วันที่ 7 มิถุนายน 2568
เพลง Bharat (ภารัต)
เพลงนี้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ The Diplomat ออกฉายในโรงภาพยนตร์ที่อินเดียเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2025 ก่อนจะนำมาฉายใน Netflix เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา
เนื้อร้องเพลงนี้ประพันธ์โดยมาโนช มุนตะศิร์ (Manoj Muntashir) และ พี.เค. มิศรา (P. K. Mishra) ดนตรีสำหรับเพลงนี้จัดทำโดยมนัน ภารทวาช (Manan Bhardwaj) และ เอ.อาร์. เราะห์มาน (A.R. Rahman) ผู้ขับร้องเพลงนี้มีหลายคน แต่เสียงที่เราได้ยินเป็นเสียงของหริหรัณ (Hariharan)
[ขออนุญาตแปลท่อนที่เปิดให้ฟัง]
Bharat Apni Aankh Ka Taara Hai
ภารัตคือแก้วตาดวงใจของเรา
Bharat Hi To Aashiyan Humara Hain
ภารัตนั่นแหละคือบ้านของเรา
Lori He Tuhi Hai Maa Dunia, Ye Shor Hai
แม้มันจะเต็มไปด้วยเสียงอึกทึก บทกล่อมเด็กก็คือเธอเอง แม่ผู้เป็นโลกใบนี้
Kheenche Jo Har Pal Humko, Tuhi Wo Dorr Hai
สายใยที่ดึงเราไว้ทุกเวลา ก็คือเธอนั่นแหละ
Watna Bhi Tuu Jaan Say Pyaara Hai
แผ่นดินเกิดนี้ก็รักยิ่งกว่าชีวิตของเราเอง
ท่านผู้ฟังครับ เรากำลังจะพูดถึงภาพยนตร์ The Diplomat หากท่านไม่ประสงค์จะรับฟังเราในวันนี้ ท่านก็อาจจะเปลี่ยนไปฟังคลื่นอื่นก่อน เมื่อดูภาพยนตร์แล้ว ก็อาจจจะกลับมาฟังเราใหม่ทางเว็บไซต์วิทยุจุฬาฯ ก็ได้
ผมดูเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคมแล้ว เมื่อดูเสร็จก็รู้สึกชอบมาก จึงนำมาลงในเฟซบุ๊กของตัวผมเองเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ก็มีแฟนรายการบางคนบอกว่า อาจารย์กับคุณณัฐช่วยรีวิวภาพยนตร์เรื่องนี้ทางวิทยุให้เราฟังได้ไหม ก็ดังที่เคยแจ้งให้ทราบแล้วว่า ถ้าแฟนรายการปกิณกะอินเดียขอมา เราก็จะพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อทำตามคำขอ

ภาพยนตร์ The Diplomat กำกับโดยศิวัม นายร์ (Shivam Nair) นำแสดงโดยจอห์น อับบราห์ม (John Abraham) ซาเดีย เคาะฏีบ (Sadia Khateeb) และอื่น ๆ
The Diplomat แปลว่า นักการทูต ในภาษาอังกฤษเมื่อใส่คำว่า “The” ไว้ด้านหน้าก็จะหมายถึงนักการทูตคนใดคนหนึ่งที่เฉพาะเจาะจง
ในภาพยนตร์นี้ก็หมายถึงนายเจ.พี. ซิงห์ (J.P. Singh) ประวัติของเขาในเว็บไซต์ทางการของกระทรวงการต่างประเทศอินเดียระบุว่า เจ.พี. ซิงห์ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศอิสราเอล เป็นนักการทูตสายอาชีพ รับราชการในกระทรวงการต่างประเทศอินเดียตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002
รัสเซีย ในระยะแรกประจำการอยู่ที่สถานเอกอัครราชทูตอินเดียในกรุงมอสโก (Moscow) ประเทศรัสเซีย ระหว่างปี ค.ศ. 2004-2006
อัฟกานิสถาน หลังจากนั้นก็ที่กรุงคาบูล (Kabul) ประเทศอัฟกานิสถาน ระหว่างปี ค.ศ. 2008-2012
ปากีสถาน ต่อมาก็รับตำแหน่งเป็นรองข้าหลวงใหญ่ที่กรุงอิสลามาบาด (Islamabad) ประเทศปากีสถาน คำว่ารองข้าหลวงใหญ่ในที่นี้ก็คือ Deputy High Commissioner ซึ่งก็คือ อัครราชทูต เพราะประเทศในเครือจักรภพจะใช้ High Commission เพื่อหมายถึงสถานทูต กล่าวให้ผู้ฟังชาวไทยเข้าใจง่ายขึ้น เขาเคยดำรงตำแหน่งอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศปากีสถานระหว่างปี ค.ศ. 2014-2019
ตุรกี หลังจากนั้นก็ไปรับตำแหน่งกงสุลใหญ่ของอินเดีย ณ เมืองอิสตันบูล (Istanbul) ประเทศตุรกี ระหว่างปี ค.ศ. 2019-2020 เดี๋ยวนี้ตุรกีเปลี่ยนชื่อประเทศใหม่จากตุรกีเป็นทูร์เคีย
ที่กระทรวงการต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลี เขาเคยปฏิบัติงานในกองยุโรปตะวันตก เคยดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิเศษในกองประชาสัมพันธ์ต่างประเทศ และดำรงตำแหน่งระดับสูงร่วมรับผิดชอบดูแลกิจการที่เกี่ยวข้องกับประเทศปากีสถาน อัฟกานิสถาน และอิหร่าน ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2020-2025 รวมทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในปี ค.ศ. 2024-2025
อิสราเอล ตำแหน่งล่าสุดคือเอกอัครราชทูตอินเดียประจำอิสราเอล เว็บไซต์ดังกล่าวไม่ได้ระบุวันเวลารับตำแหน่ง แต่ดูจากไทม์ไลน์ข้างต้นก็น่าจะรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศอิสราเอลปีนี้
เจ.พี. ซิงห์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านสังคมวิทยา นอกจากภาษาอังกฤษและฮินดีแล้ว เจ.พี. ซิงห์เชี่ยวชาญภาษารัสเซียด้วย
ถึงบัดนี้ ท่านผู้ฟังก็พอทราบแล้วว่า นักการทูตในภาพยนตร์ The Diplomat นี้คือใคร
เหตุการณ์จริงที่ว่านี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2017 การลำดับเนื้อเรื่องเริ่มที่อุซมา อาห์เม็ด (Uzma Ahmed) สตรีพลเมืองอินเดียนับถือศาสนาอิสลามเดินทางมาถึงสถานเอกอัครราชทูตอินเดียในกรุงอิสลามาบาด เมืองหลวงของปากีสถาน
เธอมาที่สถานเอกอัครราชทูตอินเดียกับสามีชาวปากีสถานของเธอที่ชื่อฏอฮีร์ อะลี (Tahir Ali) และน้องชายของเขา ในช่วงจังหวะสั้น ๆ ที่สองพี่น้องกำลังอยู่ข้างนอก อุซมา อาห์เม็ด ก็รีบขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต เธอบอกว่าเธอถูกลักพาตัวมา ถูกบังคับให้แต่งงาน และถูกกระทำทารุณกรรม
เจ้าหน้าที่คนนี้ก็ลังเล เหมือนกับว่าทำอะไรไม่ถูก แต่ในที่สุดก็กดปุ่มเปิดประตูให้เธอเข้ามาในสถานเอกอัครราชทูต ทันทีทันใดที่เธอเข้ามา เจ้าหน้าที่คนอื่นก็ตกใจผวากัน เพราะโดยปกติแล้ว สถานเอกอัครราชทูตหลายแห่งจะมีโซนห้ามมิให้บุคคลภายนอกเข้าโดยเด็ดขาด เมื่อเธอเข้ามาแล้ว เจ้าหน้าที่บางคนถึงกับพูดว่า ระวังนะเธออาจจะมีระเบิดก็ได้
ตรงนี้ผมก็ขอเล่าให้ฟังเป็นเกร็ดเล็กน้อย นักการทูตอินเดียที่ไปประจำการที่บางประเทศ จะต้องระวังภัยเรื่องการก่อร้ายเป็นพิเศษ ในกรณีนี้ก็คืออุซมา อาห์เม็ด อาจเป็นมือระเบิดพลีชีพที่นำระเบิดมารัดไว้ตามตัวก่อนจะระเบิดพลีชีพ คล้ายกับคาวา บาราเยวา (Khava Barayeva) หญิงชาวเชเชน (Chechen) หนึ่งในกลุ่มแรก ๆ ที่เป็นมือระเบิดพลีชีพในบริบทการก่อการร้ายปัจจุบัน
อัครราชทูตเจ.พี. ซิงห์ รู้สึกระแวงในตอนแรก โดยสงสัยว่าอุซมา อาห์เม็ด อาจเป็นสายลับ อย่างไรก็ตาม หลังจากตรวจสอบยืนยันตัวตนของเธอและได้ฟังเรื่องราวอันสะเทือนใจของเธอ เจ.พี. ซิงห์ ตัดสินใจมอบที่พักพิงให้เธอภายในสถานทูต คราวนี้ก็วุ่นวายแล้ว เพราะการกระทำนี้จุดชนวนให้เกิดวิกฤตทางการทูตที่ซับซ้อนตามมา
นายฏอฮีร์ อะลี สามีตามกฎหมายของอุซมา อาห์เม็ดก็ยื่นเรื่องต่อศาล คือยื่นคำร้องทางกฎหมายโดยกล่าวหาว่าสถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศปากีสถานกักขังภรรยาของตนที่ชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ การกักขังภรรยาของตนคือการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ระหว่างเรื่องราวที่เล่ามา ภายนตร์ก็จะตัดตอนให้เห็นว่า หน่วยข่าวกรองความมั่นคงของปากีสถาน (Inter-Services Intelligence, ISI) ซึ่งเป็นหน่วยงานอันทรงอิทธิพลของปากีสถานก็เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซึ่งกะจะจัดการอุซมา อาห์เม็ด ในฐานะสายลับ พร้อมกันนี้ก็มีหลายฉากที่อุซมา อาห์เม็ด เล่าให้อัครราชทูตเจ.พี. ซิงห์ ทราบว่า ตนถูกหลอกมาที่ปากีสถานอย่างไร
ที่อุซมา อาห์เม็ด เล่าให้ฟังคือ เธอพบกับฏอฮีร์ อะลี ครั้งแรกที่ประเทศมาเลเซียในปี ค.ศ. 2016 ขณะที่เธอกำลังศึกษาในหลักสูตรการจัดการธุรกิจ ฏอฮีร์ อะลี ซึ่งเป็นชาวปากีสถานและทำงานเป็นคนขับรถแท็กซี่ได้รู้จักกับอุซมาในช่วงเวลานั้น เขาทำให้อุซมา อาห์เม็ด ไว้ใจว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ ที่สำคัญเขาได้เสนอความช่วยเหลือแก่เธอ โดยเฉพาะเรื่องลูกสาวของเธอซึ่งป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) หรือโรคโลหิตจาง ฏอฮีร์ อะลี ถึงกระทั่งให้คำมั่นว่าจะช่วยเหลือเรื่องการรักษาพยาบาลในประเทศปากีสถาน
ตามแหล่งข้อมูลแห่งหนึ่ง ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาขึ้นตลอดระยะเวลาประมาณเก้าเดือน โดยในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาเคยอยู่ด้วยกันเป็นระยะเวลาสองเดือนในประเทศมาเลเซีย
ตรงนี้ฏอฮีร์ อะลี อ้างว่าเขาได้บอกอุซมาแล้วว่า เขามีภรรยาและลูกอยู่ก่อนแล้ว และว่าอุซมาจะกลายเป็นภรรยาคนที่สองของเขา อย่างไรก็ตาม ต่อมาอุซมาเปิดเผยว่าเธอไม่ทราบเรื่องสถานภาพการสมรสของฏอฮีร์ อะลี จนกระทั่งเดินทางไปถึงประเทศปากีสถานแล้ว สำหรับผมประเด็นนี้ไม่มีข้อโต้แย้ง ถ้าอุซมา อาห์เม็ด จะไม่อยู่ด้วย มันก็สิทธิของเขาหรือเปล่า
และแล้วในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2017 อุซมา อาห์เม็ดก็เดินทางไปปากีสถานเพื่อพบฏอฮีร์ อะลี เธอเดินทางไปปากีสถานทางบกคือเข้าปากีสถานผ่านพรมแดนวากาห์ (Wagah Border) ซึ่งก็คือด่านพรมแดนระหว่างอินเดียและปากีสถานที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิธีการลดธงทุกเย็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
รายงานจำนวนหนึ่งระบุเช่นเดียวกับในภาพยนตร์ นั่นคือ เมื่อเธอมาถึงพรมแดนวากาห์ ฏอฮีร์ อะลี กับน้องก็มารับอุซมา อาห์เม็ด ระหว่างเดินทางฏอฮีร์ อะลี ให้อุซมา อาห์เม็ด ทานยาจะได้ไม่มีอาการเมารถ สักพักใหญ่เมื่อเธอฟื้นจากฤทธิ์ยาก็พบว่าตนเองอยู่ที่อำเภอบูเนร์ (Buner) ในจังหวัดไคเบอร์ ปัคตูนควา (Khyber Pakhtunkhwa)
พื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของฏอลิบาน (Taliban) ซึ่งหลายคนคงทราบอยู่แล้วว่า สถานะสตรีแถวนั้นเป็นอย่างไร
ไม่น่าแปลกใจทำไมอุซมา อาห์เม็ด เรียกปากีสถานว่าเป็น “maut ka kuan” หรือ “บ่อแห่งความตาย” โดยเธอแสดงความรู้สึกหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา และเน้นย้ำในทำนองที่ว่า หากเธอต้องอยู่ที่นั่นนานกว่านี้ เธออาจจะเอาชีวิตไม่รอด
1) ทำไมอุซมา อาห์เม็ด จึงต้องไปขอความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูตอินเดีย
2) ทำไมฏอฮีร์ อะลี จึงยอมพาอุซมา อาห์เม็ด ไปที่สถานเอกอัครราชทูตอินเดียเล่า
คำตอบข้อแรก อุซมา อาห์เม็ด ยืมโทรศัพท์จากผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ถูกกักขังเช่นกัน เธอจึงติดต่อญาติของเธอที่มาเลเซีย ซึ่งเขาแนะนำว่าให้เธอรีบไปยังสถานทูตเอกอัครราชทูตอินเดียเพื่อขอความช่วยเหลือ
คำตอบข้อที่สอง อุซมา อาห์เม็ด วางแผนเพื่อโน้มน้าวฏอฮีร์ อะลี ให้พาเธอไปยังสถานเอกอัครราชทูตอินเดีย เธอทำตัวใหม่คือไม่ขัดขืนฏอฮีร์ อะลี คือยอมจำนนต่อฏอฮีร์ อะลี แล้วแต่งเรื่องขึ้นว่าจะไปขอเงินญาติเพื่อสินสอด ซึ่งฏอฮีร์ อะลี ก็โลภอยู่แล้วเลยเชื่อใจอุซมา อาห์เม็ด แล้วพาเธอไปที่สถานเอกอัครราชทูตอินเดีย
คือเป็นไปอย่างเข้มงวด โดยระหว่างนั้น อุซมา อาห์เม็ด ได้ให้ข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เธอประสบ ศาลสูงอิสลามาบาดเมื่อเห็นถึงความร้ายแรงของคำร้องของเธอ จึงมีคำตัดสินอนุญาตให้เธอเดินทางกลับประเทศอินเดียได้เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 2017
ตรงนี้ผมว่าภาพยนตร์ก็มีความยุติธรรมนะ คือคนชมภาพยนตร์รู้สึกได้ว่าศาลปากีสถานให้ความเป็นธรรมแก่อุซมา อาห์เม็ด
แต่กว่าจะกลับอินเดียได้ เจ.พี. ซิงห์ ก็ลำบากไม่น้อย เพราะทางปากีสถานแม้ผู้พิพากษาจะตัดสินแล้วก็ตาม แต่หน่วยงานอื่น ก็หาวิธีขัดขวางให้ได้ ไหนจะฏอฮีร์ อะลี และพวกของเขาอีก คือฏอฮีร์ อะลี จะนำตัวอุซมา อาห์เม็ดกลับบ้านให้ได้
เจ.พี. ซิงห์ มุ่งมั่นมาก เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ เขาจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ นี่คือตัวอย่างของนักการทูตที่ดี พร้อมที่จะปกป้องประชาชนของตน
อีกคนหนึ่งที่ต้องยอมรับว่ามีภาวะผู้นำอย่างชัดเจนคือ นางสุษมา สวราช (Sushma Swaraj) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดียในเวลานั้น
หลังจากเธอประกาศเลิกเล่นการเมืองเพราะสุขภาพและอีกไม่นานนักก็อำลาจากโลกไปปี ค.ศ. 2019 นายนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) จึงแต่งตั้งนายเอส. ชัยศังกร (S. Jaishankar) ขึ้นมาแทนเธอ เมื่อเปรียบเทียบกับชัยศังกร สุษมา สวราชดูจะด้อยกว่าชัยศังกรในเรื่องความรู้ที่ลึกโดยเฉพาะด้านการต่างประเทศและภาษาอังกฤษ และประสบการณ์ของชัยศังกรที่เคยเป็นนักการทูตสายอาชีพมาก่อน
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครหาญกล้าที่จะวิจารณ์สุษมา สวราช ได้คือความหนักแน่น ความมุ่งมั่น เป็นที่กล่าวกันในวงการทูตว่า ลองนักการทูตคนไหนคิดดีทำดีสิ เธอยืนอยู่เคียงข้างนักการทูตคนนั้น ไม่ให้การเมืองเข้ามาแทรกแซง ไม่ให้ใครมารังแกนักการทูตคนนั้นได้
เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เธอรู้แล้วว่าสถานการณ์ครั้งนี้คงนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานได้ แต่เธอก็ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เจ.พี. ซิงห์ เพราะเธอเชื่อว่าเจ.พี. ซิงห์ ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
เท่าที่ผมรู้มาอีกคือ สิ่งที่เธอทำอีกก็คือ เธอสื่อสารกับทางปากีสถานในระดับเดียวกันในทำนองว่า อย่าให้เป็นเรื่องราวมากกว่านี้เลย แต่ก็ยืนกรานว่าอินเดียไม่ถอยแน่
จริง ๆ แล้วมีเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับสุษมา สวราชอีก แต่คงนำมากล่าวในที่นี้ไม่ได้ เพราะรายการของเรามีเวลาจำกัด เรื่องหนึ่งที่ควรกล่าวในที่นี้คือการช่วยเหลือสตรีอินเดียที่ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งก็ทำเป็นภาพยนตร์แล้ว ภาพยนตร์นี้มีชื่อว่า Mrs. Chatterjee vs Norway ฉายในปี ค.ศ. 2023 ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะยังอยู่ใน Netflix อยู่
คงมีหลายข้อ แต่คิดได้ 2 ข้อ
ข้อแรก ต้องไม่เข้าใจชาตินิยมแบบฮินดูในทางที่ผิดหรือไม่ครอบคลุม
สมาชิกรัฐสภาหลายคนแม้จะถูกตรีตราว่าเป็นชาตินิยมฮินดู แต่เขายืนกรานว่า สิ่งที่เขาทำคือต้องการให้ผู้หญิงได้เรียนหนังสือ ดังที่สโลแกนของเขาเสียงดังฟังชัด นั่นคือ “Beti Bachao, Beti Padhao” หรือ ช่วยลูกสาว ให้การศึกษาลูกสาว ในกรณีนี้แม้จะไม่ได้ให้การศึกษา Uzma Ahmed แต่ต้องช่วยเธอ
ล่าสุดเมื่อโมดีตอบกลับปากีสถาน ก็ใช้ชื่อปฏิบัติการว่า ปฏิบัติการสินทุระ หรือ Operation Sindoor ซึ่งผมเขียนและเคยพูดแล้วว่าต้องการส่งสารอะไร ในขณะเดียวกัน หญิงคนหนึ่งที่สำคัญมากในเรื่องปฏิบัติการสินทุระคือ หญิงมุสลิมที่มีนามว่า พันเอกโซฟียา กุเรชี (Sofiya Qureshi) เธอคือเจ้าหน้าที่อาวุโสของกองพันสัญญาณกองทัพบกอินเดีย เธอได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับปฏิบัติการนี้ ร่วมกับสตรีผู้บังคับการหน่วยบินนาวาอากาศโท วโยมิกา ซิงห์ (Vyomika Singh) ซึ่งน่าจะนับถือศาสนาฮินดู และนายวิกรม มิศรี (Vikram Misri) ปลัดกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย
ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ ทางการอินเดียคงตั้งใจเลือกสองคนนี้เพื่อส่งสารให้โลกและปากีสถานทราบว่า นี่คือสตรีบ้านฉัน หรือนี่คือสตรีที่อินเดียจะส่งเสริม
ข้อที่ 2 นักการเมืองหรือคนระดับรัฐมนตรีต้องสนับสนุนข้าราชการของตน
หากข้าราชการคนนั้นหรือกลุ่มบุคคลนั้นปกป้องรักษาความถูกต้องหรือผลประโยชน์แห่งชาติ ต้องไม่เอาผลประโยชน์ส่วนตนมาวางเหนือกว่าผลประโยชน์แห่งชาติ
[ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์เรื่อง International Day of Yoga ที่จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน ครั้งนี้จัดวันเสาร์ จัดที่เดิมคือที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อย่าลืมมาแต่เช้ามารับเสื้อยืดโยคะฟรีด้วย รับเสื้อยืดแล้วก็สวมใส่เสื้อยืดและร่วมปฏิบัติโยคะกัน ลองหาดูจากประชาสัมพันธ์นะครับ ]
•
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio [7 มิ.ย.68]
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ