นายธาริฑธิ์ ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงานสัมมนา 2022 The Annual Petroleum Outlook Forum ว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้ภาคการเงินในระยะยาวมี 3 เรื่องที่ให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.หนี้ครัวเรือน ที่หากปล่อยให้สูงเกินไปอาจเป็นตัวถ่วงการบริโภคในอนาคต และนำไปสู่การเกิดปัญหาสังคมได้ 2.การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อไม่ให้เราถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และ 3.การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินโลก เพราะหากลูกหนี้อยู่ไม่ได้สถาบันการเงินและธุรกิจก็อยู่ไม่ได้ สถาบันการเงินจึงต้องมีส่วนร่วม โดยพื้นฐานที่สำคัญสุดมี 3 ด้านคือ 1.เราต้องวัดการเปลี่ยนแปลงให้ได้ ก่อนจะเปลี่ยนไปสู่อะไรก็ตาม 2.มีการจัดสรรเงินทุนให้อย่างเหมาะสม และ 3.การต้องพากันไปทั้งภาครัฐและเอกชน ย้ำว่าทุกคนจะต้องเดินไปพร้อมกัน

นายธาริฑธิ์ กล่าวว่า การระบาดโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาให้จีดีพีติดลบ 62% เกิดหลุมรายได้ 6-7 แสนล้านบาท โดยธปท.ได้ทำ 3 ด้าน ได้แก่ 1.ดูแลให้สภาพคล่องหมุนเวียนได้ดีขึ้น ปรับลดดอกเบี้ย เพื่อผ่อนภาระให้ประชาชน 2.การเพิ่มสินเชื่อ อาทิ สินเชื่อฟื้นฟู สินเชื่อการปรับตัว ซึ่งมียอดปล่อยไปแล้วกว่า 3 แสนล้านบาท โดยหากประเมินภาพในต่างประเทศที่เจอวิกฤต พบว่า สินเชื่อจะขยายตัวติดลบ แต่ไทยเป็นบวก ส่วนหนึ่งมาจากสินเชื่อที่ธปท. รวมถึงสถาบันการเงินปล่อยออกไป และ 3.การปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะหลายคนแม้ได้สินเชื่อเพิ่มแล้ว แต่ก็ต้องอาศัยการปรับโครงสร้างหนี้ช่วยด้วย โดยเราจะเห็นว่าระดับหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ของไทย หากเทียบกับวิกฤตที่ใหญ่ขนาดนี้ แต่เอ็นพีแอลอยู่ระดับต่ำเพียง 3% กว่าเท่านั้น

“พอโควิดเริ่มคลายตัว ภาวะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น การบริโภคและการท่องเที่ยวฟื้นกลับมา แต่มีเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ข้าวของมีราคาแพง แม้รายได้เริ่มฟื้นตัว แต่เมื่อราคาของแพงขึ้น ก็ทำให้การดำเนินชีวิตยังมีความลำบากอยู่ โดยเราพยายามดูให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในจุดที่สมดุล ซึ่งไทยต่างกับหลายประเทศที่เหยียบเบรกการขึ้นดอกเบี้ย แต่ไทยเป็นการผ่อนคันเร่งแทน เพื่อให้การเงินอยู่ในภาวะที่สมดุล โดยในระยะสั้นต้องการให้ภาวะการเงินเราเดินหน้าต่อไปได้แบบไม่สะดุด ท่ามกลางเงินเฟ้อสูง และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน”