แสงแห่งชีวิต (The Light of Life)
1,272 views
0
0
"บทเพลง “แสงแห่งชีวิต” (The Light of Life) เป็นบทประพันธ์เพลงของ เซอร์ เอ็ดเวิร์ด เอลการ์ (Sir Edward Elgar; 1857-1934) นักประพันธ์เพลงท่านสำคัญชาวอังกฤษ เพลงบทนี้เป็นเพลงประเภทโอราโทรีโอ (Oratorio) หมายถึงบทเพลงขับร้องขนาดใหญ่ สำหรับขับร้องเดี่ยวเสียงต่างๆ ผสมผสานการขับร้องประสานเสียงอย่างอลังการ บรรเลงประกอบด้วยวงดุริยางค์ เรื่องราวที่ขับร้องก็มีลักษณะเป็นละคร คือ มีท้องเรื่อง มีตัวละครเอกขับร้องเดี่ยวเสียงต่างๆ คล้ายคลึงละครอุปรากร (opera) แต่สำหรับโอราโทรีโอ เนื้อหาเรื่องราวก็จะเกี่ยวพันกับคริสต์ศาสนา "

สำหรับเนื้อหาของเรื่อง “แสงแห่งชีวิต” เป็นเรื่องราวเมื่อครั้งที่พระเยซูคริสต์ยังมีพระชนม์ชีพและทรงแสดงปาฏิหาริย์รักษาชายตาบอดแต่กำเนิดให้มีดวงตามองเห็นสิ่งต่างๆเหมือนคนตาดีปกติเรื่องราวนี้มีบันทึกอยู่ในพระวรสาร(Gospel)ของพระอัครสาวกนักบุญยอห์น (St John)

ตามท้องเรื่องนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว ศาสนาคริสต์ยังไม่มีกำเนิดอย่างเป็นระบบ ศาสนาที่แพร่หลายอยู่ในดินแดนตะวันออกกลาง (ดินแดน Palestine) ที่พระเยซูทรงถือกำเนิดและใช้ช่วงเวลาแห่งพระชนม์ชีพคือศาสนายูดาห์ (Judaism หรือศาสนายิว) พระเยซูก็ทรงมีกำเนิดเป็นยิว แต่ต่อมาทรงประกาศแนวคิดของพระองค์ ซึ่งต่อมากลายมาเป็นพระธรรมคำสอนของศาสนาคริสต์ เผยแพร่สืบทอดโดยอัครสาวกและศิษยานุศิษย์รุ่นต่อๆมา หลังจากที่ทรงถูกตรึงกางเขนสิ้นพระชนม์ชีพลงราวตอนต้นของคริสตกาล

เรื่องราวของพระเยซู พระธรรมคำสอน รวมทั้งปาฏิหาริย์ต่างๆที่พระองค์ทรงแสดงไว้นั้น ลูกศิษย์ใกล้ชิดกับพระองค์ ซึ่งต่อมากลายมาเป็นอัครสาวก (Apostles) เป็นผู้บันทึกไว้ในพระวรสาร (Gospels) ภาคพันธสัญญาใหม่ (The New Testament) ของพระคัมภีร์ (Bible) ต่อมาก็มีการนำเรื่องราวเหล่านี้มาใช้เป็นเนื้อหาของบทละครและบทประพันธ์เพลงของคีตกวีและศิลปินต่างๆตลอดมาทุกยุคทุกสมัย

สำหรับบทเพลง “แสงแห่งชีวิต” ของเอลการ์ มีบาทหลวง Edward Capel-Cure เป็นผู้เขียนบทร้อง จับบทตอนที่พระเยซูทรงแสดงปาฏิหาริย์ ทำให้ชายหนุ่มขอทานตาบอดกลับมีดวงตามองเห็นได้

เอลการ์และบาทหลวงประพันธ์เพลงบทนี้ในปี ค.ศ. 1896 เพื่อใช้ในเทศกาลดนตรีที่เมืองวูซเตอร์ (Worcester Festival) ประเทศอังกฤษ หลังการแสดงครั้งนั้น เอลการ์นำมาปรับปรุงแก้ไขอีกเล็กน้อย กลายมาเป็นฉบับมาตรฐานที่ใช้บรรเลงและฟังกันอยู่ตราบทุกวันนี้

ตัวละครเอกที่มีบทขับร้องเดี่ยว ได้แก่: ชายหนุ่มขอทานตาบอด เสียงเทเนอร์, มารดาของชายหนุ่มตาบอด เสียงโซปราโน, พระเยซูคริสต์ เสียงบาริโทน และผู้เล่าเรื่อง (narrator) เสียงอัลโต

หลังจากบทโหมโรง กลุ่มนักร้องประสานเสียงขับร้องสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงมีพระเมตตาต่อโลกและมวลมนุษย์

จากนั้น ชายหนุ่มตาบอดที่นั่งขอทานอยู่นอกโบสถ์ ก็ขับร้องรำพันถึงชีวิตว่า สำหรับเขานั้น กลางคืนหรือกลางวันก็เหมือนกัน เพราะเขาไม่เคยเห็นแสงสว่าง และในความมืดมิด เขาก็ไม่เคยเห็นหรือสัมผัสพระองค์ เขาอ้อนวอนให้พระผู้เป็นเจ้าช่วยประทานแสงสว่างให้ด้วย

เสียงผู้บรรยายขับร้องเล่าเรื่องต่อมาว่า แล้วพระเยซูก็ทรงดำเนินผ่านมาพร้อมเหล่าสานุศิษย์ ทรงเห็นเหตุการณ์และชายตาบอดพอดี เหล่าสานุศิษย์ก็ถามพระองค์ว่า พ่อแม่หรือชายหนุ่มผู้นี้กันแน่ที่มีบาป เขาจึงตาบอดแต่กำเนิดเช่นนี้ ฝ่ายมารดาของชายหนุ่มก็เข้ามาถามและรำพันว่า นางมีบาปกรรมอันใด และเหตุใดเคราะห์กรรมจึงไปตกกับลูกชายเช่นนี้

พระเยซูฟังแล้วก็กล่าวว่า ไม่ใช่บาปกรรมของใครหรอก เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อมหิทธานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าจะได้ปรากฏให้ประจักษ์ และว่าพระองค์ถูกส่งมาทำงานของพระผู้เป็นเจ้าบนพื้นพิภพนี้ พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างแห่งพิภพ

ว่าแล้วพระเยซูก็ปั้นดินเป็นก้อน คลึงเข้าที่เบ้าตาของชายหนุ่ม แล้วก็สั่งให้เขาไปล้างออกที่สระน้ำ จากนั้นก็เสด็จจากไป

ชายหนุ่มไปล้างดินออกจากเบ้าตาตามคำสั่ง แล้วพลันสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิด เมื่อเขาลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาที่เคยมืดบอดมาแต่กำเนิด กลับมองเห็น ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ตื่นเต้นกันใหญ่ ส่วนชายหนุ่มก็ขับร้องรำพันถึงความมหัศจรรย์ของชายที่รู้เพียงชื่อว่า ‘เยซู’ ผู้ช่วยให้เขามองเห็น แต่บัดนี้หายไปเสียไหนก็ไม่รู้

ชายหนุ่ม มารดาของเขาและผู้คนในเหตุการณ์ต่างก็ไปหาเหล่านักปราชญ์นักบวช ผู้คงแก่เรียนและเคร่งศาสนา (ศาสนายิว) เพื่อขอความเห็น พอพวกเขาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พวกผู้ใหญ่ต่างก็ไม่เชื่อ และกล่าวว่าผู้ที่รักษาดวงตาให้ชายหนุ่มเป็นคนบาป เพราะเขามาแสดงปาฏิหาริย์รักษาดวงตาในช่วงวันซับบาธ (Sabbath; เป็นช่วงเวลาถือศีลของชาวยิว ซึ่งตามประเพณีต้องงดกิจทั้งปวง อยู่นิ่งๆเงียบๆเพื่อสวดมนต์ถึงพระเจ้า แต่พระเยซูกลับฝ่าฝืน ธรรมเนียม มากระทำกิจแสดงปาฏิหาริย์ ชาวยิวจึงถือว่าเป็นบาป)

อย่างไรก็ตาม ผู้คนก็มีความเห็นแบ่งเป็นสองฝ่าย เพราะชายหนุ่มตาบอดก็กลับตาดีจริงๆ ส่วนกลุ่มที่ไม่เชื่อก็อ้างว่าชายผู้นี้เป็นคนละคนกับขอทานตาบอด แต่ในที่สุด ทั้งชายที่เคยตาบอดและมารดาของเขาก็ถูกตราหน้าจากสังคมยิวส่วนใหญ่ ว่าเป็นคนโกหก ถูกขับไล่ออกจากกลุ่มในฐานที่โกหกและหลงผิดไปนับถือคนบาป

ในช่วงท้ายของเรื่อง หลังจากชายหนุ่มผู้มีดวงตากลับเห็นแสงสว่าง ถูกขับไล่จากสังคมยิวแล้ว เขาก็มาพบพระเยซู พระองค์ทรงถามว่า เขานับถือและเชื่อมั่นในพระบุตรของ พระเจ้าหรือยัง ชายหนุ่มถามว่า ใครกันคือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระเยซูตอบว่า คือพระองค์เอง ชายหนุ่มจึงตอบว่า เขาเชื่อมั่นในพระองค์ แล้วพระเยซูก็ประกาศว่า พระองค์มาอยู่บนพื้นพิภพนี้เพื่อนำแสงสว่างมาให้ เพื่อมวลมนุษย์จะได้พ้นจากความมืดมิดและมีชีวิตที่มั่งคั่งสมบูรณ์

ละครจบลงด้วยบทขับร้องประสานเสียง ที่ขับร้องสรรเสริญพระเยซูในฐานะผู้นำ แสงสว่างมาสู่โลก และแสงสว่างนี้จะนำทางให้โลกและมนุษย์สู่ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่และงดงามสมบูรณ์อย่างเป็นนิรันดร

ขอเชิญฟังบทเพลง ‘แสงแห่งชีวิต’ คืนวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน ที่จะถึงนี้