เพลง Woh To Hai Albela
เพลงประกอบภาพยนตร์ Kabhi Haan Kabhi Naa ฉายในปี 1994 กำกับโดย Kundan Shah ดารานำคือ Shah Rukh Khan, Suchitra Krishnamurthy, Deepak Tijori และ Naseeruddin Shah เพลงนี้ขับร้องโดย Kumar Sanu & Devaki Pandit
เพลง Woh To Hai Albela
เพลงประกอบภาพยนตร์ Kabhi Haan Kabhi Naa ฉายในปี 1994 กำกับโดย Kundan Shah ดารานำคือ Shah Rukh Khan, Suchitra Krishnamurthy, Deepak Tijori และ Naseeruddin Shah เพลงนี้ขับร้องโดย Kumar Sanu & Devaki Pandit
การกระทำของอัมเบดการ์ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งห้องสมุดและหอพักให้ชาวทลิต การเป็นทนายความต่อสู้ให้นักกิจกรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพและความยุติธรรม การตีความใหม่เรื่องอาณานิคมผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิโกเรกาวน์ การประท้วงเรียกร้องสิทธิให้ทลิตใช้น้ำ การเผามนุสมฤติในที่สาธารณะ การร่วมมือกับคณะกรรมการไซมอนของบริติชราช การประท้วงให้ทลิตเข้าวัดฮินดูได้อย่างเสมอภาค ฯลฯ ถือได้ว่าอัมเบดการ์นั้นแกล้วกล้ามาก ทั้งนี้ ผู้อ่านอาจจะต้องตระหนักด้วยว่า ยุคสมัยทศวรรษ 1920 ก็เป็นใจกับอัมเบดการ์ด้วย เพราะในช่วงเวลานี้ ผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัวก็เริ่มตระหนักถึงสิทธิของตนมากขึ้น เช่น ที่ผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัวประท้วงเรียกร้องสิทธิในการข้ามถนนหน้าวัดกุรุวายูร์ วัดฮินดูในรัฐเกรละทางตอนใต้ของอินเดีย ก็เป็นเรื่องราวคล้ายกับการประท้วงของทลิตในมหาราษฏร์ด้วย ในช่วงเวลานั้น ไม่ได้มีแต่อัมเบดการ์เท่านั้น ยังมีคนอื่นที่เป็นผู้นำของผู้ต้องห้ามแตะเนื้อต้องตัวด้วย เช่น อี. วี. รามาสวามี ไนเกอร์ (1879–1973) หรือเปรียาร์ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยกล่าวว่า “หากคุณเจองูกับพราหมณ์บนถนน ให้ฆ่าพราหมณ์ก่อน” (ไม่แน่ใจว่าคำกล่าวนี้จะเป็นที่มาของ “เจองูเจอแขก ตีแขกก่อน” ในไทยหรือไม่)
ณ บัดนี้ อัมเบดการ์ในฐานะผู้นำทลิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่ได้สำแดงตนออกมาแล้ว จากนี้เป็นต้นไป จะต้องมีอัมเบดการ์หรือประเด็นการกดขี่ทางวรรณะเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ มหาตมาคานธีกับอัมเบดการ์จึงต้องพบปะกันอย่างแน่นอน ผู้เขียนจะขออธิบายประเด็นสำคัญนี้ในตอนต่อไป
อัมเบดการ์กลับถึงบอมเบย์จากลอนดอนในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ปี 1931 และให้สัมภาษณ์นักสื่อข่าวในทำนองว่า การประชุมโต๊ะกลมที่ลอนดอนถือเป็นความสำเร็จ แต่คานธีกลับไม่มองว่าเป็นเรื่องของความสำเร็จแต่ประการใด ทั้งสองพบกันเป็นการส่วนตัวครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ปี 1931 อัมเบดการ์กล่าวโทษพรรคคองเกรสและคานธีว่าไม่ได้ให้อะไรแก่ผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัวมากไปกว่าการยอมรับสถานะพอเป็นพิธี และทำให้สิ้นเปลืองเงินทุนที่จัดสรรมาเพื่อการทำงาน เขาปิดท้ายว่า “ท่านคานธีครับ ผมไม่มีบ้านเกิด” การที่จุดยืนของทั้งสองไม่อาจลงรอยกันได้เลยนั้น เป็นที่ชัดเจนยิ่งระหว่างทั้งสองเผชิญหน้ากันในการประชุมครั้งนั้นเอง คานธีกล่าวกับคณะกรรมาธิการชนกลุ่มน้อยในวันที่ 8 ตุลาคม ปี 1931 เรียกร้องให้ระงับการปฏิบัติงาน ด้วยเหตุผลว่าไม่อาจประนีประนอมกันได้ อัมเบดการ์กับคานธีปะทะกันด้วยอารมณ์และโวหาร ต่างคนต่างเป็นกระบอกเสียงให้ผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัว ข้อแตกต่างสำคัญคือ ขณะที่อัมเบดการ์เน้นการเพิ่มความสามารถและการคุ้มครองทางการเมืองแก่พวกทลิต คานธีกลับแย้งว่าสิ่งที่พวกทลิตหรือที่เขาเรียกว่าหริชนนั้น “ต้องการยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดนั้นคือการคุ้มครองจากการกลั่นแกล้งทางสังคมและศาสนา” ท้ายที่สุดการโต้เถียงก็ลงเอยที่จุดอับ กล่าวคือ อัมเบดการ์ประสงค์จะแยกเขตเลือกตั้งสำหรับพวกทลิต ส่วนคานธีมองว่านั่นจะทำให้รอยแบ่งแยกระหว่างชาวอินเดียยิ่งลึกลงไปอีก เพราะเขามองด้วยว่าพวกทลิตมิได้มีอัตลักษณ์แยกต่างหากจากชาวฮินดู
ทั้งอัมเบดการ์และคานธีต่างเริ่มออกเรียกร้องต่อสาธารณะด้วยเหตุผลแตกต่างกันดังกล่าว จากนั้นอัมเบดการ์จึงออกเดินทางไปลอนดอนอีกครั้งช่วงปลายเดือนพฤษภาคม โดยไปพูดจาทาบทามกับสมาชิกคณะรัฐบาลอังกฤษเพื่อจุดยืนของตน ผลของกลยุทธ์ดังกล่าวนี้คือเพื่อโน้มการสนับสนุนของฝ่ายอังกฤษมาทางอัมเบดการ์ และสิ่งที่อังกฤษผ่านนายกรัฐมนตรีแรมเซย์ แมคโดนัลด์ (Ramsay MacDonald) มอบให้ในวันที่ 16 สิงหาคม ปี 1932 คือการกำหนดให้มีเขตเลือกตั้งแยกสำหรับผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัวเช่นเดียวกับชาวมุสลิม และให้ที่นั่งจำนวน 78 ที่แก่พวกเขาในสภานิติบัญญัติกลาง รวมทั้งการออกเสียงสองครั้ง ครั้งหนึ่งในเขตเลือกตั้งทั่วไปและครั้งหนึ่งในเขตเลือกตั้งแยก
เพื่อคัดค้านเรื่องนี้ คานธีได้ประกาศอดอาหารโดยไม่มีกำหนด เริ่มจากวันที่ 20 กันยายนเป็นต้นไปขณะที่คานธีนำเสนอการประท้วงครั้งนี้ในฐานะความพยายามปลุกชาวฮินดูให้ต่อต้าน “บาป” ของการห้ามแตะเนื้อต้องตัว สิ่งที่เขาเน้นนั้นก็เป็นการต่อต้านอัตลักษณ์แบ่งแยกของชาวทลิตอย่างชัดเจน ในถ้อยแถลงที่ส่งไปยังรัฐบาลบอมเบย์ในวันที่ 15 กันยายนนั้น คานธีกล่าวว่า การอดอาหารของเขา ซึ่ง “ได้กระทำไปในนามพระเจ้าเพื่องานของพระองค์ และตามบัญชาของพระองค์ ดังที่ข้าพเจ้าเชื่อในมนุษยชาติทั้งมวล” นั้น “มุ่งเป้าไปยังการออกกฎหมายแยกเขตเลือกตั้งในรูปแบบใดๆ สำหรับชนชั้นที่ถูกกดขี่” ดังนั้น จึงเป็นการอดอาหารเพื่อต่อต้านอัมเบดการ์นั่นเอง
วันที่ 19 กันยายน มีการจัดประชุมใหญ่ “ผู้นำฮินดูและผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัว” ในบอมเบย์ โดยรวมคนอย่างอัมเบดการ์ ราชาห์ (Rajah) พี. บาลู (P. Baloo) มะดัน โมหัน มาลาวิยะ (Madan Mohan Malaviya) เซอร์ เตช บาฮาดูร์ สัปรู (Sir Tej Bahadur Sapru) เอ็ม. อาร์. ชยการ์ (M.R. Jayakar) เซอร์จิมันลาล เสตัลวาท (Sir Chimanlal Setalvad) ซี. ราชาโคปาลจารี (C. Rajagopalachari) บี. เอส. มุญเช (B.S. Moonje) และ เอ. วี. ฐักการ์ (A.V. Thakkar) สาวกคานธีคนสำคัญในภารกิจปลดปล่อยผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัว อัมเบดการ์ต้องเผชิญสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้ และข้อตกลงท้ายสุดที่เรียกว่า “ข้อตกลงปูนา” (The Poona Pact) ก็ถูกโยนปังลงมาระหว่างสัปรูกับอัมเบดการ์แล้วพวกเขาก็ลงนามในวันที่ 24 กันยายน จากนั้นคานธีจึงเลิกอดอาหาร มีการประชุมที่ค่อนข้างจะเต็มไปด้วยอารมณ์ โดยอัมเบดการ์ได้กล่าวสุนทรพจน์ในทางไมตรี ที่คานธีอธิบายว่าเป็น “การกลับใจ”
ข้อตกลงปูนาได้แทนที่เขตเลือกตั้งแยกโดยการสงวนเขตเลือกตั้งรวมเอาไว้ แต่บัญญัติให้มีการเลือกตั้งขั้นแรก ซึ่งจะเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เป็นผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัวสี่คน ผู้ชนะจะได้รับเลือกจากระหว่างกลุ่มนี้ในการเลือกตั้งทั่วไปขั้นสองที่อยู่บนฐานเขตเลือกตั้งร่วม นอกจากนี้เพื่อชดเชยการเสียเขตเลือกตั้งแยก จำนวนที่นั่งที่ให้แก่ผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัวก็เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า (จาก 78 เป็น 148) เพื่อให้เป็นสัดส่วนกับจำนวนประชากรของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น อัมเบดการ์แสดงออกว่าตนพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากการเสนอการเลือกตั้งขั้นแรกนั้นดูจะอนุญาตให้ผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัวมีเสียงของตนเองอย่างสำคัญ คานธีได้ดำเนินการต่อด้วยการเสนอจัดตั้งองค์กรพิเศษ มีลักษณะเป็นสันนิบาตเพื่อต่อต้านการห้ามแตะเนื้อต้องตัว ในภายหลัง อัมเบดการ์ได้เรียกข้อตกลงปูนาว่าเป็นผลจากการอดอาหารของคานธี ซึ่งเป็นการข่มขู่ตัวเขาทางศีลธรรม ในปี 1933 อัมเบดการ์หวังว่าสิ่งต่างๆ จะดีขึ้น ดังนั้นเขาจึงเข้าร่วมงานคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อการปฏิรูปฝ่ายนิติบัญญัติอินเดีย
ปี 1935 เป็นปีที่เห็นได้ว่าอัมเบดการ์ทำงานเต็มกำลังขึ้น เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยกฎหมายรัฐบาล และได้เป็นอาจารย์สอนที่นั่นด้วย นอกจากหน้าที่บริหารในตำแหน่งผู้อำนวยการของเขา เขาน่าจะอาสาไปสอนเพราะนิสัยของเขาล้วนมีแต่การพยายามโน้มน้าวด้วยเหตุผลให้ผู้อื่นเข้าใจความอยุติธรรมที่บรรดาทลิตประสบ ในเดือนพฤษภาคม 1935 รามาไบ ภรรยาของอัมเบดการ์ถึงแก่กรรมหลังจากป่วยเรื้อรัง อัมเบดการ์รู้สึกเศร้าสลดใจจากมรณกรรมของเธอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่เธอปรารถนาจะไปจาริกแสวงบุญที่ปาณฑปุระ (Pandhapur) ซึ่งเธอไม่เคยได้ทำเลยเพราะเป็นผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัว จึงถูกห้ามมิให้เข้าวิหาร ความจริงที่ว่าอัมเบดการ์ไม่เคยยอมให้เธอไปจาริกตามปรารถนาด้วยเหตุที่เธอเป็นผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัวนั้น ทำให้อัมเบดการ์เจ็บปวดอย่างยิ่งหลังจากเธอเสียชีวิตลง
เป็นไปได้ว่า มรณกรรมของรามาไบนี้คงจะไปกระตุ้นความคิดในใจอัมเบดการ์ที่จะละทิ้งศาสนาฮินดูอีกครั้ง ในวันที่ 13 ตุลาคม อัมเบดการ์เป็นประธานการชุมนุมเปลี่ยนศาสนาที่เยโอลา (Yeola) เมืองนาศิก (Nasik) เขาแนะนำให้ชนชั้นที่ถูกกดขี่เลิกการปลุกระดมเพื่อเรียกร้องสิทธิเข้าวัดทั้งหมด แต่พวกเขาควรละทิ้งศาสนาฮินดูโดยสิ้นเชิงและไปรับศาสนาอื่นแทน เขาสาบานว่า “ขอยืนยันว่า ข้าพเจ้าจะไม่ยอมตายในสภาพชาวฮินดู” การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางสังคมเริ่มได้รับความสนใจและสนับสนุนมากขึ้นจากบรรดานักเขียนหัวก้าวหน้า มุลก์ ราช อานันท์ (Mulk Raj Anand) เขียนนวนิยายทรงพลังชื่อ Untouchable (1935) ตามด้วย Coolie (1936) ซึ่งเขียนคำนำโดยอี.เอ็ม. ฟอสเตอร์ (E.M. Foster) งานทั้งสองชิ้นนำพาความสนใจระดับสากลมาสู่ความอยุติธรรมทางวรรณะและชนชั้น แน่นอนว่าไม่ต้องกล่าวถึงนักเขียนอีกคนที่มีผลงานโด่งดังในภาษาฮินดี คือเปรมจันท์ (Premchand) ปี 1935 นี้จบลงโดยอัมเบดการ์กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนธันวาคมอัมเบดการ์ได้รับเชิญโดยชัต-ปัต-โตดักมณฑล (Jat-Pat-Todak Mandal) แห่งลาฮอร์ (Lahore) ซึ่งเป็นองค์กรปฏิรูปวรรณะ เพื่อไปเป็นประธานการประชุมประจำปีขององค์กรนี้ในฤดูใบไม้ผลิปี 1936
ช่วงประมาณ 13-14 เมษายน ปี 1936 อัมเบดการ์มีโอกาสกล่าวปาฐกถาที่การประชุมคณะเผยแพร่ศาสนาซิกข์ (Sikh Mission Conference) ในอมฤตสระ (Amritsar) ณ ที่นั้น เขาได้กล่าวย้ำความตั้งใจที่จะออกจากศาสนาฮินดู ในปลายเดือนเมษายน ชัต-ปัต-โตดักมณฑลเห็นว่าสุนทรพจน์ที่อัมเบดการ์เตรียมไว้นั้นมีลักษณะกร้าว จึงยกเลิกการเชิญอัมเบดการ์ ในวันที่ 15 พฤษภาคม เขาจึงตัดสินใจตีพิมพ์สุนทรพจน์ที่เตรียมไว้กล่าวที่ลาฮอร์นั้นเป็นหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ ชื่อ The Annihilation of Caste (วรรณะวินาศ)
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย