เพลง Vande Mataram
เพลงนี้ขับร้องโดย Lata Mangeshkar
เพลง Vande Mataram
เพลงนี้ขับร้องโดย Lata Mangeshkar
ชาวทลิตจำนวนมากจะรู้สึกขุ่นเคืองทุกครั้งที่มีใครเขียนหรือกล่าวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากตระหนักว่ารูปภาพของอัมเบดการ์ที่ติดอยู่ตามผนังบ้านของทลิตจำนวนมากนั้นอยู่เคียงข้างรูปพระพุทธเจ้า และในบางกรณีอยู่ในรูปเดียวกันด้วยซ้ำ ทลิตที่เรียกตนเองว่าชาวพุทธใหม่แทบทุกคนในอินเดียเชื่อมโยงกันได้โดยมีศาสนาพุทธร่วมกัน และมีอัมเบดการ์เป็นผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาต่อสู้กับการกีดกันทางวรรณะอย่างไม่หยุดหย่อน
เมื่อกลับถึงบอมเบย์ อัมเบดการ์ต้องเริ่มจัดการเรื่องการหาเลี้ยงชีพ เขาทราบดีว่า ต่อจากนี้ไปเขาจะต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อมิให้ครอบครัวของเขาและของพี่ชายลำบากอีก อัมเบดการ์ประสงค์จะเริ่มอาชีพนักกฎหมาย และดังนั้นแล้ว จึงลงทะเบียนในฐานะนักกฎหมายกับศาลสูงสุดแห่งบอมเบย์ในเดือนมิถุนายน ปี 1924 อัมเบดการ์มิอาจเปิดสำนักงานกฎหมายของตนในละแวกศาลได้เพราะเขาไม่มีเงินพอ ภาเตนาเข้ามาช่วยเหลืออัมเบดการ์อีกครั้ง แต่ก็พอที่จะเปิดสำนักงานในปาเรลได้เท่านั้น แม้จะมีสำนักงานแล้ว ก็ใช่ว่าจะมีปาฏิหาริย์ทันที ปีศาจร้ายแห่งการกีดกันทางวรรณะกลับมาเยือนอัมเบดการ์อีกครั้ง อัมเบดการ์ใช้เวลานานมากกว่าจะได้คดีสักคดีหนึ่งจากชาวมหาร ซึ่งเป็นกลุ่มทลิตเดียวกับอัมเบดการ์ และที่น่าประหลาดใจคือตามด้วยงานจากหลานชายของโลกมันยะ ติลัก หรือบาล กังกาธาร์ ติลัก ผู้เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นพราหมณ์ชาตินิยมอย่างเข้าไส้ ชาวฮินดูส่วนใหญ่ไม่ประสงค์จะใช้บริการทางกฎหมายจากทลิตอัมเบดการ์ นักกฎหมายที่สังกัดศาลสูงสุดในบอมเบย์ไม่ต้องการคบค้าสมาคมกับเขาเพียงเพราะเขาเป็นทลิต
ในขณะเดียวกันอัมเบดการ์ก็มิอาจทำตามแผนการใหญ่ของตนในการเขียนประวัติศาสตร์เศรษฐกิจอินเดียหลายเล่ม เพราะไม่มีผู้สนับสนุนทางการเงิน อัมเบดการ์จึงหันไปพึ่งอาชีพอาจารย์พิเศษสอนวิชากฎหมายพาณิชย์ ณ สถาบันการบัญชีบอตลีบอย และเป็นอาจารย์ผู้สอบ ณ มหาวิทยาลัยบอมเบย์เพื่อหารายได้เสริม แม้อัมเบดการ์จะรู้ดีว่าตนมีปัญหาทางการเงิน และรู้ดีด้วยว่าภรรยารามาไบประสบความยากลำบากไม่น้อย แต่เขาก็ไม่เลิกนิสัยซื้อหนังสือที่ปฏิบัติมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อผ่านไปได้สักพักหนึ่ง อัมเบดการ์ค่อนข้างประสบความสำเร็จในระดับสำคัญที่จะให้ชาวมหารและเพื่อนๆ มาพบปะกันที่สำนักงานของตน แน่นอนในการพบปะนี้ย่อมมีเรื่องความอยุติธรรมทางสังคมเป็นประเด็นการสนทนาหารืออยู่บ่อยครั้ง
ในระหว่างที่กำลังพยายามสร้างเนื้อสร้างตัว และขวนขวายหาแนวร่วมในการปลดแอกทลิตจากวัฏจักรอันเลวร้ายแห่งวรรณะ โลกก็กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการแพร่กระจายการศึกษา พัฒนาการด้านการสื่อสาร และวิถีคมนาคม ทั้งหมดที่กล่าวมาเริ่มส่งผลต่อการเรียกร้องสิทธิของผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัวไม่น้อยเลย อุตสาหกรรมทอผ้าที่รุ่งเรืองในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้ช่วยให้ผู้ถูกกดขี่ทางวรรณะมีงานทำ และเป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้พวกเขาแสวงหาโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิต ความคิดเรื่องประชาธิปไตยหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นพลังให้เกิดความคิดเรื่องปฏิรูปสังคมเพื่อความเป็นธรรมด้วย การปฏิรูปนี้ย่อมมิใช่การแบมือขอโอกาสจากชนชั้นสูงที่ใจบุญ หากแต่เป็นการรวมตัวกันเองเพื่อเรียกร้องสิทธิที่ตนพึงได้
ในช่วงเวลานี้ ตัวแทนของผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัวในสภานิติบัญญัติแห่งบอมเบย์ เช่น ดี.ดี. โฆลัป ก็มุ่งมั่นที่จะเรียกร้องสิทธิให้ผู้ถูกกดขี่ทางชนชั้น โฆลัปตั้งคำถามในสภาดังกล่าวเกี่ยวกับเรื่องที่หมู่บ้านชาวมหารต้องเผชิญการขาดแคลนน้ำ และเรียกร้องการศึกษาภาคบังคับสำหรับลูกหลานของผู้ถูกกดขี่ทางชนชั้น รวมถึงการจัดตั้งหอพักสำหรับเด็กผู้หญิงที่อยู่ในชนชั้นผู้ถูกกดขี่ ข้อเสนอแนะสำคัญในสภาแห่งนี้ฉบับหนึ่งมาจากนักปฏิรูปสังคมคนสำคัญ เอส.เค. โบล เป็นข้อเสนอแนะให้ชนชั้นผู้ถูกกดขี่สามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของสาธารณะ หรือที่สร้างขึ้นโดยงบสาธารณะ หรือที่บริหารจัดการโดยหน่วยงานที่รัฐบาลแต่งตั้งได้ ซึ่งในคำสั่งเสนอแนะไม่มีวัดหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมรวมอยู่ในรายการที่ระบุไว้เลย
ระหว่างปี 1923-1924 ขบวนการชาตินิยมเริ่มแสดงตนโจ่งแจ้งมาก ส่วนหนึ่งเพราะการสังหารหมู่ ณ ยาเลียนวาลาบาค เมืองอมฤตสระ รัฐปัญจาบในปี 1919 โดยคำสั่งของ อาร์.อี.เอช. ดาเยอร์ ทำให้อังกฤษไม่เหลือ ‘ความชอบธรรม’ ใด ๆ ในการปกครองอินเดียอีกต่อไป ขบวนการชาตินิยมอินเดียเพื่อเรียกร้องเอกราชมีพลังมวลชนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มหาตมาคานธีที่กลับอินเดียจากประเทศแอฟริกาใต้ในปี 1915 ซึ่งในช่วงแรกต้องการศึกษาอินเดียอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะต่อสู้เรียกร้องเอกราชอินเดียจากอังกฤษ จำต้องเดินนอกแผนเพราะการกดขี่ที่มาจากการปลูกครามของอังกฤษ ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การใช้สัตยาเคราะห์จัมปารันในปี 1917 หรือสัตยาเคราะห์ครั้งแรกในอินเดียของมหาตมาคานธี พร้อมกับชาตินิยมแบบมหาตมาคานธีก็มีชาตินิยมฮินดูสุดโต่งกำลังพัฒนาคู่ขนานไปด้วย ผู้นำชาตินิยมฮินดูสุดโต่งคือ วินายัก ดาโมดาร์ สาวรการ ผู้ประดิษฐ์ศัพท์ ‘ฮินดูตวา’ หรือความเป็นฮินดู และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารมหาตมาคานธีในปี 1948 สาวรการได้รับการปล่อยตัวจากคุกในวันที่ 6 มกราคม 1924 และมหาตมาคานธีได้รับการปล่อยตัวจากคุกด้วยเหตุผลทางสุขภาพในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ปีเดียวกัน ในขณะที่สาวรการประสงค์จะรวมพลังของชาวฮินดูโดยยกสถานภาพของชนชั้นผู้ถูกกดขี่ มหาตมาคานธีก็พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะปรับปรุงความเป็นอยู่ของชนชั้นที่ถูกกดขี่หรือหริชน
อัมเบดการ์ตระหนักมาโดยตลอดว่า ขบวนการชาตินิยมไม่ว่าจะเป็นแบบฮินดูสุดโต่งของสาวรการ หรือจะเป็นแบบชาตินิยมของมหาตมาคานธีนั้น ต่างก็หาได้ให้ความสำคัญแก่เรื่องราวของผู้คนที่ถูกกดขี่มากเป็นพิเศษแต่อย่างใดไม่ เพราะขบวนการทั้งสองต่างก็มุ่งเรียกร้องเอกราชอินเดียจากบริติชราชเป็นเป้าหมายสูงสุด ในวันที่ 9 มีนาคม ปี 1924 อัมเบดการ์จัดประชุม ณ หอดาโมดาร์ บอมเบย์ เพื่อให้ผู้คนที่ถูกกดขี่พิจารณาความประสงค์ในการจัดตั้งสถาบันอันเป็นศูนย์กลางในการรับเรื่องราวร้องทุกข์ต่อรัฐบาล ผลของการประชุมครั้งนี้ทำให้อัมเบดการ์ประสบความสำเร็จในการก่อตั้ง “พหิษกฤตหิตการิณีสภา” หรือสภาเพื่อความอยู่ดีกินดีของผู้คนที่ถูกกีดกันในวันที่ 20 กรกฎาคม 1924 โดยอัมเบดการ์เป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารจัดการ คณะกรรมการดังกล่าวประกอบด้วยสมาชิกคนอื่น รวมถึงเซอร์จิมานลาล เซตัลวาท ศิษย์เก่าวิทยาลัยวิทยาลัยเอลฟินสโตนเช่นเดียวกับอัมเบดการ์ และอดีตสมาชิกคณะกรรมการฮันเตอร์ ที่ได้รับมอบหมายให้ไต่สวนการสังหารหมู่ ณ ยาเลียนวาลาบาค
พหิษกฤตหิตการิณีสภา มีนัยสำคัญต่อความเป็นทลิต และสะท้อนความเป็นตัวตนของอัมเบดการ์เกือบทั้งหมด คำว่า ‘พหิษกฤต’ “เป็นคำที่องค์กรเล็กๆ แห่งหนึ่งในอำเภออะโกลาใช้ในปี 1920 และอาจจะเป็นความพยายามครั้งแรกของผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัวที่จะหาสมัญญานามที่เหมาะสม” วัตถุประสงค์ของพหิษกฤตคือ “เพื่อกระจายการศึกษา พัฒนาภาวะเศรษฐกิจ และเป็นตัวแทนในการรับเรื่องราวร้องทุกข์ของผู้ถูกกดขี่” ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่อัมเบดการ์เชื่อมาโดยตลอดและจะเชื่อเช่นนี้ต่อไป ดังที่เขาเคยกล่าวในภายหลังประมาณทศวรรษ 1940 ในสามคำว่า “สั่งสอน เร่งเร้า และจัดแจง” (educate, agitate and organize)
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย