วันที่ 30 มกราคม 2564
เพลง Kanha Main Tose Haari
ขับร้องโดย Pandit Birju Maharaj เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Shatranj Ke Khiladi (1977) ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยสัตยชิต ราย สร้างจากเรื่องสั้นของเปรมจันท์ นำแสดงโดย Amjad Khan, Sanjeev Kumar, Shabana Azmi ให้เสียงบรรยายประกอบโดย Amitabh Bachchan สาเหตุที่เลือกเพลงนี้ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับหมากรุก
• มีซีรีส์ยอดนิยมเรื่องหนึ่งใน Netflix ที่คนพูดถึงกันมาก คือเรื่อง The Queen’s Gambit ตัวละครหลักของเรื่องเป็นหญิงสาวที่มีพรสวรรค์ในกีฬา Chess หรือที่เรามักเรียกว่าหมากรุกสากล
• คำว่า หมากรุกสากล แปลมาจากคำว่า International Chess แท้ที่จริงแล้วในสมัยก่อนเป็นหมากรุกแบบที่นิยมเล่นกันแพร่หลายในยุโรป แต่ด้วยอิทธิพลของยุโรปต่อโลก จึงทำให้หมากรุกชนิดนี้ถูกเรียกว่า “สากล” ในเวลาต่อมา
• เกมกระดานในลักษณะเดียวกับหมากรุกนั้น มีในวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก มีคอนเซ็ปต์เดียวกันหมดคือ การผลัดกันเดินหมากฝ่ายตัวเอง ซึ่งแต่ละตัวมีวิธีเดินแตกต่างกัน เพื่อไปรุกให้ขุนของฝ่ายตรงข้ามจนแต้มให้ได้ กติกาปลีกย่อยของเกมตระกูลนี้แตกต่างกันไปในแต่ละชาติที่มีหมากรุกของตัวเอง แต่เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายว่า จุดกำเนิดของเกมนี้มีที่มาจากการละเล่นโบราณของอินเดียที่ชื่อว่า Chaturanga หรือจตุรงค์นั่นเอง
คำว่า จตุรงค์ มาจากภาษาสันสกฤตว่า จตุร ที่แปลว่า สี่ สมาสกับคำว่า องฺค ที่แปลว่า ส่วนประกอบ แปลให้เข้าใจง่ายๆ กว่านั้นก็คือ สี่เหล่าทัพ นั่นเอง มีที่มาจากการพรรณนากองทัพในมหาภารตะ ประกอบไปด้วยทหารสี่เหล่า คือ
คชะ หรือเหล่าช้าง
รถะ หรือเหล่ารถศึก
อัศวะ หรือเหล่าม้า
ปทาติ หรือเหล่าราบ
สาเหตุที่ได้ชื่อดังกล่าวก็เพราะว่าตัวหมากบนกระดานถูกสมมติให้เป็นเหล่าทัพต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งมีวิธีเดินที่ผิดแผกกันออกไปตามขอบเขตอำนาจตัวเอง

อายุของเกมกระดานชนิดนี้ ยังไม่เป็นที่สรุปแน่ชัด ทราบกันเพียงแต่ว่าโบราณมาก อาจจะเกินกว่าสองพันปี เช่นบางท่านก็สันนิษฐานว่าเป็นช่วงราชวงศ์กุษาณะ มีบางทฤษฎีสันนิษฐานว่าแรกเริ่มเป็นเกมกระดานสำหรับสี่ฝ่าย ที่ใช้ลูกเต๋าทอดเพื่อกำหนดตาเดินด้วย ซึ่งปัจจุบันมีข้อโต้แย้งมากพอสมควรว่าที่จริงแล้วเป็นอีกเกมหนึ่งที่เล่นคล้ายกันเท่านั้น เรียกว่า จตุรชี ไม่ได้เป็นบรรพบุรุษของจตุรงค์อย่างที่หลายคนเข้าใจ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สรุปว่าจตุรงค์แบบที่ปรากฏเป็นรูปร่างมีกติกาชัดเจนจนแพร่หลายไปถึงวัฒนธรรมอื่นๆ ข้างเคียงด้วยนั้น เห็นจะเป็นในสมัยคุปตะ ราวช่วงศตวรรษที่หก ในแถบอินเดียเหนือ ซึ่งอาณาจักรเปอร์เซียก็รับไปเล่นในนามว่า Shatranj และพัฒนาไปสู่ทางยุโรปจนกลายเป็น Chess ที่เราเห็นในปัจจุบัน คำว่า Shatranj ปัจจุบันยังเป็นศัพท์ภาษาฮินดีที่แปลว่าหมากรุกด้วย
ใครที่เล่นหมากรุกไม่ว่าจะไทยหรือสากลคงจะทราบดีว่าตัวหมากรุกมีลักษณะต่างๆ กัน เช่นในหมากรุกไทยมีม้า เรือ เบี้ย หมากรุกสากลมี คิง ควีน บิชอพ เป็นต้น
ก่อนอื่นขอเสริมด้วยว่ากระดานจตุรงค์มี 64 ตาเช่นเดียวกับในหมากรุกไทยและสากลปัจจุบัน
ตัวหมากรุกในจตุรงค์มี 6 ชนิด
1) Raja หรือราชาในภาษาไทย เป็นผู้นำทัพ ซึ่งถ้าถูกรุกจนจะถือเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในกระดานนั้น
2) Mantri หรือ Senapati คือมนตรีหรือเสนาบดีในภาษาไทย ตัวนี้ทางฝั่งยุโรปพัฒนาไปเป็น Queen คือราชินีแทน และมีอานุภาพการเดินที่สูงขึ้นมากอย่างน่าตกใจถ้าเปรียบกับตัวมนตรีเดิม ถึงกับเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ Woman Empowerment ได้เลยทีเดียว
3) Gaja หรือภาษาฮินดีมักเรียก Hathi หมายถึงช้าง ฝั่งยุโรปพัฒนาไปเป็นตัวอื่นมีชื่อเรียกหลากหลาย เช่นในอังกฤษเป็นบิชอพคือสังฆราชบาทหลวง ในฝรั่งเศสจะเป็นตลกหลวง ในเยอรมนีจะเป็นนักวิ่งซึ่งน่าจะหมายถึงพวกคนเดินสาร ส่วนในรัสเซียยังคงเป็นช้าง
4) Ratha หรือรถศึก ฝั่งยุโรปมักใช้เป็นป้อมปราการ เว้นแต่ในรัสเซียเป็นเรือ ไทยเองก็ใช้เป็นเรือ
5) Ashva ภาษาฮินดีมักเรียก Ghora หมายถึงม้า เป็นตัวหมากที่ iconic ที่สุดเรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ของเกมหมากรุกก็ว่าได้ และที่พิเศษคือ หมากรุกน่าจะทุกชาติจะมีวิธีเดินม้าลักษณะเดียวกัน แม้จะมีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อยก็ตาม
6) Padati หมายถึงพลเดินเท้า ซึ่งภาษาไทยเราจะใช้เป็นเบี้ย เพราะสมัยก่อนใช้หอยเบี้ยในการเล่น
ถูกต้องแล้วครับ ประเทศที่พบการเล่นเกมตระกูลหมากรุกที่มีกติกาเป็นของตัวเอง
ในฝั่งอาเซียนก็จะมีไทยและกัมพูชาซึ่งใช้กติกาแทบจะเป็นชุดเดียวกัน และที่น่าสนใจอีกประเทศคือเมียนมาเพื่อนบ้านของเรา เรียกเกมนี้ว่า สิตตุยิน ซึ่งเป็นการออกเสียงคำว่า จตุรงค์ ในแบบพม่านั่นเอง กติกาก็คล้ายกันมากด้วย จนทุกวันนี้มีการพัฒนาหมากรุกอีกแบบหนึ่งขึ้นมาแล้วชื่อว่าหมากรุกอาเซียน เพื่อใช้แข่งขันในระดับภูมิภาคของเราโดยเฉพาะ โดยอิงจากลักษณะร่วมของหมากรุกทั้งสามชาตินี้
ในฝั่งของจีนก็มีหมากรุกที่เรียกว่า เซี่ยงฉี ถึงแม้ว่าจะใช้วิธีเดินที่แตกต่างคือเดินบนจุดตัดเส้นกระดานแทนที่จะเป็นบนช่อง แต่ก็เป็นที่ยอมรับแม้แต่ในหมู่ชาวจีนว่ามาจากอินเดีย ส่วนเกาหลีมีหมากรุกเรียกว่าชางกี ซึ่งคล้ายหมากรุกจีนมาก และจนทุกวันนี้คนจีนกับเกาหลีก็ยังถกเถียงกันเองว่าเกมของใครเก่ากว่าใคร แต่ก็ยังไม่มีใครปฏิเสธเรื่องที่มีจุดกำเนิดจากอินเดีย ข้างญี่ปุ่นเองก็มีหมากรุกของเขาเรียกว่าโชกิ ซึ่งในบันทึกโบราณก็ระบุชัดเลยว่ารับมาจากจตุรงค์ของอินเดีย แต่เพิ่มตัวเดินและวิธีเดินให้หลากหลายมากขึ้น จนตอนนี้ถือเป็นเกมตระกูลหมากรุกที่ซับซ้อนที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ส่วนฝั่งอาหรับและเปอร์เซียก็มีเกมที่พัฒนาจาก Shatranj หลายแบบด้วยกัน และแพร่ไปถึงแอฟริกาตอนบน เช่นเอธิโอเปียด้วย
เรียกว่าเกมจตุรงค์ที่มีต้นกำเนิดมาจากอินเดียนั้น แตกแขนงไปทั่วสารทิศจนกลายเป็นวัฒนธรรมนานาชาติอย่างแท้จริงเลยทีเดียว
เป็นที่น่าเสียดายที่เราไม่อาจทราบชัดเจนว่ากติกาดั้งเดิมของจตุรงค์นั้นมีมาตรฐานอย่างไร เพราะหมากบางตัวเช่นตัวช้าง มีวิธีเดินหลายแบบแตกต่างกันไปตามแต่ละถิ่น ปัจจุบันนี้ต้องบอกว่าจตุรงค์อินเดียแบบดั้งเดิมไม่น่ามีคนเล่นมานานแล้ว เพราะขาดมาตรฐาน ขาดบันทึกเกม และเป็นเกมที่ค่อนข้างช้า (slow-paced) ถ้าเทียบกับหมากรุกสากลในปัจจุบัน คนอินเดียสมัยนี้หันไปเล่นหมากรุกสากลคือ chess กันหมด ส่วนหนึ่งคงเป็นอิทธิพลจากช่วงจักรวรรดิอังกฤษด้วย ดังที่เราเห็นในภาพยนตร์เรื่อง Shatranj ke Khilari นั่นเอง เกมที่ยังใกล้เคียงจตุรงค์ดั้งเดิมที่สุดที่ยังเหลืออยู่จึงน่าจะเป็นหมากรุกตระกูลอาเซียนนี่เอง
สุดท้ายนี้ใคร่ขอเสริมว่า ปัจจุบันอินเดียมีนักหมากรุกสากลอาชีพในระดับ Grandmaster ชาย 67 คน International Master ชาย 125 คน Grandmaster หญิง 20 คน International Master หญิง 42 คน และผู้เล่นระดับอื่นๆ ราวสามพันกว่าคน ในจำนวนนี้ ผู้ที่ก้าวขึ้นถึงจุดสูงสุดยังคงมีเพียงคนเดียวคือ Viswanathan Anand จากทมิฬนาฑูซึ่งเคยครองแชมป์โลกมาแล้วห้าสมัยในช่วงระหว่างปี 2000-2013 อันเป็นช่วงท็อปฟอร์มหรือเรียกได้ว่าจุดสูงสุดของอาชีพเขา เขาได้รับอิสริยาภรณ์ปัทมภูษัณในปี 2001 และในปี 2008 เขายังได้รับเกียรติถึงขั้นเป็นนักกีฬาคนแรกในประวัติศาสตร์อินเดียที่ได้รับอิสริยาภรณ์ปัทมวิภูษัณ อิสริยาภรณ์ชั้นสองที่เป็นรองเพียงแค่ภารตรัตนะเท่านั้น ปัจจุบันนอกจากอานันท์แล้ว มีนักหมากรุกอาชีพที่ได้รับรางวัลขั้นสูงถึงปัทมศรีอยู่อีก 4 คน และน่าสนใจยิ่งว่าทั้ง 4 คนล้วนเป็นหญิงทั้งหมด
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย