วันที่ 2 มกราคม 2564
สวัสดีปีใหม่ नया साल मुबारक हो และ Happy New Year เราทั้งสองขอขอบพระคุณที่ติดตามฟังรายการและให้ข้อเสนอแนะมาตลอด
________________
เพลง Manwa Laage
ขับร้องโดย Arijit Singh และ Shreya Ghoshal เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Happy New Year ฉายในปี 2014 ภาพยนตร์ Happy New Year กำกับโดย Farah Khan ผู้ผลิตคือ Gauri Khan
ผู้ที่ริเริ่มใช้คำว่า "สวัสดี" คือ พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) โดยพิจารณามาจากศัพท์ "โสตฺถิ" ในภาษาบาลี หรือ "สวัสติ" ในภาษาสันสกฤต โดยเริ่มใช้เป็นครั้งแรก ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะที่พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) เป็นอาจารย์อยู่ที่นั่น หลังจากนั้นใน พ.ศ. 2486 จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นเห็นชอบให้ใช้คำว่า "สวัสดี" เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม เป็นต้นมา
รากศัพท์ของ “สวัสดี” ในภาษาสันสกฤต หมายถึง “ความดีงาม” มาจากคำว่า “สุ” (ดี) บวกกับ “อัสติ” (เกิดหรือมี) ออกเสียงแบบสันสกฤตว่า สวัสติ แต่พระยาอุปกิตฯ ได้ปรับเสียงเป็นภาษาไทยให้ไพเราะว่า สวัสดี มีรากศัพท์สัมพันธ์กับคำว่า “สวัสติกะ” ที่เป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู พุทธ และเชนด้วย (ไม่ใช่สวัสติกะของนาซี)

คำทักทายทางอินเดียมีหลายคำ แต่ที่นิยมใช้มากที่สุดคือ "นมัสเต" หรือ นมัสการ ทั้งสองคำนี้มีรากร่วมกันคือมาจากคำว่า นมะ ในภาษาสันสกฤต (ออกเสียงว่า นะมะฮะ) แปลว่า ความนอบน้อม ซึ่งใช้ทั้งในบริบทการทักทายทั่วไป โดยมักจะกล่าวซ้ำสองครั้งคือ “นโม นมะ” หรือ นมัสเต (เต คือท่าน) และยังใช้ในคำสวดมนต์ของทั้งศาสนา ฮินดู พุทธ และเชนด้วย ดังที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่ เช่น นโม พุทฺธาย, โอม นมสฺ ศิวาย เป็นต้น
ไทยใช้คำว่า นมัสการ กับพระภิกษุสงฆ์เท่านั้น แต่ในอินเดียใช้กับคนทั่วไป
ไม่เพียงแต่ในภาษาฮินดีเท่านั้น ภาษาอื่นอีกหลายภาษายังมีคำทักทายที่มีรากศัพท์เดียวกัน ทั้งนี้เพราะวัฒนธรรมอินเดียกำเนิดขึ้นจากศาสนาฮินดูเป็นศูนย์กลาง และมีภาษาสันสกฤตเป็นสื่อกลาง
ตัวอย่างเช่น ภาษากันนฑะ ใช้คำว่า “นมัสการะ” มลยาฬัมกับเตลุคุใช้ “นมัสการัม” คุชราตีใช้ “นมัสเต” โอริยาใช้ “นมัสการ” เบงกาลีก็ใช้คำว่า “นมัสการ” แต่ออกเสียงแบบเบงกาลีว่า “โนมอชการ์” ส่วนอัสสมีสออกเสียงว่า “นะมอสการ์” ภาษาทมิฬใช้คำที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง คือคำว่า “วณักกัม” ซึ่งความหมายก็คล้ายคลึงกัน หมายถึงการเคารพนบนอบ (รากศัพท์ วณังกุ การบูชา) คำนี้สามารถใช้ในภาษามลยาฬัมซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับภาษาทมิฬด้วย
ภาษากายของทุกคนก็คล้ายคลึงกัน คือประนมมือไว้ที่หว่างอกพร้อมกับกล่าวคำทักทาย ลักษณะแทบไม่ต่างกับการไหว้ของคนไทย
คำสำคัญอีกคำที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมฮินดูคือ "ประณาม" ในภาษาสันสกฤตมีความหมายว่า ความเคารพอย่างสูง สังเกตพยางค์หลังก็มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า นมะ นั่นเอง เพียงแต่ยืดให้ยาวขึ้น
ผู้ที่อายุน้อยจะแสดงการประณามผู้สูงอายุหรือบุคคลผู้มีสถานะสูง โดยก้มตัวลงเอามือแตะที่เท้าและนำมือนั้นกลับมาแตะหน้าผาก พร้อมกล่าวว่า “ประณาม”
ในภาษาไทยมีการใช้คำว่า ประณาม ในความหมายทั้งดี และไม่ดี
ในปัญจาบ ซึ่งผู้คนนับถือศาสนาซิกข์เป็นหลัก มักใช้คำทักทายว่า “สัต ศรี อกาล”
คำว่า “สัต” หมายถึง ความจริง “ศรี” หมายถึงความดีงาม “อกาล” หมายถึงไร้กาลเวลา ซึ่งเป็นคุณสมบัติของพระเจ้า รวมความหมายถึงพระเจ้าผู้ดีงามทรงเป็นความจริงสูงสุด
แท้จริงแล้ว คำว่า “สัต ศรี อกาล” นั้นสมัยแรกเริ่มเป็น “แยการ์” หรือคำป่าวร้องปลุกขวัญในสงครามเท่านั้น โดยผู้ริเริ่มคือ คุรุ โคบินด์ สิงห์ คุรุองค์ที่สิบแห่งศาสนาซิกข์
คำทักทายของชาวซิกข์ในบริบทที่เป็นทางการ คือคำว่า “วาเฮ่คุรุยี กา คัลซ่า วาเฮ่คุรุยี กี ฟาเตฮ์” - ประชาคมซิกข์ (คัลซ่า) เป็นของพระเจ้า ชัยชนะเป็นของพระเจ้า
ในวัฒนธรรมอิสลาม ซึ่งรวมถึงมุสลิมในอินเดียด้วย จะกล่าวทักทายกันด้วยคำว่า "อัสลามุอะลัยกุม" แปลว่า ขอความสงบสันติจงมีแด่พวกท่าน ซึ่งเวลาตอบคำทักทายดังกล่าวต้องตอบเป็นสำนวนกลับว่า “วะอะลัยกุมุสลาม” แปลว่า และแด่พวกท่านขอความสงบสันติจงมีเช่นกัน บางถิ่นออกเสียงว่า อัสลาโมเลกุม สะลามะลัยกุม แล้วแต่สำเนียงของแต่ละที่ และบางทีก็ย่อเหลือเพียงคำว่า สลาม คำเดียว
คำทักทายนี้รับมาจากภาษาอาหรับ คำเต็มคือ “อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะฮฺมะตุลลอฮิ วะบะเราะกาตุฮฺ” แปลว่า ขอความสงบสันติจงมีแด่พวกท่าน รวมทั้งพระเมตตาของพระเจ้า และพระพรของพระองค์
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย