มิลขา สิงห์: ซิกข์เหินหาว
770 views
0
0

เพลง NANHA MUNNA RAHI HOON
ขับร้องโดย Shanti Mathur เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Son of India (1962) ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย Mehboob Khan

มิลขา สิงห์

ติดเชื้อโควิดเดือนก่อน และในที่สุดก็ถึงแก่กรรมจากโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ สิริอายุ 91 ปี ก่อนหน้านี้ นิรมัล กอร์ ภรรยาของมิลขา สิงห์ ซึ่งเคยเป็นกัปตันทีมวอลเลย์บอลหญิงก็จากไปด้วยโควิด สิริอายุ 85 ปี

มิลขา สิงห์ ถือเป็นนักวิ่งคนสำคัญของอินเดีย ไม่ใช่เพียงเพราะความสามารถในการวิ่ง แต่เขายังถือเป็นตัวแทนเรื่องราวเกี่ยวกับอินเดียด้วย

ความสามารถด้านการวิ่งของมิลขา สิงห์ นั้นเป็นที่ประจักษ์จากรางวัลต่างๆ ที่เขาได้รับ ชนะ 5 เหรียญทอง ได้รับรางวัล Helms World Trophy ในปี 1959 คือได้รับรางวัล 77 รางวัลจากการแข่งขันระดับระหว่างประเทศ 80 ครั้ง หนึ่งในนั้นที่สำคัญคือการแข่งขัน Commonwealth ในปี 1958 ที่อินเดียได้รับโอกาสจัดเป็นครั้งแรก ครั้งแรกของอินเดียไม่ใช่ Commonwealth ครั้งแรก

เราจะเข้าใจเรื่องการวิ่งของเขาโดยปราศจากความเข้าใจในการที่เขากลายเป็นตัวแทนเรื่องราวเกี่ยวกับอินเดียไม่ได้เลย ทั้งสองเรื่องสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นขอให้อาจารย์ช่วยเล่าประวัติคร่าวๆ ด้วยครับ

เรื่องราวแต่หนหลัง

มิลขา สิงห์ เกิดและเติบโตในสมัยที่อังกฤษครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของอนุทวีปอินเดีย บ้านเกิดของเขาคือหมู่บ้านเล็กในเมือง Multan ซึ่งหลังจากปี 1947 อยู่ในฝั่งปากีสถาน การแบ่งแยกประเทศดังที่เราทั้งสองได้พูดกันมาหลายครั้งแล้ว เป็นการแบ่งแยกประเทศที่นองเลือด ฮินดูกับซิกข์ฝ่ายหนึ่ง มุสลิมอีกฝ่ายหนึ่งฆ่ากันตายจำนวนมาก

ในช่วงการแบ่งแยก สิ่งที่ครอบครัวของมิลขา สิงห์เผชิญนั้น เป็นโศกนาฏกรรมที่สุดจะบรรยาย ครอบครัวของเขาไม่ยอมเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ยอมหนีไปอินเดีย เพราะผู้นำครอบครัวไม่ต้องการทั้งเปลี่ยนศาสนา และทิ้งผืนดินของครอบครัวและบรรพบุรุษ

ครอบครัวของมิลขา สิงห์ถูกฆ่าตายหมด เหลือเพียงแค่ตัวเขาและพี่สาวเขาที่แต่งงานแล้ว พี่เขยพาพี่สาวและน่าจะรวมถึงครอบครัวของพี่เขยหนีเข้าอินเดีย

แต่มิลขา สิงห์ไม่ได้หนีกับพี่สาวและพี่เขย เขาพยายามจะอยู่กับครอบครัวของเขา แต่ก่อนพ่อของเขาจะล้มลงก่อนตาย ก็ตะโกนให้มิลขา สิงห์ วิ่งหนีไป ประโยคที่พ่อตะโกนก็คือ "Bhaag Milkha Bhaag" แปลเป็นไทยอย่างตรงไปตรงมาก็คือ "วิ่ง มิลขา วิ่ง"

วิ่ง มิลขา วิ่ง | Bhaag Milkha Bhaag

คือชื่อภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากชีวิตของเขา ฉายในปี 2003 กำกับโดย Rakeysh Omprakash Mehra นำแสดงโดย Farhan Akhtar, Sonam Kapoor และ Pawan Malhotra

หลังจากผ่านไปสักพัก มิลขา สิงห์ก็กลับไปที่บ้าน แต่ก็พบศพของทุกคนกองรวมกันอยู่หลังบ้าน หลายคนมองว่าการวิ่งของมิลขา สิงห์ คือการวิ่งเพื่อเอาชีวิตรอดในตอนแรก และต่อมาคือวิ่งเพื่อรางวัล แต่สำหรับชาวอินเดียจำนวนไม่น้อย การวิ่งที่ว่าหมายถึงอินเดียที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าด้วย

อยู่ค่ายในฝั่งอินเดีย

หลังจากไปอยู่ค่ายในฝั่งอินเดียเพื่อจัดการให้ผู้ที่หนีมาจากปากีสถานได้พบญาติมิตรของตน มิลขา สิงห์อยู่คนเดียว ตอนนั้นอายุเขาน่าจะประมาณ 10-12 ปี ระหว่างอยู่คนเดียวก็เรียนรู้อะไรหลายอย่าง และแล้วก็ได้เจอพี่สาวและพี่เขยของตนในค่ายนี้

พี่สาวของมิลขา สิงห์ชื่ออิสรี มิลขา สิงห์รักพี่สาวมาก รักตั้งแต่สมัยที่อยู่ใน Multan แต่มิลขา สิงห์ไม่ชอบพี่เขย เพราะพี่เขยทำร้ายพี่สาวในค่าย มีอยู่ครั้งหนึ่งมิลขา สิงห์ถึงกับชกต่อยกับพี่เขยของตน ทั้งที่พี่เขยตัวโตกว่าเยอะ

ชีวิตของมิลขา สิงห์เป็นไปอย่างยากลำบากมาก เขาถูกรังแกจากเด็กคนอื่น แต่ในที่สุดเขาก็สู้และเริ่มเข้ากลุ่มคนไม่ดี ชอบขโมยของ มิลขา สิงห์ร่วมกับกลุ่มนี้ขโมยถ่านหินบนรถไฟ เริ่มใช้มีดในการปกป้องตนเอง ครั้นเมื่อพี่สาวและพี่เขยย้ายออกจากค่าย ก็พามิลขา สิงห์ไปอยู่ด้วย แต่มิลขา สิงห์ ก็ยังไม่เลิกการลักขโมย

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของมิลขา สิงห์เปลี่ยนไป คือเขาไปหลงรักหญิงคนหนึ่ง แม้หญิงคนนั้นก็รักเขาเช่นกัน แต่เธอก็ไม่สบายใจกับมิลขา สิงห์ที่ลักขโมย และอยู่ไปวันๆ ไม่มีหน้าที่การงาน

ค้นพบแรงจูงใจ

มิลขา สิงห์จึงตัดสินใจเข้าไปเป็นทหารเกณฑ์ ทหารได้ฝึกวินัยให้เขา ขณะเดียวกันทหารก็ต้องการนักกีฬาด้วย ทหารสร้างแรงจูงใจที่สำคัญเพื่อคัดเลือกบุคคลที่จะมาเป็นนักกีฬา หนึ่งในแรงจูงใจที่ว่าคือ หากใครได้รับคัดเลือกให้เป็นนักกีฬา จะได้ดื่มนม 1 แก้ว และได้รับไข่ไก่ 2 ฟองทุกวัน พร้อมกันนี้ผู้ที่ได้รับคัดเลือกก็ไม่ต้องทำหน้าที่กิจวัตรอันเหน็ดเหนื่อยด้วย มิลขา สิงห์รู้สึกชอบแรงจูงใจนี้มาก และตัดสินใจวิ่งอย่างจริงจัง ในภายหลังการวิ่งของเขาได้รับแรงกระตุ้นมาจากความคาดหวังว่าตนจะได้ใส่เสื้อที่มีสัญลักษณ์อินเดียติดอยู่ตรงกระเป๋าด้านซ้ายด้วย ซึ่งกว่าจะวิ่งเก่งอย่างมีวินัยและเป็นระบบก็ใช้เวลาไม่น้อยเลย

ในสมัยนั้นอีกเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลายคนที่ไม่ได้รับการฝึกฝนให้วิ่งอย่างเป็นทางการคือ การใช้เวลาเปลี่ยนจากการวิ่งเท้าเปล่ามาวิ่งแบบใส่รองเท้า แต่มิลขา สิงห์เคยกล่าวไว้ว่า "I would not stop till I had filled up a bucket with my sweat." (ผมจะไม่หยุดวิ่ง จนกว่าเหงื่อจะเต็มหนึ่งถัง)

มิลขา สิงห์ไม่ได้แค่เผชิญความทรหดอดทนทางกายเท่านั้น เขาต้องอดทนกับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นทางจิตใจด้วย ในค่ายทหารก็ถูกกลั่นแกล้งด้วย

ครั้นเมื่อเขาเริ่มประสบความสำเร็จแล้ว เขาก็กลับไปหาพี่สาวที่เขารักมากเป็นพิเศษ และแวะไปหาหญิงคนที่เขารัก ทว่าหญิงคนนั้นแต่งงานไปแล้ว ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจ ท่านผู้ฟังอาจจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับมิลขา สิงห์ หรือชมภาพยนตร์ Bhaag Milkha Bhaag ที่ได้กล่าวถึงแล้ว

ฉายา ซิกข์เหินหาว

เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ฟังคงอยากทราบคือ ฉายา "ซิกข์เหินหาว" ของมิลขา สิงห์ได้มาอย่างไร

เรื่องมีอยู่ว่า ปากีสถานกับอินเดียพยายามที่จะปรับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองให้ดีขึ้นโดยการแข่งขันกีฬา นายกรัฐมนตรีเนห์รูตอบตกลงและมั่นใจว่า มิลขา สิงห์ จะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วย ทว่ามิลขา สิงห์ไม่ยอมตอบรับ แต่แล้วนายกเนห์รูก็ได้พยายามให้มิลขา สิงห์มาพบ เนห์รูกล่อมมิลขา สิงห์จนสำเร็จ มิลขา สิงห์และคนอื่นๆ เดินทางไปปากีสถาน

ตามเนื้อหาในภาพยนตร์ ระหว่างพักอยู่ในโรงแรม มิลขา สิงห์ ไม่อยู่ในงานแถลงข่าว เขาเดินทางไปยังบ้านเกิดของเขา มิลขา สิงห์ ร้องไห้ และเด็กเล็กคนหนึ่งเข้ามปลอบเขา อีกไม่นานนักก็จะรู้ว่า เด็กที่เข้ามาปลอบเขาคือลูกเพื่อนสนิทในวัยเด็ก เพื่อนบอกในทำนองว่า ใช่ เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น แต่ผู้คนที่เลวร้ายเหล่านั้นก็เป็นผลผลิตของบริบทขณะนั้น ไม่ใช่ทุกคนด้วยที่ไม่ดี ครูชาวมุสลิมก็เลี้ยงผมมา

ในการแข่งขันวิ่งที่ปากีสถาน มิลขา สิงห์ ชนะทิ้งห่างนักวิ่งชาวปากีสถาน ตอนรับรางวัล พลเอก Ayub Khan กล่าวต่อมิลขา สิงห์ว่า ปากีสถานขอมอบฉายา "The Flying Sikh" หรือ "ซิกข์เหินหาว" ให้แก่มิลขา สิงห์

ชีวิตของมิลขา สิงห์ หรือการเดินทางชีวิตของเขา เปรียบเสมือนการเดินทางชีวิตของอินเดีย
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย