บทความฉบับนี้ขอนำเสนอเรื่องราวของ “วิหคเพลิง” (The Firebird) ประพันธ์ดนตรีโดย อิกอร์ สตราวินสกี (Igor Stravinsky) นักประพันธ์เพลงเอกชาวรัสเซียจากศตวรรษที่ 20"

‘วิหคเพลิง’ เป็นสัตว์ในตำนานและเทพนิยายหลายเรื่องของชาวสลาฟ กลุ่มชนกลุ่มใหญ่ในรัสเซียและหลายประเทศแถบยุโรปตะวันออก วิหคเพลิงเป็นสัตว์ในจินตนาการ กึ่งนกกึ่งมนุษย์เพศหญิง เป็นสัตว์สวยงามและมีเวทมนต์ ผู้เขียนจินตนาการต่อว่าอาจคล้าย ‘กินรี’ ในวรรณคดีไทย

สำหรับ “วิหคเพลิง” ที่จะนำเสนอในบทความครั้งนี้ เดิมเป็นระบำบัลเลต์จากแนวคิดและการนำเสนอของ เซร์เก ไดกิเลฟ (Sergei Diagilev) เจ้าของคณะระบำรัสเซีย (Ballet Ruses) ที่มีชื่อเสียงมากในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ไดกิเลฟตั้งใจให้คณะระบำรัสเซียของเขา นำเสนอผลงานแนวชาตินิยมรัสเซียให้เลื่องชื่อลือกระฉ่อนทั่วยุโรป เป็นการต่อยอดให้ศิลปะระบำบัลเลต์คลาสสิคที่รัสเซียมีชื่อมาแต่ไหนแต่ไร

เซร์เก ไดกิเลฟ (Sergei Diagilev) เจ้าของคณะระบำรัสเซีย (Ballet Ruses) ที่มีชื่อเสียงมากในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20

ในการแสดงแต่ละชุด ไดกิเลฟจึงทุ่มเต็มที่ โดยชักชวนรวบรวมศิลปินสาขาต่างๆมาร่วมกันทำงาน สำหรับเรื่องวิหคเพลิงนี้ เริ่มวางแผนดำเนินการตั้งต้นปี ค.ศ. 1909 โดยมี ทามารา คาร์ซาวีนา (Tamara Karsavina) ดาราบัลเลต์เอกมารับบทนางวิหคเพลิง มิเคล โฟคีน (Michel Folkine) ประดิษฐ์กระบวนท่ารำ และอิกอร์ สตราวินสกี ประพันธ์ดนตรีประกอบ ทั้งที่ในช่วงเวลาดังกล่าว สตราวินสกี ยังไม่โด่งดังนัก เป็นเพียงนักแต่งเพลงโนเนม แต่เคยมีผลงานเพลงบทเล็กๆที่ไดกิเลฟได้ฟังแล้วประทับใจ เชื่อใจว่าแต่งเพลงชุดวิหคเพลิงได้แน่

สตราวินสกีประพันธ์ดนตรีประกอบเสร็จสมบูรณ์กลางปีถัดมา แล้วระบำ “วิหคเพลิง” ก็ได้ฤกษ์เบิกโรงในคืนวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1910 ที่โรงละครแห่งกรุงปารีส (Paris Opera) อันมีชื่อเสียงแห่งประเทศฝรั่งเศส และจากคืนวันนั้นเอง ชื่อของสตราวินสกี ก็เป็นที่รู้จักกันไปทั่ว เรียกว่าโด่งดังชั่วข้ามคืน และเพลงประกอบบัลเลต์วิหคเพลิงก็กลายมาเป็นบทเพลงชุดที่ได้รับความนิยมบรรเลงและฟังกันมากที่สุดชุดหนึ่งของสตราวินสกีตลอดมาตราบทุกวันนี้ ฟังไพเราะมีเนื้อหาดนตรีเข้มข้นแม้เมื่อนำมาบรรเลงและฟังแยกจากการแสดงระบำ

เรื่องราวของนางวิหคเพลิงมีหลากหลายเวอร์ชั่น แต่ที่ใช้เป็นพื้นฐานของ “วิหคเพลิง” ฉบับของไดกิเลฟและสตราวินสกี มีเค้าโครงดังจะพรรณนาต่อไปนี้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เจ้าชายหนุ่มนาม ‘อิวาน’ (Ivan) เดินทางท่องเที่ยวไปในป่าใหญ่แต่ลำพัง กระทั่งลุเข้าราตรีหนึ่ง เขาก็พบเหตุการณ์แปลกประหลาด ท่ามกลางความมืดสลัวแห่งรัตติกาล

อิวานพบสัตว์ประหลาดแสนสวยที่เคยได้ยินเล่าขานกันมานานว่าเธอคือ นางวิหคเพลิง ขณะที่เขาแอบจ้องมองนั้น เธอกำลังเก็บกินผลไม้ทิพย์จากต้นไม้เงินต้นไม้ทองที่แลเห็นเป็นประกายวูบวาบเรืองรองอยู่ในความมืดสลัว แล้วไม่ช้าไม่นาน เธอก็เริ่มร่ายรำอย่างงดงามและเพลิดเพลินโดยไม่คาดคิดว่าจะมีผู้ใดมาพบเห็น

ในที่สุด อิวานก็ออกจากที่ซ่อนตรงเข้าจับตัวนางวิหคเพลิงไว้ นางดิ้นรนและ อ้อนวอนให้อิวานปล่อยตัวและสัญญาว่าจะให้ผลไม้ทิพย์แก่เขาผลหนึ่ง พร้อมทั้งบอกว่า ยามใดที่เขาต้องการความช่วยเหลือ ก็เพียงแต่กวัดแกว่งผลไม้ทิพย์นี้ นางก็จะปรากฏตัวและให้ความช่วยเหลือทุกเมื่อ ในที่สุด อิวานก็ปล่อยตัวเธอเป็นอิสระแล้วออกเดินทางต่อพร้อมผลไม้ทิพย์และคำมั่นสัญญาของนางวิหคเพลิง

จวบจนรุ่งสาง อิวานก็ลุถึงสวนสวยแห่งหนึ่งของปราสาทใหญ่โตดูเก่าแก่ ท่ามกลางแสงเรื่อๆของอรุณรุ่ง เขาแอบเห็นสาวน้อยสิบสามนางออกมาจากปราสาทและจับกลุ่มเต้นระบำรำฟ้อนอย่างงดงาม ในเวลาไม่นาน เมื่อแสงอรุณกล้าขึ้น สาวน้อยก็ผลุนผลันวิ่งลับหายเข้าปราสาทใหญ่ไป

ปราสาทที่อิวานมาพบนี้ คือที่อยู่อาศัยของปีศาจร้ายกายสีเขียวนามว่า ‘คัทชัย’ (Kashchai) ซึ่งอาศัยอยู่กับเหล่าสมุนร้ายและเป็นผู้ที่กักขังสาวน้อยสิบสามนางซึ่งอันที่จริงล้วนเป็นเจ้าหญิงสูงศักดิ์ทั้งสิ้น นอกจากนี้ หากชายหนุ่มผู้ใดที่บังเอิญย่างกรายเข้ามาในบริเวณ คัทชัยก็สาปให้พวกเขากลายเป็นรูปปั้นหิน

เมื่ออิวานแลเห็นสาวน้อยสิบสามนางผลุนผลันกลับเข้าปราสาท เขาก็ตัดสินใจติดตามเข้าไป เมื่อผ่านประตูปราสาทเข้าไปสำเร็จ เสียงระฆังเตือนภัยก็ดังขึ้น เหล่าสมุนร้ายก็กรูกันเข้ามาจับอิวาน เจ้าชายหนุ่มจวนเจียนจะถูกคัทชัยสาปให้กลายเป็นรูปปั้นหินอยู่แล้ว แต่เขาก็นึกขึ้นมาได้ถึงผลไม้ทิพย์และคำมั่นสัญญาของนางวิหคเพลิง จึงเอาผลไม้ทิพย์ออกกวัดแกว่งด้วยความหวังครั้งสุดท้าย

ในบัดดล นางวิหคเพลิงก็ปรากฏตัวและร่ายเวทมนต์ ทำเอาเจ้าปีศาจร้ายกายสีขียวและลูกสมุน ต้องเต้นรำไปตามจังหวะอันร้อนแรงและป่าเถื่อน พวกมันตกภวังค์บังคับตัวเองไม่ได้ จนในที่สุดก็เหนื่อยอ่อนหมดเรี่ยวหมดแรง ล้มลงนอนกองระเนระนาด

นางวิหคเพลิงเห็นดังนั้น จึงเริ่มขับกล่อมเพลงอันไพเราะ สะกดให้เจ้าคัทชัยและสมุน พากันหลับใหลและสิ้นฤทธิ์ จากนั้นนางก็นำอิวานไปยังที่ซึ่งคัทชัยซ่อนกล่องไม้อันหนึ่งไว้ และเมื่อเปิดดูก็พบไข่ขนาดใหญ่เก็บรักษาไว้ในนั้น นางบอกอิวานว่าคัทชัยดำรงความเป็นอมตะไว้ได้ก็เพราะมันได้ถอดเอาดวงวิญญาณเก็บซ่อนไว้ในไข่นี้เอง และหากไข่ถูกทำลายเจ้าปีศาจก็จะตายสิ้นซาก

อิวานไม่รอช้าจัดแจงทำลายไข่ตามคำแนะนำ แล้วโดยพลันเจ้าปีศาจก็สิ้นฤทธิ์ตายสนิทแน่นิ่งไป พร้อมกับคำสาปทั้งหลายก็พลันคลายมนต์ เจ้าหญิงทั้งสิบสามองค์พ้นจากการจองจำ และอัศวินหนุ่มทั้งหลายที่เคยถูกสาปเป็นหิน ก็กลับฟื้นคืนชีพ

เรื่องราวจบลงอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง อิวานได้แต่งงานกับเจ้าหญิงองค์เล็ก ผู้ที่เขาติดตาต้องใจมากที่สุดตั้งแต่แรกพบ คู่รักทั้งสองได้รับการอวยชัยให้พรจากเจ้าหญิงองค์อื่นๆ และเหล่าอัศวินทั้งหลายที่เคยร่วมชะตากรรมภายใต้เวทมนต์ชั่วร้ายของปีศาจกายเขียว

หลังจากประสบความสำเร็จจากการแสดงในครั้งแรกๆแล้ว สตราวินสกีก็เลือกบางบทบางตอนของดนตรีประกอบการแสดงทั้งชุด มาเรียบเรียงใหม่และรวบรวมไว้เป็นเพลงชุด (suite) สำหรับบรรเลงและฟังแยกจากการแสดงระบำ ในลักษณะ concert piece ซึ่งประกอบด้วยกระบวนต่างๆ ได้แก่

1. บทนำ และบทร่ายรำของนางวิหคเพลิง เป็นฉากเปิดตัวนางเอก

2. เพลงเต้นรำกลุ่มของเจ้าหญิงสิบสามองค์ในเวลาอรุณรุ่ง เป็นเพลงเต้นรำในลีลาเพลงพื้นเมืองโคโรวอด (Khorovod) ของรัสเซีย

3. เพลงเต้นรำอันดุเดือดระทึกใจของคิงคัทชัยและเหล่าสมุนร้าย เมื่อต้องเวทมนต์ของนางวิหคเพลิง
4. เพลงเห่ของนางวิหคเพลิง ที่ขับกล่อมคัทชัยและสมุนจนสลบไสลสิ้นฤทธิ์ ปิดท้ายด้วยปัจฉิมบทเมื่อเรื่องราวจบลงด้วยความปีติยินดี

ขอเชิญฟังเพลงบทนี้ในคืนวันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายนที่จะถึง เพื่อเฉลิมฉลองวาระคล้ายวันเกิดของอิกอร์ สตราวินสกี และครบรอบ 106 ปีในเดือนมิถุนายนของบัลเลต์อมตะชุดนี้