วันที่ 24 พฤษภาคม 2568
เพลง Teri Mitti (ดินของคุณหรือประเทศ)
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Kesari ฉายในปี ค.ศ. 2019 จัดได้ว่าเป็นภาพยนตร์ยอดฮิตเลยก็ว่าได้
ท่อนแรกที่เปิดไปมีความหมายประมาณนี้
เราเอาศีรษะวางแทบคมดาบ
เผากายมอดม้วยด้วยเพลิงผลาญ
จึงจักคว้าสีแสดมาประสาน
ปักบนมาลาผ่านเลือดเนื้อใจ
ทำไมต้องเปิดเพลงนี้ก็เพราะว่า วันนี้เรายังต้องคุยเรื่องมุมมองอินเดียต่อความขัดแย้งแคชเมียร์ ตอนที่ 2
ครั้งก่อนเราจบด้วยคำถามที่ว่า ปากีสถานยืนกรานมาโดยตลอดว่าไม่ได้สนับสนุนผู้ก่อการร้ายดังที่อินเดียได้กล่าวหา อินเดียไม่เชื่อปากีสถานหรือ
อาจารย์ตอบว่า อินเดียยืนกรานพร้อมหลักฐานและสื่อสารกับโลกมาโดยตลอดว่า นี่คือข้อเท็จจริง ปากีสถานจะหลบหนีจากข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้
ล่าสุด นายควาญะห์ อะศีฟ (Khwaja Asif) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของปากีสถาน ให้สัมภาษณ์กับยัลดา ฮะกีม (Yalda Hakim) แห่งสำนักข่าวสกายนิวส์ เมื่อถูกถามว่า “แต่ท่านก็ยอมรับใช่ไหมว่า ปากีสถานมีประวัติอันยาวนานในการสนับสนุน ฝึกฝน และให้เงินทุนแก่กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้”
นายอะศีฟตอบว่า “เราทำงานสกปรกนี้ให้สหรัฐอเมริกามานานประมาณสามทศวรรษแล้ว และกับชาติตะวันตก รวมถึงอังกฤษด้วย ผมเอง รวมถึงรัฐบาลของเราด้วย ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เราได้ประณามการก่อการร้ายอย่างชัดเจนและไม่มีข้อแม้ใด ๆ ว่าการก่อการร้ายในทุกรูปแบบคือสิ่งที่ควรถูกประณามอย่างรุนแรงที่สุด คุณก็รู้ ปากีสถานเองก็เป็นเหยื่อของการก่อการร้ายมานานหลายทศวรรษ และบางทีอาจไม่มีประเทศใดในโลกที่ได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายมากเท่ากับปากีสถาน อันเป็นผลมาจากสงครามในอัฟกานิสถานช่วงทศวรรษ 1980 และในทศวรรษก่อนหน้านี้อีกด้วย”
อินเดียมองว่าที่นายอะศีฟ กล่าวมานั้นก็เกือบจะครบถ้วนแล้ว

ลองดูประโยคของนายอะศีฟ ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “We have been doing dirty work…” เราทราบดีว่านี่คือประโยครูป present perfect continuous tense หมายความว่ายังดำเนินอยู่ถึงทุกวันนี้ กล่าวคือ แท้จริงแล้วปากีสถานยังเดินหมากนี้อยู่
ที่ตามมาอีกคือ นายอะศีฟพูดได้อย่างถูกต้องว่าปากีสถานได้รับผลกระทบจากการกระทำของผู้ก่อการร้ายมาโดยตลอด ตรงนี้อย่าให้ผมพรรณนาเลย ทั้งอินเดียและเราก็เห็นข่าวการก่อการร้ายในปากีสถานมามากต่อมากแล้ว
อย่าลืมกรณีเด็กหญิงมะลาละห์ ยูซัฟซัย (Malala Yousafzai) ที่เป็นข่าวดังระดับโลกด้วย ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 ขณะที่มะลาละห์ในวัย 15 ปีเศษ กำลังเดินทางกลับบ้านจากโรงเรียนในปากีสถาน มือปืนฏอลิบาน (Taliban) สวมหน้ากากขึ้นมาบนรถโรงเรียนของเธอและถามว่า “ใครคือมาลาละห์” จากนั้นเขาก็ยิงเธอเข้าที่ด้านซ้ายของศีรษะ เพียงเพราะเธอเชื่อว่าเด็กผู้หญิงทุกคนควรมีสิทธิ์ไปโรงเรียนเพื่อรับการศึกษา ทั้งนี้ต้องตระหนักด้วยว่า ลูกสาวของนักการเมืองหรือนายทหารหลายนายก็เรียนหนังสือระดับสูงในสถาบันการศึกษาในประเทศตะวันตกนะครับ
ว่าด้วยประเด็นนี้ เอส. ชัยศังกร (S. Jaishankar) รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศอินเดีย เคยหยิบยกคำพูดที่ฮิลลารี คลินตัน (Hilary Clinton) เคยกล่าวไว้เมื่อหลายปีมาแล้วมาเป็นคำเปรียบเปรยเมื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานกับการก่อการร้าย ซึ่งน่าจะสรุปใจความได้อย่างแม่นยำเลยทีเดียว คลินตันกล่าวว่า “คุณไม่สามารถเลี้ยงงูไว้ในสวนหลังบ้าน แล้วคาดหวังให้พวกมันกัดแต่เพื่อนบ้านของคุณเท่านั้น”
ที่อินเดียตั้งคำถามก็คือ นายอะศีฟย้อนแย้งตนเองหรือไม่ ก็ในเมื่อรัฐบาลอินเดียชัดเจนมากในการโจมตีฐานที่ตั้งของผู้ก่อการร้ายในแคชเมียร์ฝั่งปากีสถาน ทำไมรัฐบาลปากีสถานต้องโกรธเล่า ถ้าคุณประณามการก่อการร้ายหรือผู้ก่อการร้ายดังที่คุณป่าวประกาศ คุณก็น่าจะสนับสนุนอินเดียหรือขอบคุณอินเดียไม่ใช่หรือ ทางอินเดียถามมาโดยตลอดว่า แล้วจะโกรธอินเดียทำไม
อีกประเด็นที่นายอะศีฟไม่อธิบายให้ฟังคือ กองทัพปากีสถานเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร นายอะศีฟคงทราบดีว่า ถ้าเขาพรรณนาความสัมพันธ์อันลึกซึ้งและสลับซับซ้อนระหว่างกองทัพปากีสถานกับกลุ่มก่อการร้าย เขาคงต้องติดคุกเหมือนนักการเมืองหลายคน หรือไม่ก็ต้องพาครอบครัวอพยพออกจากปากีสถานไปหลี้ภัยอยู่ที่ประเทศอื่น
ไม่ใช่ครับ อำนาจทางการเมืองควบคู่ไปกับอำนาจทางเศรษฐกิจด้วย
เท่าที่ศึกษามาและพอจำได้มีดังนี้ กองทัพปากีสถานควบคุมส่วนสำคัญของภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศผ่านมูลนิธิและกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ กิจการเหล่านี้ซึ่งบริหารโดยกองทัพดำเนินงานภายใต้องค์กรการกุศลและปรากฏในรูปแบบสวัสดิการ แต่มีผลประโยชน์ทางการค้าในวงกว้าง
องค์กรที่มีความโดดเด่นมากที่สุด เท่าที่จำได้ มี 4 องค์กรด้วยกัน
(1) Fauji Foundation แปลเป็นไทยตรงตัวคือ มูลนิธิทหาร
(2) Army Welfare Trust หรือกองทุนทหารบก
(3) Shaheen Foundation หรือมูลนิธิเหยี่ยว
(4) Bahria Foundation ก็คือ มูลนิธิที่เกี่ยวกับทะเล
หลัก ๆ แล้ว (1) กับ (2) เป็นของกองทัพบก ส่วน (3) กับ (4) เป็นของทหารอากาศกับของทหารเรือ ตามลำดับ
วันเวลาการก่อตั้งมูลนิธิและกองทุนเหล่านี้ก็น่าสนใจไม่น้อย
หมายเลข (1) เก่าสุด ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1954
หมายเลข (2) ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1971
หมายเลข (3) ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1971
หมายเลข (4) ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1982
ปฏิเสธมิได้ว่าในทั้ง 3 เหล่าทัพ กองทัพบกปากีสถานแกร่งที่สุด ทหารบกเข้ามามีบทบาททางการเมืองในทศวรรษ 1950 ที่แน่นอนที่สุดคือ ปี ค.ศ. 1958 เมื่อ พลเอกมุฮัมหมัด อัยยูบ ข่าน (Muhammad Ayub Khan) ยึดอำนาจรัฐบาลนำโดยประธานาธิบดีอิสกันดาร์ อะลี มีร์ซา (Iskandar Ali Mirza) จากทศวรรษ 1950 มาจนถึงทศวรรษ 1980 ทหารปากีสถานแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากมูลนิธิหรือกองทุนเหล่านี้
ถูกต้อง หลายประเทศมีมูลนิธิหรือกองทุนดูแลสวัสดิการของทหารเช่นเดียวกับปากีสถาน ที่ปากีสถานก็มีตรงนี้อยู่
แต่ใคร่แจ้งให้ทราบเพิ่มเติมว่า มูลนิธิหรือกองทุนทั้ง 4 แห่งนี้มีธุรกิจเป็นของตนเอง เท่าที่จำได้ รวมถึง ปุ๋ย ซีเมนต์ อาหาร การผลิตกระแสไฟฟ้า บริการทางการเงิน บริการด้านสุขภาพ ธนาคาร ประกันภัย อสังหาริมทรัพย์ เกษตรกรรม การบิน สื่อมวลชน การศึกษา ทั้งหมดที่กล่าวมาคือเท่าที่จำได้
ถูกต้อง ส่วนหนึ่งคงต้องนำไปใช้กับสวัสดิการแน่ ๆ แต่เท่าไรกี่สัดส่วนนั้น ไม่มีใครทราบ
มีอย่างอื่นอีกหรือไม่ ปฏิเสธมิได้ด้วยว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทหารปากีสถานไม่เป็นกบฏต่อกองทัพน่าจะมีเรื่องความมั่นคงเศรษฐกิจอยู่ด้วย
สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธเกี่ยวกับมูลนิธิหรือกองทุนเหล่านี้คือ
(1) แม้ในทางเทคนิคมูลนิธิหรือกองทุนเหล่านี้จะเป็นองค์กรด้านสวัสดิการ แต่ก็ดำเนินงานในลักษณะของหน่วยธุรกิจที่ทรงอิทธิพล
(2) มูลนิธิหรือกองทุนเหล่านี้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพลเรือนในระดับจำกัด นี่ย่อมนำไปสู่ความกังวลว่าด้วยความโปร่งใสและอิทธิพลของกองทัพในเศรษฐกิจภาคพลเรือน
(3) นักวิจารณ์รวมถึงนักวิชาการและองค์กรตรวจสอบต่าง ๆ เห็นว่า อิทธิพลทางเศรษฐกิจนี้ช่วยเสริมสร้างอำนาจทางการเมืองของกองทัพ ในขณะเดียวกันก็จำกัดความรับผิดชอบของตนต่อประชาชนด้วย
อินเดียไม่เคยเชื่อปากีสถานเลย อินเดียไม่ไว้ใจปากีสถานแม้แต่น้อยเลย
เพราะอินเดียมองว่า ปากีสถานไม่เคยทำตัวให้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ตรงนี้อินเดียมีเหตุผลที่หนักแน่นอยู่ 2 ข้อ ซึ่งทั้ง 2 ข้อนี้แทบจะเป็นเรื่องเดียวกันก็ว่าได้
ข้อที่ 1 ในอดีตเคยมีความพยายามเรื่องการไต่สวนแล้ว แต่ก็ไม่บังเกิดผล
ข้อที่ 2 หน่วยข่าวกรองของอินเดียเฝ้าติดตามเรื่องนี้มานานแล้ว และมีข้อมูลว่ากองทัพปากีสถานเลี้ยงดูอุ้มชูกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้อยู่
ขอขยายความโดยยกตัวอย่างหลังเหตุการณ์โจมตีมุมไบในวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 หรือที่เรียกกันว่าเหตุการณ์ 26/11
เมื่อผู้ก่อการร้ายกลุ่มลัชกัร เอ ฏอยิบา เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุครั้งนี้ ซึ่งทั้งโลกก็ยอมรับว่า เป็นผลงานของลัชกัร เอ ฏอยิบา เพราะผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งคือ นายอัจญ์มัล กะซาบ (Ajmal Kasab) ถูกจับเป็น ในที่สุดกะซาบก็สารภาพอย่างหมดเปลือกต่อทางการของอินเดีย ก่อนจะถูกประหารชีวิตในปี ค.ศ. 2012 แหล่งข่าวแห่งหนึ่งรายงานว่า การกระทำอันโหดเหี้ยมของกะซาบและพวกทำให้ผู้คนเสียชีวิตทั้งหมด 166 คน (ไม่นับผู้ก่อเหตุ 9 คน) มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 300 คน
สมัยนั้นก็เข้าไปสู่การไต่สวน แล้วได้อะไรจากการไต่สวนนั้น ไม่ได้อะไรเลย ซึ่งนำไปสู่คำพูดติดตลกกันว่า หากฮามาสโจมตีอิสราเอล อิสราเอลก็จะตอบกลับอย่างหนัก แต่หากผู้ก่อการร้ายโจมตีอินเดีย สักพักก็จะหันมาเล่นคริกเก็ตกันต่อ
คงไม่มีใครทราบเรื่องนี้ดีกว่า นายมันโมฮัน ซิงห์ (Manmohan Singh) นายกรัฐมนตรีอินเดียในเวลานั้น เพราะเขาเคยกล่าวต่อนายบารัค โอบามา (Barack Obama) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า การที่อินเดียภายใต้การนำของเขาไม่ตอบโต้ปากีสถานหลังเหตุการณ์ 26/11 ส่งผลให้เขาสูญเสียคะแนนทางการเมืองอย่างมหันต์ยิ่ง คะแนนทางการเมืองตรงนี้ก็มีความเป็นเหตุเป็นผลอยู่ กล่าวคือ พลเมืองอินเดียต้องการให้รัฐบาลอินเดียจัดการกับการก่อการร้ายอย่างเด็ดขาด เพราะเขาต้องการอยู่กันอย่างปลอดภัย ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตน ต้องการพัฒนาประเทศของตนให้ก้าวไกล
ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่อินเดียยืนกรานมาโดยตลอดว่าปากีสถานไม่ให้ความร่วมมือ
นักวิชาการและสื่อมวลชนอินเดียมักหยิบยกตัวอย่างหนึ่งขึ้นมาตั้งคำถามอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือ ปฏิบัติการณ์ “Neptune Spear” โดยหน่วยซีล (SEAL) ที่นายโอบามาเป็นผู้อนุมัติ ซึ่งนำไปสู่การสังหารอุซามะห์ บิน ลาเดน (Osama bin Laden) ในปากีสถาน
หมายถึงอะไร ที่อินเดียชวนถามเรื่องนี้ก็เพราะสถานที่บิน ลาเดนถูกสังหารนั้น นอกจากจะอยู่ในปากีสถานแล้ว ยังห่างจากโรงเรียนนายร้อยทหารปากีสถานประมาณ 1 กิโลเมตรเท่านั้น กล่าวคือ ปากีสถานไม่รู้เลยหรือว่าบิน ลาเดนหลบซ่อนอยู่ในปากีสถาน
ถ้าเข้าใจไม่ผิดคุณกำลังหมายถึงบิลาวัล บุตโต ซัรดารี (Bilawal Bhutto Zardari) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปากีสถาน บุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงเบนะซีร์ บุตโต (Benazir Bhutto) ซึ่งคือหญิงคนแรกที่ชนะเลือกตั้งและได้เป็นผู้นำประเทศมุสลิม และแล้วเธอก็ถูกลอบสังหารเมื่อปลายปี ค.ศ. 2007 โดยมือระเบิดพลีชีพวัย 15 ปีชื่อบิลาล (Bilal) ขอเน้นย้ำอีกทีว่ามือพลีชีพอายุ 15 ปีเท่านั้น เด็กอายุ 15 ปีคนนี้ได้รับคำสั่งให้ก่อเหตุครั้งนี้จากกลุ่มฏอลิบานปากีสถาน (Taliban Pakistan) ผมไม่ได้เลี่ยงคำถามนะ แค่อยากจะบอกว่า คำถามที่ถามผมมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมเน้นย้ำมาโดยตลอด
คราวนี้กลับมาตอบคำถาม จริงที่นายซัรดารีให้สัมภาษณ์ เขากล่าวว่า “ผมไม่คิดว่านี่เป็นความลับแต่อย่างใดที่ปากีสถานมีอดีตเกี่ยวข้องกับกลุ่มหัวรุนแรง” ตรงนี้นายซัรดารีพูดจาคล้ายคลึงและแตกต่างจากนายอะศีฟ คล้ายกันตรงที่ว่า นายซัรดารีและนายอะศีฟยอมรับว่าในอดีตปากีสถานสนับสนุนผู้ก่อการร้าย ที่แตกต่างกันคือนายอะศีฟบอกว่ายังสนับสนุนอยู่ ต่างจากนายซัรดารีที่บอกว่าเป็นเรื่องในอดีต ถูกต้องไหม
ถูกต้องครับ
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2025 นายวิกรม มิสรี (Vikram Misri) ปลัดกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ได้นำเสนอภาพถ่ายภาพหนึ่งให้สาธารณะได้ชมกัน ภาพถ่ายนี้เกิดขึ้นหลังจากปฏิบัติการณ์สินทูระ (Operation Sindoor) ของอินเดียได้โจมตีเป้าหมายฐานตั้งผู้ก่อการร้ายทั้งหมด 9 แห่งในฝั่งปากีสถาน
ภาพถ่ายดังกล่าว มีโลงศพของผู้ก่อการร้ายและญาติของผู้ก่อการร้าย โดยมีนายฮาฟิซ อับดุร เราะอูฟ (Hafiz Abdur Rauf) ยืนอยู่ข้างหน้า และด้านหลังของนายเราะอูฟมีนายทหารปากีสถานยืนอยู่อีกจำนวนหนึ่ง
มุมมองของอินเดียคือ ภาพถ่ายดังกล่าวเล่าเรื่องสำคัญของปากีสถานได้อย่างดียิ่ง กล่าวคือ นายเราะอูฟเป็นผู้ก่อการร้ายตัวยงของโลก กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ในปลายปี ค.ศ. 2010 ได้ประกาศขึ้นชื่อนายเราะอูฟเป็นผู้ก่อการร้ายระดับโลกที่ได้รับการกำหนดเป็นพิเศษ หรือที่ใช้ภาษาอังกฤษว่า “Specially Designated Global Terrorists” แต่แทนที่ทหารปากีสถานจะจับกุมนายเราะอูฟ กลับร่วมพิธีกับนายเราะอูฟ ที่อินเดียตั้งคำถามอีกคือ มันเป็นเรื่องแปลกไหมที่พิธีศพของพลเรือนถูกจัดขึ้นโดยมีธงชาติปากีสถานคลุมโลงศพและได้รับเกียรติจากรัฐด้วย
ทั้งนี้อินเดียป่าวประกาศอยู่ตลอดเวลาด้วยว่า ยังมีผู้ก่อการร้ายอีกกี่คนที่ยังลอยนวลอยู่ในปากีสถาน บางคนได้รับการอารักขาเป็นพิเศษด้วย
ตรงนี้เราอาจจะต้องอ้างถึงคำพูดของบรูซ รีเดิล (Bruce Riedel) อดีตซีไอเอ (CIA) และที่ปรึกษาอาวุโสประธานาธิบดีสหรัฐฯ 4 คนในประเด็นเกี่ยวกับตะวันออกกลางและเอเชียใต้ ที่เคยกล่าวไว้ว่า ปากีสถานมีจำนวนผู้ก่อการร้ายต่อตารางกิโลเมตรมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก
•
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio [24 พ.ค.68]
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ