วันที่ 17 พฤษภาคม 2568
เพลง War cries of Indian Army
ภาษาไทยก็จะประมาณว่า “เสียงโห่ร้องปลุกใจของกองทัพบกอินเดีย” ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนจัดทำ แต่น่าสนใจมาก เพราะเช่นเดียวกับอินเดียที่มีความหลากหลาย กองทัพบกอินเดียก็มีความหลากหลายเช่นกัน
ก่อนเข้าสู่เนื้อหา ขออนุญาตแปลโดยสังเขปว่าหมายถึงอะไร
1. Jai Maa Kali, Ayo Gorkhali - กูร์ขาบุกเข้ามาแล้ว - Gorkha Rifles (กองทหารปืนยาวกูร์ขา)
2. Balidan Param Dharma - เสียสละไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด - Parachute Regiment (กองทหารร่มชูชีพ)
3. Jat Balwan, Jai Bhagwan - ชัตมีพลัง ชัยชนะเป็นของพระผู้เป็นเจ้า - Jat Regiment (กองทหารชัต)
4. Sarvada Shaktishali - ทรงพลังอยู่เสมอ - Grenadiers Regiment (กรมทหารราบ)
5. Veer Madrasi, Adi Kollu, Adi Kollu, Adi Kollu - ชาวมัดราสีผู้กล้าหาญ ชนและฆ่า ชนและฆ่า ชนและฆ่า - Madras Regiment (กรมทหารมัดราส)
6. Bol Shri Chhatrapati Shivaji Maharaj Ki Jai - สดุดีชัยชนะแด่จักรพรรดิศิวายีผู้ยิ่งใหญ่ - Maratha Light Infantry (ทหารราบเบามราฐา)
7. Badri Vishal Ki Jai - ขอถวายความเคารพแด่องค์พระวิษณุผู้ศักดิ์สิทธิ์ - Garhwal Rifles (กรมทหารราบครห์วาล)
8. Birsa Munda Ki Jai - สดุดีบีร์ซา มุนดา - Bihar Regiment (กองทหารพิหาร)
9. Bajrangbali Ki Jai - ขอสดุดีหนุมาน - Rajput Regiment (กองทหารราชปุต)
10. Raja Ram Chandra Ki Jai - ชัยชนะจงมีแด่พระราม - Rajputana Rifles (กองทหารปืนยาวราชปุตานา)
11. Bolo Hindustan Ki Jai - ขอพระแม่อินเดียจงเจริญยิ่งยืนนาน - Mahar Regiment (กองทหารมหาร)
12. Jo Bole So Nihal, Sat Sri Akal - ผู้ใดกล่าวว่าพระเจ้าเป็นสัจธรรมสูงสุด ผู้นั้นจะได้รับพรชั่วนิรันดร์ - Sikh Light Infantry (ทหารราบเบาซิกข์)
13. Kalika Mata Ki Jai - ขอพระแม่มหากาลีมีชัยชนะ - Kumaon Regiment (กองหทารกุเมาน์)
14. Jwala Mata Ki Jai - ชัยชนะจงมีแด่พระแม่ชวาลา - Dogra Regiment (กองทหารโดกรา)
15. Durga Mata Ki Jai - ชัยชนะจงมีแด่พระแม่ทุรคา - J&K Rifles (กองทหารปืนยาวชัมมูและแคชเมียร์)
16. Bharat Mata Ki Jai - ชัยชนะจงมีแด่พระแม่ภารัต - J&K Light Infantry (ทหารราบเบาชัมมูและแคชเมียร์)
เหตุที่เปิดเสียงโห่ร้องปลุกใจของกองทัพบกอินเดียก็เพราะว่าวันนี้หัวข้อเราเกี่ยวกับเรื่องมุมมองของอินเดียต่อความขัดแย้งแคชเมียร์
________
ก่อนอื่นใดต้องขอขอบคุณแฟนรายการปกิณกะอินเดีย คนนี้ทำงานอยู่ที่สำนักงานประกันสังคมที่อ่อนนุช บังเอิญผมมีธุระไปติดต่อที่สำนักงาน หลังจากคุยกับเพื่อนร่วมงานของเธอ เธอพอเดาได้ว่าผมคือหนึ่งในผู้จัดรายการวิทยุปกิณกะอินเดีย ผมก็เลยถามไปว่า มีอะไรให้เราปรับปรุงไหม เธอไม่ได้ตอบผม แต่บอกผมว่าฟังรายการเราเป็นประจำ ได้ความรู้ดี เราทั้งสองขอขอบคุณแฟนรายการคนนี้ที่ติดตามฟังเรามาตลอดครับ
คงมีแฟนรายการปกิณกะอินเดียอยู่ไม่น้อย หากท่านชอบรายการของเรา ขอให้ท่านช่วยเขียนมาบอกเราที่เฟสบุ๊คของวิทยุจุฬาฯ ได้ไหมครับ เขียนเพียงคำว่า “ติดตามรายการปกิณกะอินเดีย” ก็พอครับ แค่นี้ก็เป็นกำลังใจให้เราเดินหน้าต่อไปครับ
เมื่อวันที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายที่รุนแรงในหุบเขาไบซารัน (the Baisaran Valley) ใกล้เมืองเมืองปาหัลคาม (Pahalgam) มลรัฐชัมมูและแคชเมียร์ (Jammu and Kashmir) ประเทศอินเดีย
วันนี้จะขอเป็นลักษณะถาม-ตอบ ผมจะเป็นผู้ถามคำถาม อาจารย์สุรัตน์จะเป็นคนตอบครับ

โดยสังเขป ข้อพิพาทแคชเมียร์เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1947 หลังจากที่อินเดียภายใต้การปกครองของอังกฤษถูกแบ่งแยกออกเป็นอินเดียและปากีสถาน รัฐเจ้าผู้ครองแคว้นแคชเมียร์ซึ่งปกครองโดยมหาราชาฮินดูแต่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม เดิมทีไม่ได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับประเทศใด จนกระทั่งเกิดการรุกรานโดยกลุ่มชนเผ่าติดอาวุธจากปากีสถาน มหาราชาจึงลงนามเข้าร่วมกับอินเดียเพื่อแลกกับความช่วยเหลือทางทหาร ซึ่งนำไปสู่สงครามอินเดีย–ปากีสถานครั้งแรก
นับแต่นั้น อินเดียและปากีสถานได้ทำสงครามกันและมีการปะทะกันหลายครั้ง โดยปัจจุบันพื้นที่แคชเมียร์ถูกแบ่งออกระหว่างสองประเทศตามแนวควบคุม (Line of Control, LoC) แต่ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างก็อ้างสิทธิ์เหนือดินแดนนี้ทั้งหมด
ปัจจุบันอินเดียจะเรียกฝั่งตนว่ามลรัฐชัมมูและแคชเมียร์ (Jammu and Kashmir) และจะเรียกแคชเมียร์ฝั่งปากีสถานว่าแคชเมียร์ที่ยึดครองโดยปากีสถาน ทางปากีสถานจะเรียกภูมิภาคในฝั่งของตนว่าอาซาดชัมมูและแคชเมียร์ (Azad Jammu and Kashmir) หรือ "อาซาดแคชเมียร์" แบบสั้น ๆ และจะเรียนกมลรัฐชัมมูและแคชเมียร์ในฝั่งอินเดียว่า ชัมมูและแคชเมียร์ที่ยึดครองโดยอินเดีย รายละเอียดมีมากกว่านี้ แต่ถ้าโดยสังเขปก็จะประมาณนี้
เคยพูดคุยกันอยู่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องมีปัญหากัน ต่างคนก็ต่างอ้างสิทธิ์กันต่อไป
ถูกต้อง ต่างคนก็ต่างอยู่สิ แต่อินเดียยืนกรานมาโดยตลอดว่า ปากีสถานไม่หยุดแทรกแซงกิจการภายในประเทศของอินเดีย ก็ถึงมีเรื่องกัน
ดังที่ได้ตอบไปแล้ว มีความพยายามอยู่บ้าง อินเดียมองว่า ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้การพูดคุยไม่ประสบความสำเร็จก็เพราะในฝั่งปากีสถานอำนาจการตัดสินใจเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับกองทัพปากีสถานแต่ประการเดียว รัฐบาลของปากีสถานที่มาจากการเลือกตั้งไม่อาจมีปากเสียงในเรื่องนี้ได้
อินเดียเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นมาโดยตลอดว่า ที่การพูดคุยกันเป็นเรื่องยากมาก ก็เพราะกองทัพปากีสถานทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องการเมืองเพื่อความอยู่รอด
ส่วนอำนาจอันมหาศาลของกองทัพปากีสถานก็เป็นไปตามคำพูดของหลายคนในอินเดียที่กล่าวในเชิงติดตลกว่า ทุกประเทศมีกองทัพ แต่ที่ปากีสถานกองทัพมีประเทศ
อย่างตรงไปตรงมาเลย คำว่า “เป็นเรื่องการเมือง” หรือ “การปลุกสำนึกทางการเมือง” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “politicization” ในที่นี้ก็หมายความว่า การทำให้กิจกรรมหรือเหตุการณ์หนึ่งมีลักษณะทางการเมือง กองทัพปากีสถานทำแคชเมียร์ฝั่งอินเดียเป็นเรื่องการเมืองมาโดยตลอด
นักวิชาการและนักปฏิบัติด้านความมั่นคงชาวอินเดียที่เฝ้าติดตามเรื่องการเมืองการต่างประเทศปากีสถานได้วิเคราะห์เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพปากีสถานกับประเด็นแคชเมียร์ฝั่งอินเดียไว้อย่างละเอียด ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะมีทั้งหมด 4-5 ข้อที่ทำให้เรื่องนี้มันไม่อาจพูดคุยกันได้ง่าย
เท่าที่ศึกษาจากเอกสารและการประชุมเรื่องความมั่นคงของอินเดีย มีทั้งหมดดังนี้
1. อัตลักษณ์ของชาติ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947 เมื่ออนุทวีปได้แบ่งแยกออกเป็น 2 ประเทศ กองทัพปากีสถานได้สร้างกรอบเรื่องแคชเมียร์ให้เป็นภารกิจสำคัญของชาติ โดยกองทัพปากีสถานได้วางตนเป็นผู้พิทักษ์สูงสุดของอุดมการณ์และบูรณภาพแห่งดินแดนของปากีสถาน เรื่อง “การปลดปล่อยแคชเมียร์” ถูกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กองทัพปากีสถานมีอิทธิพลเหนือกว่าหน่วยงานอื่น และก็สัมพันธ์กับการได้รับงบประมาณมากกว่าหน่วยงานอื่นด้วย
2. การควบคุมด้านนโยบายต่ออินเดีย นโยบายของปากีสถานต่อแคชเมียร์ไม่ได้ถูกกำหนดโดยรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ขับเคลื่อนโดยกองทัพ โดยเฉพาะหน่วยข่าวกรองกองทัพ และกองบัญชาการใหญ่กองทัพบก ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งบริเวณชายแดนและการเผชิญหน้าทางทหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่มีการกำกับดูแลจากพลเรือน
3. การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่ทหารของรัฐ กองทัพปากีสถานให้การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่ม เช่น ลัชกัร เอ ฏอยิบา (Lashkar-e-Taiba) ญัยช์ เอ โมฮัมเหม็ด (Jaish-e-Mohammed) ฯลฯ ซึ่งปฏิบัติการในพื้นที่แคชเมียร์ฝั่งอินเดีย นี่เป็นทั้งยุทธศาสตร์สงครามแบบอสมมาตรและวิธีการยกระดับประเด็นแคชเมียร์สู่เวทีระหว่างประเทศ แต่ก็ปฏิเสธมิได้ว่าการกระทำเหล่านี้ทำให้ปากีสถานถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนการก่อการร้าย ในขณะเดียวกันก็ส่งผลในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานกับหลายประเทศด้วย
4. การใช้ประเด็นแคชเมียร์เป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศ กองทัพปากีสถานมักหยิบยกประเด็นแคชเมียร์มาใช้เพื่อเป็นบ่อนทำลายคู่แข่งทางการเมืองที่ต้องการสันติภาพกับอินเดีย เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาเศรษฐกิจ ความล้มเหลวด้านการบริหาร หรือการแทรกแซงของกองทัพ และเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่กองทัพในการควบคุมทรัพยากรและการตัดสินใจระดับชาติ
5. การกำหนดทิศทางการรับรู้ของประชาคมโลก กองทัพปากีสถานมีบทบาทในการสร้างภาพลักษณ์ของตนในระดับนานาชาติว่าเป็นผู้พิทักษ์ชาวมุสลิมในแคชเมียร์
อินเดียไม่เคยเชื่อเลย หากถามชาวอินเดียที่อยู่ในแวดวงความมั่นคงที่สัมพันธ์กับรัฐบาล เขาก็จะชวนให้ลองคิดด้วยสามัญสำนึกว่า กองทัพปากีสถานจะห่วงใยสวัสดิภาพของชาวแคชเมียร์ในฝั่งอินเดียได้อย่างไร เขาจะชวนคิดด้วยว่าอย่าเพิ่งไปไกลถึงเรื่องชาวมุสลิมในแคชเมียร์ฝั่งอินเดียเลย ลองดูคุณภาพชีวิตของพลเมืองปากีสถานที่นับถือศาสนาอิสลามก่อนสิว่าเป็นอย่างไร ทั้งหมดนี้ยังไม่ต้องพิจารณาคุณภาพชีวิตของชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มในปากีสถานที่ย่ำแย่อย่างน่าตกใจ
ที่อินเดียมักจะหยิบยกเรื่องต่าง ๆ มาเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าปากีสถานไม่ได้ห่วงใยชาวแคชเมียร์ฝั่งอินเดีย เช่น นายอิมรอน ข่าน (Imran Khan) ซึ่งในเวลานั้นยังญาติดีกับกองทัพปากีสถานอยู่ เคยถูกสำนักข่าวแห่งหนึ่งถามเกี่ยวกับการปฏิบัติที่โหดร้ายของรัฐบาลจีนต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ในเขตซินเจียง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ข่านตอบอย่างลังเลว่า “พูดตามตรง ผมไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เท่าไหร่” โดยให้เหตุผลว่า “มันไม่ได้เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์มากนัก” ที่อินเดียและบางประเทศในตะวันตกเขาตั้งคำถามกับบทสัมภาษณ์ของข่านก็คือ สรุปแล้วคือห่วงใยเฉพาะพี่น้องมุสลิมในแคชเมียร์ฝั่งอินเดียเท่านั้นหรือ และชาวมุสลิมในจีนไม่ห่วงใยหรือ
อินเดียยืนกรานพร้อมหลักฐานและสื่อสารกับโลกมาโดยตลอดว่า นี่คือข้อเท็จจริง ปากีสถานจะหลบหนีจากข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้
ล่าสุด นายควาญะห์ อะศีฟ (Khwaja Asif) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของปากีสถาน ให้สัมภาษณ์กับยัลดา ฮะกีม (Yalda Hakim) แห่งสำนักข่าวสกายนิวส์ เมื่อถูกถามว่า "ท่านก็ยอมรับใช่ไหมว่า ปากีสถานมีประวัติอันยาวนานในการสนับสนุน ฝึกฝน และให้เงินทุนแก่กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้"
นายอะศีฟตอบว่า “เราทำงานสกปรกนี้ให้สหรัฐอเมริกามานานประมาณสามทศวรรษแล้ว และกับชาติตะวันตก รวมถึงอังกฤษด้วย ผมเอง รวมถึงรัฐบาลของเราด้วย ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เราได้ประณามการก่อการร้ายอย่างชัดเจนและไม่มีข้อแม้ใด ๆ ว่าการก่อการร้ายในทุกรูปแบบคือสิ่งที่ควรถูกประณามอย่างรุนแรงที่สุด คุณก็รู้ ปากีสถานเองก็เป็นเหยื่อของการก่อการร้ายมานานหลายทศวรรษ และบางทีอาจไม่มีประเทศใดในโลกที่ได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายมากเท่ากับปากีสถาน อันเป็นผลมาจากสงครามในอัฟกานิสถานช่วงทศวรรษ 1980 และในทศวรรษก่อนหน้านี้อีกด้วย”
อินเดียมองว่าที่นายอะศีฟกล่าวมานั้นก็เกือบจะครบถ้วนแล้ว
[สัปดาห์หน้าเราจะขอต่อตอนที่ 2 ครับ]
•
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio [17 พ.ค.68]
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ