พระดำรัสสุดท้ายแห่งพระเยซูคริสต์
2,969 views
0
0
"จุลสาร Music of the Masters ฉบับนี้ตรงกับเดือนมีนาคมซึ่งเป็นเดือนครบรอบคล้ายวันเกิดของ ฟรันซ์ โจเซฟ ไฮเดิน (Franz Joseph Haydn) นักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่ชาวออสเตรีย จากสมัยคลาสสิก จึงขอนำเสนอเรื่องราวน่าสนใจของบทประพันธ์เพลงสำคัญบทหนึ่ง ของท่าน คือเพลง พระดำรัสสุดท้าย 7 ประการ แห่งพระเยซูคริสต์ (The Seven Last Words of Jesus on the Cross) เพลงชุดนี้เข้มข้นน่าสนใจทั้งเนื้อหาของบทร้องและท่วงทำนองดนตรี ในลีลาเพลงคลาสสิกสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18"

ฟรันซ์ โจเซฟ ไฮเดิน เป็นนักประพันธ์เพลงและนักดนตรีชั้นครู ท่านเกิดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1732 ที่ชนบทเมืองโรห์ราว (Rohrau) หมู่บ้านเล็กๆ ของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ครอบครัวนั้นยากจน บิดาเป็นช่างทำล้อเกวียน แม้ครอบครัวจะไม่ใช่นักดนตรี แต่บิดาก็ชอบร้องเพลง และเมื่อพบว่าลูกชายมีความสามารถทางดนตรีก็ส่งเสริมโดยส่งไปอยู่กับญาติที่สอนดนตรี และต่อมาเมื่อไฮเดินอายุราว 8 ขวบ ก็ได้รับคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิกของคณะนักร้องประสานเสียงเด็กชายของวิหารเซนต์สตีเฟน (Cathedral of St Stephen) โบสถ์ใหญ่ประจำ กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย

ไฮเดินอยู่ที่วิหารเซนต์สตีเฟนจนเข้าวัยหนุ่ม เสียงแตก ต้องออกจากคณะนักร้องประสานเสียง จากนั้นท่านก็ใช้ชีวิตเป็นนักดนตรีอิสระในกรุงเวียนนา เล่นดนตรีกับเพื่อนๆ ในงานเลี้ยงและงานรื่นเริงต่างๆ ซึ่งมีมากมายในกรุงเวียนนาอันรื่นรมย์ยุคนั้น

เมื่ออายุราว 29 ปี ในปี ค.ศ. 1761 ไฮเดินเข้าทำงานกับราชสำนักเอชเตอร์ฮาท์ซี (Esterhazy) ของราชวงศ์เอชเตอร์ฮาท์ซีที่ทรงอิทธิพลและมั่งคั่งที่สุดตระกูลหนึ่งในดินแดนฮังการีสมัยนั้น ท่านทำงานเป็นผู้อำนวยการดนตรีให้ราชสำนักนี้สืบต่อมาอีกประมาณ 30 ปี จึงเกษียณอายุจากงานประจำเมื่อเจ้านายที่เคยรับใช้มานานสิ้นพระชนม์ลงในปี ค.ศ. 1790 ขณะนั้นไฮเดินอายุประมาณ 58 ปี มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมยกย่องทั่ววงการดนตรียุโรป ใครต่อใครก็ต้องการตัวและผลงานไปแสดง

ไฮเดินทำงานดนตรีอย่างแข็งขันต่อมาจนเข้าบั้นปลายชีวิต แถมยังเดินทางไปแสดงผลงานในเมืองใหญ่ต่างๆของยุโรป ท่านมีโอกาสไปเยือนและนำผลงานไปแสดงที่ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษถึง 2 ครั้งในช่วงปลายชีวิต ประสบความสำเร็จมาก ได้รับการยกย่องท่วมท้น และยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางดนตรีจากมหาวิทยาลัย อ็อกซ์ฝอร์ด (Oxford University) อีกด้วย นับเป็นเกียรติยศอย่างสูงสำหรับนักดนตรีและนักประพันธ์เพลงที่แทบจะไม่เคยเรียนดนตรีอย่างจริงจังจากสถาบันดนตรีแห่งใด

จากนักดนตรีราชสำนักที่ใช้ชีวิตเก็บตัวอยู่ในที่ห่างไกล ในช่วงบั้นปลายชีวิต ท่านกลายมาเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งวงการดนตรียุโรป ฟรันซ์ โจเซฟ ไฮเดิน ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1809 ที่กรุงเวียนนา มีผู้คนไปร่วมเคารพและไว้อาลัยในงานศพของท่านอย่างล้นหลาม รวมทั้งนายทหารและกองทัพทหารฝรั่งเศสของจักรพรรดินโปเลียนที่กำลังบุกโจมตีกรุงเวียนนาในขณะนั้น

ในช่วงชีวิตเกือบ 80 ปีของไฮเดิน ท่านทิ้งผลงานสร้างสรรค์ชั้นเยี่ยมไว้มากมาย ในทุกรูปแบบบทประพันธ์เพลงที่นิยมแต่ง บรรเลงและฟังกันในสมัยนั้น สำหรับบทเพลงที่จะนำเสนอในบทความนี้ คือ พระดำรัสสุดท้าย 7 ประการแห่งพระเยซูคริสต์ (The Seven Last Words of Jesus on the Cross) เป็นบทประพันธ์เพลงในลักษณะที่เรียกว่า โอราโทรีโอ (Oratorio) ซึ่งหมายถึงบทเพลงขับร้องขนาดใหญ่ ประกอบด้วยท่อนต่างๆหลายท่อน เนื้อหาเกี่ยวพันกับศาสนาคริสต์

ไฮเดินประพันธ์เพลงนี้ในราวปี ค.ศ. 1786 ให้บรรเลงด้วยวงดุริยางค์ล้วนๆ ไม่มีการขับร้อง สำหรับใช้ประกอบศาสนพิธีที่วิหารการ์ดิส (Cathedral of Cadiz) ประเทศสเปน ศาสนพิธีดังกล่าวเป็นพิธีประจำวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (Good Friday) ก่อนเข้าสู่พิธีใหญ่ประจำวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ปัสกา ที่ชาวคริสต์ร่วมระลึกถึงเหตุการณ์ฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู (Easter Sunday of the Lord’s Resurrection) และในช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนเข้าเทศกาล Easter ดังกล่าว โบสถ์วิหารทั้งหลายก็จะร่วมระลึกถึง “พระมหาทรมาน” (The Passion of Christ) ในวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ

ในพิธีประจำวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว บาทหลวงผู้ประกอบพิธีจะอ่านพระดำรัสสุดท้ายของพระเยซูคริสต์พร้อมอธิบายขยายความทีละข้อ เมื่อจบพระดำรัสแต่ละข้อ ก็จะมีเพลงบรรเลงคั่น บทเพลงที่ไฮเดินได้รับการว่าจ้างให้แต่ง ก็ใช้เป็นเพลงคั่นในพิธีดังกล่าว

ต่อมาในปี ค.ศ. 1787 ไฮเดินนำฉบับวงดุริยางค์มาเรียบเรียงสำหรับบรรเลงด้วยวงเครื่องสาย 4 ชิ้น (string quartet) และยังมีฉบับต่อมาในปี ค.ศ.1796 เรียบเรียงเป็นโอราโทรีโอ สำหรับการขับร้องและวงบรรเลงประกอบ บทขับร้องเป็นภาษาเยอรมัน และในยุคหลังยังมีผู้นำเอาฉบับต่างๆของไฮเดินมานำเสนอในอีกหลายรูปแบบ เช่น สำหรับการขับร้อง ผสมผสานการบรรเลงประกอบด้วยวงเครื่องสาย 4 ชิ้น

สำหรับพระดำรัส 7 ประการซึ่งเป็นเนื้อหาหลักของเพลงชุดนี้ กล่าวกันว่าเป็นพระดำรัส 7 องค์สุดท้ายที่พระเยซูคริสต์ตรัสไว้ขณะที่พระองค์ถูกตรึงการเขนใกล้สิ้นพระชนม์ ซึ่งต่อมาสานุศิษย์เอกของพระองค์บันทึกเอาไว้มีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ สานุศิษย์เอกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่แวดล้อมอยู่ในเหตุการณ์การตรึงกางเขน พร้อมพระมารดาของพระองค์รวมทั้งประชาชนอื่นๆที่เฝ้าดูเหตุการณ์

พระเยซูนั้นเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ คริสต์ศาสนิกชนนับถือกันว่าทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ที่เสด็จลงมาจากอาณาจักรสวรรค์เพื่อช่วยไถ่ถอนบาปของมวลมนุษย์ พระองค์ประสูติ, ประกาศพระธรรม และสิ้นพระชนม์ในดินแดนตะวันออกกลาง ซึ่งปัจจุบันอยู่เขตปาเลสไตน์และอิสราเอล ในสมัยของพระองค์ คือในราวช่วงต้นคริสตกาลนั้น พระองค์ทรงถูกตัดสินให้เป็นผู้กระทำความผิด และในที่สุดทรงถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขน สิ้นพระชนม์ไปพร้อมๆ กับโจรอีก 2 คนที่ถูกประหารชีวิตไปในคราวเดียวกัน (การประหารชีวิตผู้กระทำผิดด้วยการตรึงกับไม้กางเขนขนาดใหญ่เป็นวิธีการลงโทษปกติของสมัยนั้น ในดินแดนดังกล่าว กางเขนกลายมาเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธ์ของศาสนาคริสต์ในชั้นหลัง)

การถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขนขนาดใหญ่ หลังจากพระวรกายบอบช้ำมาแล้วจากการถูกตีถูกโบย ทำให้พระองค์ทรงเจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัส (ชาวคริสต์เรียก พระมหาทรมาน) ทรงสิ้นใจไปช้าๆ และระหว่างนั้นก็ทรงมีพระดำรัสกับผู้ที่แวดล้อมอยู่ในลานประหาร ด้วยพละกำลังที่อ่อนล้าลงไปเรื่อยๆ ตรัสได้เพียงสั้นๆ เป็นห้วงๆ จึงเรียกกันว่า ‘คำ’ (word)
แต่อันที่จริงเป็นประโยคสั้นๆ

พระดำรัสทั้ง 7 ประโยคตามที่มีบันทึกไว้ในพระกิตติคุณ (Gospels) ของพระอัครสาวกทั้งสี่ ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ได้แก่
1. “พระบิดา ขอทรงกรุณายกโทษให้เขาทั้งหลายเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร” (Father, forgive them, for they know not what they do.) พระดำรัสนี้แสดงถึง พระเมตตาและพระมหากรุณาของพระเยซูคริสต์ที่ไม่ถือโทษผู้ใดที่เกี่ยวข้องกับการประหารชีวิตพระองค์เลย

2. “เชื่อเราเถิด, เราขอบอกว่า เธอจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์พร้อมกันในวันนี้” (Truly, I say to you, today you will be with me in paradise.) พระองค์ตรัสประโยคนี้กับโจรคนหนึ่งที่ถูกตรึงกางเขนอยู่เคียงข้างพระองค์ หลังจากที่เขาบอกว่าเขาเชื่อในความบริสุทธิ์ของพระองค์และขอให้ทรงจำเขาได้เมื่อเขาเข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า

3. “พระมารดา ดูซิ นี่คือลูกชายของท่าน: ดูซิ นี่คือมารดาของท่าน” (Woman, behold your son: behold your mother.) พระองค์ตรัสประโยคนี้เมื่อทรงมองลงมาจากกางเขน เห็นพระมารดาและสานุศิษย์ที่แวดล้อมอยู่เบื้องล่าง ทรงฝากฝังพระแม่มารี พระมารดาไว้ในความดูแลของศิษย์รัก

4. “พระบิดา เหตุใดจึงทรงละทิ้งข้าพเจ้า” (My God, My God, why have you forsaken me.) เมื่อเวลาแห่งความทรมานล่วงไป พระเยซูทรงเจ็บปวดแสนสาหัสแทบทนไม่ไหว จนกระทั่งทรงร้องและตะโกนออกมาเป็นพระดำรัสนี้

5. “เรากระหายน้ำ” (I thirst !) พระองค์ตรัสประโยคนี้เมื่อพระกำลังถดถอยเต็มทีแล้ว พระวรกายแห้งผากขาดน้ำ ทรงตกอยู่ในภวังค์...ราวกับพระองค์จะได้ยินเสียงซาตานเย้ยหยันว่า “หากท่านเป็นพระคริสต์จริง ก็เอาตัวให้รอดซิ !”

6. “ทุกสิ่งจบลงแล้ว” (It is finished.) พระดำรัสนี้เป็นคำประกาศว่า หน้าที่ของพระองค์บนพื้นพิภพจบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว

7. “พระบิดา ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตแด่พระองค์” (Father, into your hands I commit my spirit.) พระดำรัสสุดท้ายเป็นคำประกาศถึงการรวมจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์

เมื่อจบพระดำรัส 7 ประการ ในบทโอราโทรีโอของไฮเดินก็จะมีท่อนเพลงส่งท้าย ชื่อท่อนว่า “แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น” (The Earthquake) ตามที่บันทึกไว้ใน พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ซึ่งเป็นปกติธรรมดาเมื่อผู้มีบุญญาธิการและมีสภาวะจิตสูง เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ โลกธาตุทั้งปวงก็รับรู้และสำแดงปรากฏการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงคลื่นพลังงานนั้น

ขอเชิญฟังบทเพลง พระดำรัสสุดท้าย 7 ประการแห่งพระเยซูคริสต์ ในคืนวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม ที่จะถึงนี้ เพื่อร่วมระลึกถึง ฟรันซ์ โจเซฟ ไฮเดิน ที่แต่งเพลงไพเราะให้เราฟัง และสำหรับชาวคริสต์ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลอีสเตอร์ ซึ่งปีนี้ Easter Sunday of the Lord’s Resurrection ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 2016