วันที่ 17 เมษายน 2564
"แพร-อิงครัตน์ ศิวเมธีวิทย์ เด็กไทยที่สนใจนาฏศิลป์อินเดีย"
เพลง Mohe Rang Do Laal
เพลงนี้มาจากภาพยนตร์เรื่อง Bajirao Mastani (2015) ประพันธ์ดนตรีโดย Sanjay Leela Bhansali ขับร้องโดย Pandit Birju Maharaj และ Shreya Ghoshal ผู้แสดงกถักนำในมิวสิกวิดีโอคือ Deepika Padukone (เหตุผลที่เลือกเพลงนี้เพราะในมิวสิกวิดีโอเป็นนาฏศิลป์กถัก)
ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยจัดการแสดงนาฏศิลป์อินเดียมาบ้างแล้วในอดีต หลายท่านที่ติดตามกิจกรรมศูนย์มาโดยตลอดจะรับทราบว่ามีเด็กไทยคนหนึ่งที่มุ่งมั่นจนไปเติบโตในสายนาฏศิลป์อินเดียแขนงที่เรียกว่า “กถัก” และมีระดับฝีมือที่เทียบชั้นได้กับชาวอินเดีย เธอคือ แพร ชื่อจริงว่า อิงครัตน์ ศิวเมธีวิทย์
เพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจให้ผู้ฟังทุกท่าน นาฏศิลป์อินเดียแบบคลาสสิกทุกแขนงนั้น มีรากฐานเดียวกันจากคัมภีร์โบราณที่มีชื่อว่า "นาฏยศาสตร์" รจนาโดยท่านภรตมุนีเมื่อช่วงระหว่าง 500 ปีก่อนคริสตกาล จนมาถึง ค.ศ. 500 สาเหตุที่ประมาณเวลาเป็นช่วงกว้างเช่นนั้น เพราะการรวบรวมเกิดขึ้นระหว่างนี้ อาจจะโดยหลายท่าน แต่ยกเครดิตให้ภรตมุนีท่านเดียว เพราะคัมภีร์สมัยนั้นเน้นที่การสร้างวิชาความรู้อันเป็นสาธารณะโดยไม่ต้องการครอบครองไว้ในชื่อคนเดียว ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้รับเครดิตจึงมักเป็นผู้มีชื่อเสียง (ส่วนหนึ่งเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือด้วย)
ปัจจุบันนาฏศิลป์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นมรดกแห่งชาติอินเดียมีกี่แบบ อยู่ในถิ่นไหนบ้าง
การจัดรูปแบบนาฏศิลป์สำคัญของอินเดียนั้น มีข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง บ้างก็กล่าวถึงเพียง 6 บ้างก็ว่า 8, 9 หรือ 11 ในที่นี้จะขออ้างอิงจากแหล่งที่เป็นทางการที่สุด คือจากที่ สังคีตนาฏักอคาเดมี (Sangeet Natak Akademi) หน่วยงานระดับชาติเกี่ยวกับนาฏศิลป์อินเดีย ซึ่งก่อตั้งโดยรัฐบาล ยอมรับและเผยแพร่ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมอินเดีย มีอยู่ 8 รูปแบบคือ
1. ภรตนาฏยัม (Bharatanatyam) แห่งรัฐทมิฬนาฑู
2. กถัก (Kathak) แห่งรัฐอุตตรประเทศ
3. กถกลิ (Kathakali) แห่งรัฐเกรละ
4. กุจิปุดิ (Kuchipudi) แห่งรัฐอานธรประเทศ
5. โอดิสสี (Odissi) แห่งรัฐโอฑิศา
6. สัตตริยะ (Sattriya) แห่งรัฐอัสสัม
7. มณิปุริ (Manipuri) แห่งรัฐมณิปุระ และ
8. โมหินิยัตตัม (Mohiniyattam) แห่งรัฐเกรละ
ส่วนรูปแบบอื่นๆ ที่มีผู้กล่าวถึงอีก รวมทั้งกระทรวงวัฒนธรรมเองด้วย ก็เช่น เชา (Chhau) ซึ่งมีสามรูปแบบย่อยในรัฐเบงกอลตะวันตก ฌาร์ขัณฑ์ และโอฑิศา ยักษคานะ (Yakshagana) ในรัฐกรรณาฏกะ และภควตะเมลา (Bhagavata Mela) ในรัฐทมิฬนาฑู เป็นต้น
กถัก มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต มีความสัมพันธ์กับศัพท์ที่ว่า กถา ซึ่งหมายถึงเรื่องราว เมื่อเราเติม ก เข้าไปข้างหลัง ก็จะได้ความหมายว่าผู้ทำกริยานั้นๆ ดังนั้น กถัก จึงมีความหมายว่า ผู้เล่าเรื่องราว
ที่นาฏศิลป์กถักได้ชื่อเช่นนี้ก็เพราะมีความเกี่ยวพันโดยตรงกับการถ่ายทอดตำนานและเรื่องราวของปกรณัม โดยนักเล่านิทานที่เดินทางไปทั่วแคว้นนั่นเอง อันเป็นรูปแบบตั้งต้นของกถักก่อนที่จะพัฒนามาเป็นนาฏศิลป์อย่างสำคัญในราชสำนักดังที่เห็นในปัจจุบัน
สัมภาษณ์ แพร-อิงครัตน์ ศิวเมธีวิทย์ เด็กไทยที่สนใจนาฏศิลป์อินเดีย "กถัก"

ปัจจุบันการแสดงกถักอย่างที่เรารู้จัก แบ่งเป็น 3 คารานะหรือ 3 สำนักใหญ่ๆ คือ 1) ลัคเนาว์ 2) จัยปูร์ หรือชัยปุระ 3) บานารัส หรือพาราณสี
ในสมัยก่อนศตวรรษที่ 15 ที่จักรวรรดิโมกุลเข้ามามีอำนาจปกครองเหนือฮินดูสถาน การแสดงกถักที่สืบทอดกันมาก่อนหน้าเป็น สำนักจัยปูร์ เน้นเล่าเรื่องเทพปกรณัมของศาสนาฮินดู เมื่อถึงยุคจักรวรรดิโมกุลเข้ามาในอินเดียก็เกิดพัฒนาการออกมาเป็น สำนักลัคเนาว์ ซึ่งผสมผสานกับระบำเปอร์เซียของชาวมุสลิม อันเป็นการเข้าถึงพระเจ้าของเขาอีกรูปแบบหนึ่งตามแนวคิดที่เรียกว่าซูฟี (ความเชื่อศาสนาอิสลามกระแสหลักมักไม่สนับสนุนดนตรีหรือการร่ายรำ นี่จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนความหลากหลายของความเชื่ออิสลาม) ปัจจุบันสำนักลัคเนาว์มีการแสดงเกี่ยวกับเทพเจ้าฮินดูมากขึ้นหลังจากช่วงยุคโมกุลเสื่อมลง ในส่วนสำนักบานารัส ก็เกิดขึ้นในสมัยโมกุล ซึ่งเป็นการผสมผสานศิลปะของทั้งจัยปูร์และลัคเนาว์เข้าด้วยกัน แต่จะเน้นไปทางลัคเนาว์มากกว่า
• เราได้ทราบประเด็นสำคัญว่า กถัก ก็แยกย่อยออกเป็นหลายสำนักดังข้างต้น อยากขอความรู้ว่า แต่ละสำนักมีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างไร แล้วที่แพรฝึกมาเป็นของสำนักใด
• ก่อนที่จะกล่าวถึงข้อแตกต่างของสำนักต่างๆ ขอพูดถึงการเต้นของอินเดีย โดยรากฐานแล้วมี 3 แบบ คือ 1) Natya เป็นการแสดงแนวละครเวที ละครร้อง 2) Nritta เป็นการเต้นแบบไม่มีความหมาย 3) Nritya เป็นการเต้นแบบมีความหมาย

ความต่างของทั้งสามคารานะ
1) สำนักจัยปูร์ เน้นการหมุน แข็งแรง และลักษณะการหมุนการใช้มือจะมีสองแบบ การท่องจังหวะจะมีความต่างจากคารานะอื่น เช่น การพูดปรัญอามัน
2) สำนักลัคเนาว์ สมัยก่อนเน้นการแสดงที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับเทพเจ้ามากนัก ถามว่ามีไหม ก็มี แต่น้อย จุดเด่นของการแสดงคือ ลักษณะการหมุน เน้นการใช้หน้าตามากกว่าจัยปูร์ การท่องจังหวะ มีความหวานมากกว่าสำนักจัยปูร์
3) สำนักบานารัส จะได้รับอิทธิพลทั้งสองสำนักคือ จัยปูร์และลัคเนาว์ แต่จะได้รับแนวลัคเนาว์มากกว่า และการแสดงส่วนใหญ่จะเน้นเล่นออกแนว Natya มากกว่า
• ส่วนการแต่งกายมีความต่างกันแต่ไม่มาก ปัจจุบันนี้มีความคล้ายคลึงกันมากขึ้น
• สำหรับสำนักที่แพรเรียนมาคือสำนักจัยปูร์
• อยากให้เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัว เพื่อใเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้รักจะเดินเส้นทางเดียวกัน เหตุใดแพรจึงเลือกศึกษากถัก เมื่อได้เรียนแล้วมีความประทับใจอย่างไร มีความยากลำบากอย่างไร
• หากผู้ฟังสนใจศึกษากถักต้องทำอย่างไร
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย