กวีนิพนธ์ประเภท "ฉันท์" รูปแบบการประพันธ์จากอินเดีย
15,071 views
0
0

เพลง Priyam Bharatam (อินเดียที่รัก)
ขับร้องโดย Gaiea Sanskrit ชาวสหราชอาณาจักร เป็นบทเพลงภาษาสันสกฤตที่นำมาจากบทกวีนิพนธ์ของ ศรี จันทรภาณุ ตริปาถี ในมาตราที่เรียกว่า Bhujangaprayata (ลีลาการเลื้อยของงู) ซึ่งปรากฏในฉันทลักษณ์ของไทยด้วยในนาม ภุชงคประยาตฉันท์

อยากชวนผู้ฟังสังเกตด้วยว่า จังหวะของเพลงจะสม่ำเสมอ เป็นจังหวะเบาหนึ่งหนักสองตลอดทั้งเพลงจนจบ ตัวอย่าง
अनेके प्रदेशा अनेके च वेषाः अनेकानि रूपाणि भाषा अनेकाः
परं यत्र सर्वे वयं भारतीयाः प्रियं भारतं तत् सदा रक्षणीयम्

อเนเก ปฺรเทศา อเนเก จ เวษาะ อเนกานิ รูปาณิ ภาษา อเนกาะ
ปรํ ยตฺร สรฺเว วยํ ภารตียาะ ปฺริยํ ภารตํ ตตฺ สทา รกฺษณียมฺ

มีดินแดน เสื้อผ้าอาภรณ์ รูปลักษณ์และภาษาที่แตกต่างกันมากมาย แต่ผองเราล้วนเรียกว่าชาวภารตียะด้วยกันทั้งสิ้น โอ้ภารตะที่รัก เธอถูกปกปักรักษาอยู่เสมอ

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส

11 ธันวาคม 2563 วันครบรอบ 230 ปีวันประสูติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส รัตนกวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือวัดโพธิ์ได้จัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติในวันที่ 9-11 ธันวาคม ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงเป็นบุคคลแรกๆ ที่ขยายความรู้ทางฉันทศาสตร์ให้แก่วงการวรรณกรรมไทย เราจึงขอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับคำประพันธ์ที่เรียกว่า ฉันท์ ในวันนี้

พระประวัติย่อของกรมพระปรมานุชิตชิโนรส

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวาสุกรี เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจุ้ย ในวันที่ 11 ธันวาคม 2333 ผนวชเป็นสามเณรเมื่อปี 2345 หลังจากนั้นก็ผนวชเป็นพระภิกษุ ประทับอยู่ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ทรงดำรงพระยศสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สิ้นพระชนม์ในวันที่ 9 ธันวาคม 2396

ผลงาน

ทรงมีพระอัจฉริยภาพในด้านกวีนิพนธ์ทุกชนิด และได้ทรงพระนิพนธ์วรรณกรรมสำคัญหลายเรื่อง เช่น ปฐมสมโพธิกถา ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ลิลิตตะเลงพ่าย และอีกมากมาย และยังทรงพระนิพนธ์ตำราฉันท์วรรณพฤติ มาตราพฤติ ซึ่งปรากฏในจารึกวัดโพธิ์ด้วย ผมจะขออธิบายเรื่องนี้เพิ่มเติมในภายหลัง

คำว่า "ฉันท์" หมายถึงอะไร มีที่มาอย่างไร

ฉันท์ เป็นร้อยกรองประเภทหนึ่ง มีที่มาจากหนึ่งในหกเวทางคะหรือแขนงพระเวท นับได้ว่าเก่าแก่โบราณมาก ศัพท์เดิมมาจากคำว่า ฉนฺท แปลว่า ความพึงพอใจ ด้วยเหตุที่ว่าเป็นกวีนิพนธ์ที่สดับแล้วย่อมเกิดความเพลิดเพลินในรสของจังหวะอันมีระเบียบ เดิมทีฉันท์ในอินเดียมีสองตระกูลคือ วรรณพฤติกับมาตราพฤติ

ฉันท์วรรณพฤติ บังคับด้วยจังหวะคำหนักเบา หรือที่คนไทยเรียกเป็นศัพท์ภาษาบาลีว่า ครุ-ลหุ ซึ่งได้มาจากลักษณะคำประพันธ์ของอินเดียโดยตรง ฉันท์ในไทยเกือบทั้งหมดเป็นฉันท์วรรณพฤติ แต่ละแบบมีชื่อเพราะๆ เป็นการเปรียบเปรยถึงลีลา เช่นภุชงคประยาตที่เรากล่าวถึงแล้ว และมีวสันตดิลก แปลว่าความงามของฤดูใบไม้ผลิ สัททุลวิกกีฬิต แปลว่าลีลาของเสือโคร่งที่กำลังคะนอง เป็นต้น

ฉันท์มาตราพฤติ บังคับด้วยจังหวะสั้นยาวหรือมาตรา นับคำครุเป็น 2 มาตราและคำลหุเป็น 1 มาตรา กล่าวคือใช้ลหุ 2 คำหรือครุ 1 คำก็ได้ลงในจังหวะที่ต้องการ 2 มาตรา คำว่ามาตราเป็นภาษาสันสกฤต ตรงกับภาษาละตินว่า metrum แปลว่าการวัด ภาษาอังกฤษรับมาใช้ว่า meter ฉันท์ประเภทนี้ปรากฏมากทางฝั่งอินเดียใต้ ไทยเราไม่นิยมเลย และไม่เคยมีวรรณกรรมฉันท์ที่ใช้มาตราพฤติโดยเฉพาะ เว้นแต่แม่แบบตำราฉันท์เท่านั้น

วิธีการนับคำเป็นครุ-ลหุมีเกณฑ์อย่างไร

คำครุ-ลหุ คือคำหนักคำเบานั่นเอง ในภาษาสันสกฤตมีเกณฑ์อยู่หลายข้อ แต่ขอสรุปเป็นแบบไทยง่ายๆ ว่า คำครุหรือคำหนักนั้นเป็นคำที่มีสระเสียงยาว และคำที่มีตัวสะกดไม่ว่าจะเป็นสระยาวหรือสั้นก็ตาม คำลหุหรือคำเบา คือคำสระเสียงสั้นและไม่มีตัวสะกดเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น ชื่อของอาจารย์ว่า สุรัตน์ เป็นคำลหุ 1 พยางค์ และคำครุ 1 พยางค์ สมมติว่าผู้หญิงชื่อ กรรณิกา ก็จะเป็น ครุ-ลหุ-ครุ ชื่อประภาวดี เป็น ลหุ-ครุ-ลหุ-ครุ อย่างนี้ เป็นต้น

ทำให้คำฉันท์แต่งยากพอสมควร เพราะต้องระมัดระวังความหนักเบาของทุกพยางค์

ใช่ครับ ในเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ของกวีเอกชิต บุรทัต ซึ่งจัดเป็นกวีคนสำคัญคนหนึ่งสมัยรัชกาลที่ 6 ในช่วงท้ายก่อนปิดเรื่องได้กล่าวไว้ว่า

๏ ฉันทพากย์ยากล้ำลำเค็ญ ถ้อยคำจำเป็น เพราะศัพท์บังคับหนักเบา

ความหมายก็คือ คำประพันธ์ประเภทฉันท์ยากมากเพราะมีคำบังคับหนักเบาอย่างที่กล่าวมา บางครั้งกวีจึงต้องใช้คำศัพท์บางคำด้วยความจำเป็นเพื่อรักษาเสียงตามระเบียบ ทำให้ต้องใช้ศัพท์ยากๆ ในภาษาบาลีสันสกฤตมาช่วย ก็เลยเรียกได้ว่ายากทั้งแต่ง ยากทั้งอ่าน คนอ่านเองก็ต้องรู้จังหวะฉันท์ถึงจะออกเสียงได้เหมาะสม คำบางคำแยกพยางค์ได้หลายรูปแบบ ถ้าอ่านไม่ถูกแยกพยางค์ไม่ถูก ก็ไม่ลงจังหวะ ไม่เป็นฉันท์

ฉันท์ไทยกับฉันท์อินเดียเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

"ฉันท์ไทย" แตกต่างจากฉันท์อินเดียตรงที่นอกจากการบังคับจังหวะหนักเบาแล้ว เรายังบังคับสัมผัสคล้องจองอีกด้วย เพราะไทยเรามีขนบมาแต่เดิมแล้วว่าคำประพันธ์จะต้องลงสัมผัส แต่ส่วนฉันท์ของอินเดียนั้นไม่ปรากฏว่าบังคับคำคล้องจองแต่อย่างใด ตัวอย่างฉันท์ไทยจากเรื่องอิลราชคำฉันท์ ของพระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ)

๏ ชะโดดุกกระดี่โดด สลาดโลดยะหยอยหยอย
กระเพื่อมน้ำพะพร่ำพรอย กระฉอกฉานกระฉ่อนชล
๏ กระสร้อยซ่าสวายซิว ระรี่ริ้วละวาดวน
ประมวลมัจฉะแปมปน ประหลาดเหลือจะรำพันฯ

พัฒนาการของฉันท์ในประเทศไทยแบบย่อ

• เดิมทีฉันท์มีในไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา วรรณกรรมคำฉันท์ที่สำคัญ เช่น สมุทรโฆษคำฉันท์ อนิรุทธคำฉันท์ คำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง เสือโคคำฉันท์ และมีแทรกอยู่บางบทในมหาชาติคำหลวงตั้งแต่แผ่นดินพระบรมไตรโลกนาถ

• ฉันท์ในสมัยโบราณของไทย นิยมแต่งกันเพียงหกชนิด คือ อินทรวิเชียร โตฎก วสันตดิลก มาลินี สัททุลวิกกีฬิต และสัทธรา รวมเรียกว่า “ฉัฏฐฉันท์” (ฉันท์ทั้งหก)

• ฉันท์ในสมัยโบราณของไทยจะไม่ใช้เกณฑ์ของพยางค์แบบเดียวกับภาษาสันสกฤต คือจะนับด้วยจังหวะธรรมชาติของเสียงพูดในภาษาไทย คำไหนที่เราออกเสียงเบากว่าคำอื่น คือเป็นคำไม่สำคัญในประโยค เราก็จัดลงเป็นคำลหุได้ ถ้ามาคิดด้วยเกณฑ์คำฉันท์แบบอินเดียจึงไม่ค่อยถูกต้อง แต่เป็นการเลียนแบบลีลาฉันท์เท่านั้น ไม่เหมือนปัจจุบันที่เคร่งครัดตามแบบอินเดีย

ฉันท์ได้พัฒนามาสู่รูปแบบปัจจุบันได้อย่างไร

เรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ด้วยความที่พระองค์เป็นพระภิกษุ ซึ่งการศึกษาในระดับเปรียญธรรมชั้นสูงบังคับให้ต้องแต่งฉันท์ภาษาบาลีอยู่แล้ว ประกอบกับพระอัจฉริยภาพส่วนพระองค์ จึงทรงแตกฉานด้านนี้อย่างผู้เทียบเทียมได้ยาก

เมื่อครั้งสร้างวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งมีจุดประสงค์ในการให้ความรู้หลากหลายแขนงแก่คนทั่วไป กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงคัดเลือกรูปแบบฉันท์ต่างๆ ในคัมภีร์วุตโตทัยที่เดิมเป็นภาษาบาลีมี 108 ชนิด แบ่งเป็นฉันท์วรรณพฤติ 81 ชนิด มาตราพฤติ 27 ชนิด มาทรงพระนิพนธ์ตัวอย่างฉันท์เป็นภาษาไทยส่วนหนึ่ง รวม 58 ชนิด แบ่งเป็นฉันท์วรรณพฤติ 50 ชนิด มาตราพฤติ 8 ชนิด และจารึกลงบนแผ่นศิลา ใช้เป็นแม่แบบการแต่งฉันท์สืบไป แต่นั้นมาวรรณคดีคำฉันท์ภาษาไทยก็มีลักษณะเคร่งครัดต่อบังคับครุลหุตามแบบอินเดียมากขึ้น

ทุกวันนี้ เราไม่เห็นมีคนแต่งฉันท์สักเท่าใดนัก ฉันท์ได้รับความนิยมมากที่สุดในสมัยใด แปัจจุบันมีสถานการณ์เป็นอย่างไร

ยุคทองของวรรณคดีคำฉันท์สมัยใหม่ น่าจะเป็นช่วงรัชกาลที่ 6 ทั้งนี้เพราะในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชนิยมในการศึกษาภารตคดีเป็นอย่างยิ่ง สมัยนั้นความรู้เกี่ยวกับเทพปกรณัมของอินเดียจึงเข้ามาสู่ไทยมากมาย พระองค์เองทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูดคำฉันท์ไว้หนึ่งเรื่อง ชื่อมัทนะพาธา หรือที่เราเรียกกันอย่างลำลองว่าตำนานรักดอกกุหลาบ

นอกจากนี้ยังมี น.ม.ส. หรือพระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส ผู้ทรงพระนิพนธ์เรื่องนิทานเวตาลที่เรารู้จักกันดี ก็ได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องพระนลคำฉันท์ โดยนำเค้าโครงเรื่องมาจากนโลปาขยานัมในมหาภารตะ พระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ) ได้นิพนธ์เรื่อง อิลราชคำฉันท์ โดยนำเค้าเรื่องมาจากนิทานแทรกเกี่ยวกับท้าวอิลราชในรามายณะ นายชิต ชวางกูรหรือชิต บุรทัต กวีสามัญชนผู้โด่งดังได้ประพันธ์เรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์ โดยนำเค้าเรื่องมาจากมหาปรินิพพานสูตรในพระไตรปิฎก คำฉันท์สองเรื่องหลังนี้เคยเป็นแบบเรียนระดับมัธยมด้วย

กวีฉันท์สมัยหลังจากนั้นอีกก็มีเช่น นายฉันท์ ขำวิไล นายสุภร ผลชีวิน หรือนายรพินทร์ พันธุโรทัยผู้มักแต่งอาเศียรพาทเป็นฉันท์ลงในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอยู่บ่อยๆ เป็นต้น ปัจจุบันการที่คำฉันท์ไม่ค่อยแพร่หลายนักน่าจะเป็นเพราะระดับภาษาที่ยาก และคนขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องฉันทลักษณ์ เลยมักสงวนไว้เฉพาะเรื่องสูงๆ อย่างการแต่งอาเศียรพาทเพื่อเทิดพระเกียรติหรือถวายพระพรเจ้านาย

วัดโพธิ์

ท้ายที่สุดอยากจะเชิญชวนทุกท่าน หากมีโอกาสลองไปเยี่ยมชมวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ จะมีแผ่นศิลาจารึกฝังไว้ตามเสาระเบียงคดรอบพระอุโบสถมากมาย ส่วนหนึ่งจากบรรดาความรู้ต่างๆ หลายหมวดหมู่ที่มีอยู่ในวัด จะเป็นตำราฉันท์วรรณพฤติและมาตราพฤติอย่างที่ได้เล่าไว้ตอนต้น ขอเสริมด้วยว่า จารึกวัดโพธิ์นั้นได้รับประกาศจากยูเนสโกเป็นเอกสารมรดกความทรงจำแห่งโลกตั้งแต่ พ.ศ. 2554 จึงเป็นสิ่งที่เราควรภาคภูมิใจและทะนุบำรุงรักษาให้สืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย