การเสวนา อินเดีย จากวรรณะ...สู่วันนี้
96 views
0
0

เพลง Unstoppable
วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศ ฟังเพลงภาษาอังกฤษ หลายคนอาจจะรู้จักแล้ว คือเพลง “Unstoppable” แต่ไม่ใช่เวอร์ชั่นดั้งเดิมของศิลปินหญิงที่ชื่อเซีย (Sia) หากแต่เป็นเวอร์ชั่นเรียบเรียงใหม่ที่มีบรรยากาศตลกขบขัน ของศิลปินชาวศรีลังกาที่ชื่อ ซันดารุ ซัทซารา (Sandaru Sathsara)

ศิลปินคนนี้อาจไม่ใช่ศิลปินใหญ่ระดับโลกก็จริง แต่เขาปรากฏตัวบ่อยมากในมีมหรือคลิปสั้นตลกล้อเลียนที่ส่งให้กันตามโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทั้งนี้เพราะเขาชอบนำเพลงดัง ๆ ของโลกตะวันตกมาเรียบเรียงใหม่ด้วยสำเนียงการร้องและดนตรีแบบศรีลังกาหรือแบบอินเดีย ซึ่งถูกใจคนจำนวนมาก ทำให้เพลงของเขาแพร่หลายอย่างรวดเร็ว เพลงดัง ๆ ที่คนไทยนิยมแชร์กันก็คือเพลง จิงเกิลเบลส์ (Jingle Bells) เพลงบาร์บี้เกิร์ล (Barbie Girl) และมาย ฮาร์ต วิล โก ออน (My Heart Will Go On) เป็นต้น ซึ่งทุกเพลงเรียบเรียงเป็นสไตล์เอเชียใต้ ในลักษณะล้อเลียน (Parody) ผู้ฟังอาจจะถึงกับหัวเราะท้องคัดท้องแข็งได้

รู้ไหมครับว่าซันดารุคนนี้ไปไกลถึงขนาดไหน เท่าที่ผมไปเช็คในช่องของเขาล่าสุด เมื่อประมาณเดือนก่อนเขาได้นำเอาเพลงไทยมาทำด้วยครับ เป็นเพลงตลกที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักดีคือเพลง อนันตะปัดชะเย ของคุณหน่อยเชิญยิ้ม ที่มีเนื้อร้องว่า “โอม อนันตะปัดชะเย อะปัดติเถเถนา...” ซันดารุก็เอามาร้องได้โดยใช้เนื้อภาษาไทย เป็นที่ถูกใจชาวไทยอย่างยิ่ง นับว่าเขาเป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ในทางสร้างสรรค์คนหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าผู้ฟังอยากฟังก็คงต้องไปหาฟังเอาเอง แต่ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจจะเอามาเปิดก็ได้

แต่ว่าอย่างไรก็ตาม หลายคนคงจะสงสัยในใจว่า เพลงที่คุณณัฐเลือกมาวันนี้มันเกี่ยวข้องกับเนื้อหาตรงไหน ต้องบอกให้ผู้ฟังเข้าใจไว้ก่อนว่า จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเกี่ยวก็ได้ เพราะหลายต่อหลายครั้งเราเองก็เปิดเพลงเพียงแค่เพราะอยากจะแบ่งปันให้ฟัง แต่ครั้งนี้คุณณัฐยืนยันว่าเกี่ยว ก็อยากฟังเหตุผลด้วยว่ามันเกี่ยวจริงหรือ

เกี่ยวจริงครับ ไม่ใช่เนื้อหาของเพลง แต่ที่จริงเป็นแค่คำคำเดียวที่ว่า “Unstoppable” (หยุดไม่อยู่) นั่นเอง เหตุก็เพราะว่าเราจะพูดเกี่ยวกับการเสวนา “อินเดีย จากวรรณะ...สู่วันนี้” จัดที่กระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันอังคารที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา และหนึ่งในคีย์เวิร์ดหรือคำสำคัญที่บรรดาวิทยากรรวมทั้งตัวอาจารย์สุรัตน์เองก็เน้นย้ำอยู่เสมอเลยก็คือในวันนี้ อินเดียยังไงก็ต้องก้าวต่อไปโดยไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ คำว่า unstoppable ในเวลานี้จึงอธิบายอินเดียได้เป็นอย่างดีครับ

150 ปี การสถาปนากระทรวงการต่างประเทศ (นาที 5.50)

ก่อนอื่นใดเราต้องเท้าความถึงที่มาที่ไปแห่งการจัดเสวนาครั้งนี้ก่อน การเสวนาหัวข้อ “อินเดีย จากวรรณะ...สู่วันนี้” เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในโอกาสครบรอบ 150 ปี การสถาปนากระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2418 และจากนั้นมาก็เป็นกระทรวงสำคัญที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองเรามาตลอด มีคุณูปการอย่างมหาศาล

ส่วนตัวผมรู้สึกชื่นชมที่แทนที่กระทรวงการต่างประเทศจะจัดงานเลี้ยงรื่นเริงหรือการแสดงเฉลิมฉลองซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำได้โดยง่ายและควรแก่โอกาสมงคล กลับเลือกที่จะใช้โอกาสนี้จัดกิจกรรมอันมีประโยชน์ต่อสาธารณชน เช่นการจัดประกวดสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษ และการเสวนาวิชาการหลากหลายหัวข้อ ครอบคลุมหลากหลายภูมิภาค ซึ่งล้วนแต่เปิดให้สาธารณะเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และกิจกรรมทั้งหมดกินเวลายาวนานนับเดือน

ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังมีนิทรรศการชื่อ “นิทรรศกาลครั้งหนึ่ง” หรือ Once Upon A Time Exhibition ที่เล่าเรื่องราวตั้งแต่ก่อตั้งกระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้สโลแกน “การวางรากฐานความสัมพันธ์ทางการทูตสู่อนาคต” (Building on Heritage, Shaping the Future)

ผู้ชมนิทรรศการจะมีโอกาสได้เห็นวัตถุจัดแสดงสำคัญ เช่นตราประทับรูปบัวแก้วทำจากงาช้างอันล้ำค่าควรเมืองที่เคยใช้ประทับบนเอกสารสำคัญๆ มาตั้งแต่โบราณ นอกจากนี้ยังได้เห็นสนธิสัญญาฉบับจริงในอดีตที่เขียนด้วยลายมืออันงดงาม เช่นสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ. 112 ปฏิญญากรุงเทพฉบับจริงที่พิมพ์ด้วยพิมพ์ดีด และหนังสือเดินทางยุคต่าง ๆ ตั้งแต่แรกเริ่มจนมาถึงปัจจุบัน ในฐานะที่ผมเคยเป็นนิสิตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผมก็รู้สึกอิ่มใจที่ได้รับชม แม้ว่าจะไม่ได้ใช้วิชาที่เรียนมาเข้าไปรับราชการในกระทรวงก็ตาม

การเสวนา อินเดีย จากวรรณะ...สู่วันนี้

ในส่วนของการเสวนา “อินเดีย จากวรรณะ...สู่วันนี้” เกิดขึ้นในวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 วิทยากรในวันนั้นคือ อ.กิตติพงศ์ บุญเกิด คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.ดร.ปิยณัฐ สร้อยคำ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และที่ขาดไม่ได้คือ รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทางกระทรวงการต่างประเทศได้นำบันทึกการเสวนาทั้งหมดลงในเว็บไซต์ของกระทรวงแล้ว ผู้ฟังสามารถเข้าไปรับชมได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเวลา 2 ชั่วโมง 16 นาทีเต็ม อย่างไรก็ตาม คุณณัฐที่ไปนั่งฟังและจดแกร็ก ๆ อยู่ตลอดเวลาคงจะพอสรุปให้ผู้ฟังได้ทราบคร่าว ๆ ถึงเนื้อหาสาระของวันนั้นได้นะครับ

แน่นอนครับ แต่ผมขอพูดเพียงโดยสังเขปเพราะว่าเนื้อหาสาระในวันนั้น บางเรื่องเราก็เคยนำมาพูดในรายการของเราแล้ว เช่น ในตอนที่เราพูดถึงวรรณกรรมไทยชื่อ ฉฬาชาติพิไสย และเมื่อเร็ว ๆ นี้เองเราก็เคยพูดถึงวรรณะมาครั้งหนึ่งตอนที่เล่าเกี่ยวกับการสำรวจสำมะโนประชากรที่จะรวมข้อมูลวรรณะลงไปด้วย

ความหมายคำว่าวรรณะ และจุดกำเนิดของวรรณะ

วิทยากรทั้งสามท่านเริ่มต้นด้วยการเล่าถึงความหมายคำว่าวรรณะและจุดกำเนิดของวรรณะก่อน ซึ่งต้องเล่าย้อนไปในยุคที่ชาวอารยันเริ่มเข้ามามีบทบาทในการปกครองอนุทวีปอินเดีย ครั้งแรกเริ่มวรรณะไม่ได้เกิดมาเพื่อแบ่งระดับชาติกำเนิด แต่เป็นการแบ่งงานกันทำมากกว่า ซึ่งการที่ระบบวรรณะพัฒนาไปจนกระทั่งมีลักษณะแบ่งแยกเชื้อสายนั้นหลัก ๆ ก็มาจากการที่คนทำงานกลุ่มอาชีพเดียวกันพยายามที่จะแต่งงานในพวกเดียวกันเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของวงศ์ตระกูลนั่นเอง

จุดนี้อาจารย์ปิยณัฐหรืออาจารย์หนุ่มได้เสริมมุมมองที่น่าสนใจด้วยว่า หากมองจากเลนส์ปัจจุบัน วรรณะเป็นสิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำ แต่ถ้าในฐานะที่อินเดียเป็นอู่อารยธรรม การเกิดวรรณะขึ้นโดยมีจุดประสงค์ในการแบ่งงานกันทำ ถือว่าเป็นแนวคิดล้ำหน้าพอสมควรในสมัยสามสี่พันปีก่อน และมีส่วนขับเคลื่อนอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุให้ก้าวหน้าจนเป็นผู้นำและผู้เผยแพร่ความรู้ไปสู่ดินแดนอื่น ๆ ในเวลาต่อมา แน่นอนว่าสิ่งที่หยั่งรากมายาวนานขนาดนี้ แม้ว่าจะมีข้อเสียมากมายแต่ก็คงจะยกเลิกเพิกถอนออกไปไม่ได้ง่าย ๆ ในห้วงเวลาอันสั้น

นอกจากนี้การมองสังคมอินเดียก็ใช่ว่าจะมองได้ในมิติเดียว จะต้องมีทั้งมิติสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ประกอบกัน บุคคลผู้หนึ่งในมิติสังคมอาจมาจากวรรณะล่าง แต่ในทางเศรษฐกิจเขาอาจร่ำรวยก็ได้

ทั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่า อัมเบดการ์คือคนสำคัญมากที่ก่อให้เกิดการปฏิรูปเกี่ยวกับวรรณะ การที่เขามาจากกลุ่มคนที่ถูกเหยียบย่ำทำให้เขารู้จักความเจ็บปวดจากการถูกกระทำ และการที่เขาได้รับการศึกษาอย่างดีจากตะวันตกทำให้เขาทราบว่าควรตั้งเป้าหมายให้สังคมก้าวไปสู่จุดใด

การต่อสู้ทางวรรณะในประวัติศาสตร์อินเดีย

ในประเด็นเกี่ยวกับการต่อสู้ทางวรรณะ ไม่ใช่สิ่งใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในยุคอัมเบดการ์อย่างที่หลายคนเข้าใจ จริง ๆ แล้วตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของอินเดีย การต่อสู้ในประเด็นวรรณะเกิดขึ้นตลอดเวลาและมีพลวัตอย่างยิ่ง

บุคคลแรกที่เป็นที่ทราบกันว่าต่อต้านระบบวรรณะอย่างเปิดเผยคือพระพุทธเจ้า ซึ่งเราเองก็ทราบกันดีว่าในระบบของพุทธศาสนานั้น ผู้ใดที่บวชเข้ามาไม่ว่าจะเคยอยู่ในวรรณะใดมาก่อน ก็ถือว่าเป็นภิกษุเสมอหน้ากันทั้งสิ้น และนับอาวุโสกันจากเฉพาะจำนวนวันที่บวช

ตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีคนที่เคยเป็นเชื้อสายทลิตเข้ามาบวชในสำนักของพระพุทธเจ้าแล้วในวันหนึ่ง หลังจากนั้นในวันถัดมา มีพราหมณ์คนหนึ่งเข้ามาบวช ตามหลักการของพระพุทธเจ้า พระภิกษุรูปที่เคยเป็นพราหมณ์แล้วบวชทีหลัง ก็จะต้องทำความเคารพพระภิกษุรูปที่เคยเป็นทลิต แม้จะบวชก่อนเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น

นี่แหละคือการสลายระบบวรรณะของพุทธศาสนา ทั้งนี้เพราะถือว่าคนเราจะดีชั่วสูงต่ำอย่างไรอยู่ที่การกระทำทั้งสิ้นไม่ใช่อยู่ที่ชาติกำเนิด พระพุทธเจ้าก็เคยตรัสไว้หลายครั้งแล้วในหลายพระสูตร

นอกจากพระพุทธเจ้า บุคคลอื่น ๆ ที่ต่อต้านเรื่องชนชั้นวรรณะก็มีเช่น กะบีร์ และท่านคุรุนานักปฐมศาสดาของศาสนาซิกข์ และพึงระลึกด้วยว่าบุคคลเหล่านี้ไม่ใช่คนจากวรรณะล่างเลย โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าทรงมาจากวรรณะกษัตริย์ด้วยซ้ำ ดังนั้นการต่อสู้ของบุคคลเหล่านี้จึงมุ่งหมายจะขจัดวรรณะในฐานะระบบที่เป็นเนื้อร้ายของสังคม มิใช่เพื่อผลประโยชน์ทางชนชั้นของตนเสมอไป

ที่ผ่านมาก็มีองค์กรอื่น ๆ ที่พยายามจะจัดการเรื่องนี้ เช่น อารยสมาช รามกฤษณะมิชชั่น ซึ่งมองว่าระบบวรรณะเป็นเนื้อร้ายของสังคมเช่นกัน

ระบบวรรณะไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของอินเดีย การที่อินเดียดำรงอยู่กับระบบชนิดนี้ได้ มาจากการถกเถียงกันด้วยภูมิปัญญามากกว่า

ภายในวรรณะสี่ยังคงมีกลุ่มแยกย่อยลงไปอีกนับจำนวนเป็นร้อย

ใคร่เสริมด้วยว่า ตามที่เรามักจะได้รับรู้กันว่าวรรณะมีจำนวนสี่ (เพราะมาจากชื่อ จตุรวรรณะ แปลว่า “สี่สี”) ที่จริงแล้วภายในวรรณะสี่ยังคงมีกลุ่มแยกย่อยลงไปอีกนับจำนวนเป็นร้อย เพราะกลุ่มเดียวกันก็จะมีการจัดลำดับกันเองอีก

ในภาษาอังกฤษมักเรียกกลุ่มย่อยเหล่านี้ว่า sub-caste หมายถึงอนุวรรณะ แต่ถ้าว่ากันตามหลักภาษาสันสกฤตแล้ว จะใช้คำแยกอีกคำคือ “ชาติ” (jati) เหมือนที่คนไทยเราชอบใช้ว่าชาติกำเนิดนั่นเอง

สิ่งนี้มีความซับซ้อนและลื่นไหลมากกว่าวรรณะเพราะสถานะของอาชีพการงานในสังคมอาจจะมีลำดับความสำคัญที่สลับสับเปลี่ยนกันได้ในต่างยุคสมัยกัน เช่นตระกูลช่างตีเหล็กกับตระกูลช่างหนังก็พูดยากว่าอะไรต้องสูงหรือต่ำกว่ากัน ควรได้รับเกียรติมากน้อยกว่ากันเท่าไหร่ นอกจากนี้ไม่ว่าจะเกิดมาในตระกูลใดก็มิได้หมายความว่าจะห้ามทำอาชีพอื่นโดยเด็ดขาด เพียงแค่นิยมทำอาชีพเดิมในตระกูลที่สืบทอดกันมาเท่านั้น และมักจะแต่งงานกันในอาชีพเดียวกัน

ที่สำคัญเราต้องเข้าใจด้วยว่า ความเข้มงวดของระบบวรรณะไม่ได้เท่ากันทั่วทั้งอินเดีย บางพื้นที่ก็มีอิสระเสรีมากกว่า แต่งงานข้ามไปมาได้มากกว่า และการแบ่งแยกกันด้วยชาติกำเนิด ไม่ได้มีแค่ในฮินดู ยังรวมมุสลิม คริสต์ หรือแม้แต่ชนเผ่าด้วย

บทบาทของรัฐธรรมนูญอินเดียในการพยายามจำกัดและกำจัดระบบวรรณะ

ประเด็นหนึ่งที่สำคัญในการเสวนาคือ บทบาทของรัฐธรรมนูญอินเดียในการพยายามจำกัดและกำจัดระบบวรรณะ ซึ่งในรัฐธรรมนูญเองไม่ได้เรียกว่าระบบวรรณะ แต่มีคำอื่น ๆ แทนเช่นคำว่า scheduled class หรือ other backward class

สิ่งหนึ่งที่วิทยากรเน้นย้ำคือเรื่อง positive discrimination หรือการเลือกปฏิบัติในทางบวก หมายความว่าให้โอกาสมากกว่าแก่คนที่รัฐมองว่าด้อยโอกาสและเชื่อว่าจำเป็นต้องพยุง สิ่งนี้นำมาสู่ประเด็นปัญหาอีกข้อหนึ่ง คือแทนที่จะมีการคัดเลือกคนตามความสามารถแท้จริง กลับต้องเอื้ออำนวยต่อคนด้อยโอกาส เช่นคนจากกลุ่มทลิตที่เรามักเรียกกันอย่างไม่เหมาะสมว่าจัณฑาล ก็จะมีโควต้าเฉพาะในการเข้าทำงานในองค์กร

ดังนั้นในบางองค์กรก็มีการพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการไม่เปิดเผยว่าใครคือคนนั้นที่เข้ามาด้วยระบบโควต้า เช่นตามสถานทูตอินเดียในต่างประเทศ อาจจะในไทยเองด้วย ก็จะต้องมีบางคนที่เข้ามาทำงานด้วยโควต้าของทลิต แต่เราก็จะไม่รู้ว่าทลิตคนนั้นคือใคร

พลวัตของสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยสถานะทางเศรษฐกิจนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงบางประการ คือการเลื่อนสถานะของคนบางคนที่เคยอยู่ในกลุ่มชาติกำเนิดที่ถูกเหยียดหยาม ให้ขึ้นมาสู่สถานะสูงทางสังคมเช่นเป็น CEO ของบริษัทสักแห่ง แต่ก็ปฏิเสธได้ยากว่ากำแพงของคนเหล่านั้นจะต้องสูงกว่าคนที่เคยดำรงในสถานะสูงมาก่อนแล้ว ทำให้ต้องต่อสู้ดิ้นรนหนักกว่า

เอาเรื่องวรรณะมาใช้เป็นประเด็นหาเสียง

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีพรรคการเมืองบางพรรคที่ต้องการเล่นเรื่องนี้โดยเฉพาะ คือเอาเรื่องวรรณะมาเป็นประเด็นหาเสียงแบบตรง ๆ เลย ซึ่งได้ผลดีเพราะฐานเสียงของบรรดาคนด้อยโอกาสนั้นมีจำนวนมาก และในเวลาเลือกตั้ง ทุกคนมี 1 สิทธิ์ 1 เสียงเท่ากัน

พรรคบางพรรคที่รู้กันว่าชูเรื่องการเมืองวรรณะก็เช่น พรรคพหุชนสมาช (BSP) พรรคชนตาดัล (JD) พรรคอินเดียนจัสติส (IJP) นอกจากนี้ในการเมืองระดับมลรัฐก็มีการเมืองวรรณะมากมาย ซึ่งอันที่จริงแล้วพรรครัฐบาลในปัจจุบันคือ BJP ก็ไม่ได้ต้องการจะเล่นการเมืองวรรณะ แต่ก็เลี่ยงได้ลำบากเนื่องจากมีพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคนำนโยบายเหล่านี้มาต่อรอง ซึ่งมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

แต่ในวันนี้ไม่ว่าวรรณะจะดำรงอยู่ในสังคมอินเดียอย่างไร สิ่งหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้คืออินเดียกำลังทะยานขึ้นมา จำนวนคนที่พ้นจากเส้นความยากจนเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม อินเดียเชื่อในประชาธิปไตยและเริ่มใช้ประชาธิปไตยทั้ง ๆ ที่คนอื่นมองว่ายังไม่พร้อม แต่กลับบริหารประชาธิปไตยได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่ง ระบบการเลือกตั้งของอินเดียคือแม่แบบที่ยอดเยี่ยมในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา เอื้ออำนวยทุกคนรวมทั้งที่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

บัตรเลือกตั้งของอินเดีย

เกร็ดข้อหนึ่งที่อยากจะแบ่งปันคือ บัตรเลือกตั้งของอินเดียจะต้องรวมสัญลักษณ์เลือกตั้งของพรรคต่าง ๆ ที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมเอาไว้ด้วย ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านั้นจะเป็นอะไรก็ได้ที่พรรคนั้นเลือกมาใช้ในระหว่างหาเสียง

เป็นต้นว่าพรรค BJP เป็นรูปดอกบัว อาจจะฟังดูธรรมดาเพราะก็เป็นสัญลักษณ์ของพรรคอยู่แล้ว แต่เราอาจนึกไม่ถึงว่าจะมีพรรคที่ใช้รูป ขวด กระทะ จักรยาน ต้นมะพร้าว ไม้ฮ็อกกี้ ไม้คริกเก็ต ไฟฉาย เสื้อนอก ถ้วยกาแฟ นกหวีด ว่าว จักรเย็บผ้า และอื่น ๆ มาเป็นสัญลักษณ์ ตรงนี้มีหลักฐานยืนยันได้เพราะผมไปค้นภาพบัตรเลือกตั้งอินเดียมาแล้ว ดูน่าสนุกดี ต่อให้คนอ่านอะไรไม่ออกเลยก็ไม่ต้องกังวล คนหาเสียงแทนที่จะบอกว่า “เข้าคูหากาเบอร์ 3” ก็คงจะพูดว่า “เข้าคูหากาต้นมะพร้าว” แทน เป็นต้น

จุดแข็งและโอกาสของอินเดีย

ทุกวันนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกิดใหม่ในอินเดียกำลังลดช่องว่างของชนชั้นสังคมต่าง ๆ ลงและเอื้ออำนวยโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกันยิ่งขึ้น

จุดแข็งอีกข้อของอินเดียคือ การที่อินเดียเคยตกเป็นอาณานิคม เคยลำบากยากแค้นและขาดแคลนทรัพยากรทุกด้านมาก่อน ทำให้อินเดีย “เข้าใจหัวอก” ของประเทศต่าง ๆ ที่ยังคงประสบภาวะคล้ายกัน

ดังนั้นคงไม่ผิดหากจะกล่าวว่า โอกาสดีของอินเดียจะเกิดได้จากการดำเนินบทบาทประเทศที่คอยช่วยเหลือประเทศด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ให้ก้าวไปพร้อมกัน ซึ่งจะช่วยให้อินเดียได้มีสถานะสำคัญในการต่อรองบนเวทีโลก อินเดียก็กำลังทำอยู่แล้วอย่างแข็งขัน เป็นต้นว่าการให้ทุนการศึกษาจำนวนมาก และในช่วงวิกฤติโควิดที่ผ่านมาอินเดียก็สนับสนุนวัคซีนแก่ประเทศอื่น ๆ หลายประเทศ

รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio [31 พ.ค.68]
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ