วันที่ 24 กรกฎาคม 2564
เพลง Chale Siddharth Bhatke Van Mein (ไปเถิดสิทธัตถะ ท่องไปในป่าเปลี่ยว)
เพลงนี้มาจากภาพยนตร์เรื่อง A Journey of Samyak Buddha (2013) นำแสดงโดย Abhishek Urade, Geeta Agrawal, Mrinal Pendharkar เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือของบาบาซาเฮบ อัมเบดการ์ เรื่อง The Buddha and His Dhamma
เนื้อหาภาพยนตร์กล่าวถึงพุทธประวัติตั้งแต่ช่วงต้นคือช่วงที่ดำรงพระยศเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแห่งราชสกุลศากยวงศ์และอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธรา ปมปัญหาในพระทัย การตัดสินพระทัยออกบวช การเดินทางและค้นคว้าทดลองเพื่อแสวงหาความจริง ไปสู่การตรัสรู้และสั่งสอนในฐานะศาสดาผู้เผยแพร่ธรรมะแห่งความรัก ความไม่เบียดเบียน และความเสมอภาคในมวลมนุษย์ จวบจนช่วงบั้นปลายแห่งพระชนมชีพ
วันนี้เป็นอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันเพ็ญเดือนแปดตามปฎิทินทางจันทรคติ ชาวพุทธนิกายเถรวาท โดยเฉพาะในไทย พม่า ลาว กัมพูชา ศรีลังกา ต่างระลึกถึงวันสำคัญนี้ในฐานะวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาคือพระธรรมคำสั่งสอนครั้งแรกที่เรียกว่า “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” ให้แก่บรรดานักบวชปัญจวัคคีย์ จนกระทั่งหัวหน้าปัญจวัคคีย์ชื่อโกณฑัญญะเกิดเลื่อมใส ได้ทูลขอบวช กลายเป็นพระภิกษุสาวกองค์แรก ทำให้เกิดมีพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครบองค์เป็นครั้งแรก
สำหรับเรื่องราวที่ปรากฏในพุทธประวัติ คิดว่าโดยส่วนใหญ่คงทราบกันดี เพราะได้เรียนรู้กันมาโดยตลอดจากหลักสูตรที่โรงเรียน อย่างไรก็ดี สิ่งที่รายการปกิณกะอินเดียจะนำเสนอในวันนี้คือเรื่องราวของ สารนาถ สถานที่ทางประวัติศาสตร์อันเป็นจุดที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา อันเรียกได้ว่าเป็นปฐมบทแห่งพุทธศาสนานั่นเอง
ผู้ฟังหลายท่านคงคุ้นเคยชื่อสารนาถดีแล้ว ไม่ว่าจะเคยไปเยี่ยมเยียนหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้เพราะสารนาถเป็นหนึ่งในสังเวชนียสถานทั้งสี่ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทย ณ ที่นี้ขอเกริ่นนำสักเล็กน้อยว่า สังเวชนียสถานทั้งสี่คือสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ อันเป็นจุดเคารพสักการะและระลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้งสี่แห่ง ได้แก่
1. สถานที่ประสูติ คือ ลุมพินีวัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอำเภอไภระวา แคว้นอูธ ประเทศเนปาล เป็นแห่งเดียวจากสี่แห่งที่อยู่นอกประเทศอินเดีย
2. สถานที่ตรัสรู้ คือ โพธคยา ปัจจุบันอยู่เมืองคยา รัฐพิหาร เป็นสังเวชนียสถานที่สำคัญที่สุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดสำหรับชาวพุทธทั่วโลก จุดสำคัญในโพธคยาที่ใคร ๆ ก็ต้องไปสักการะ คือองค์มหาโพธิเจดีย์
3. สถานที่แสดงปฐมเทศนา คือ สารนาถ เมืองพาราณสี รัฐอุตตรประเทศ ซึ่งเราจะเล่าโดยละเอียดต่อไปในรายการวันนี้
4. สถานที่ปรินิพพาน คือ กุสินารา ในรัฐอุตตรประเทศ จุดสำคัญคือมหาปรินิพพานวิหารในสาลวโนทยานหรือสวนป่าต้นสาละ
บริเวณที่เรียกว่าสารนาถในปัจจุบันนั้น ในสมัยพุทธกาลมีชื่อว่า อิสิปตนมิคคทายวัน ในภาษาบาลี หรือ ฤษิปตนมฤคทายวัน ในภาษาสันสกฤต สาเหตุที่ได้ชื่อดังกล่าวเพราะเป็นป่าที่มีกวางชุกชุมและเป็นที่เหล่าฤษีและนักพรตนานานิกายมาชุมนุมกันบำเพ็ญตบะและโยคะเพื่อให้เข้าถึงพรหมัน ตามความเชื่อจากคัมภีร์อุปนิษัทของพราหมณ์ นี่เป็นสาเหตุที่เมื่อปัญจวัคคีย์แยกทางกับพระพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้ เพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน จึงได้หนีมาบำเพ็ญเพียรต่อที่นี่
นอกจากนี้ทางพุทธยังมีความเชื่อเพิ่มเติมด้วยว่าอาณาบริเวณในป่าแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของเหล่าปัจเจกพุทธะ 500 พระองค์ในอดีตกาล ส่วนชื่อเรียกที่ว่า สารนาถ นั้นสันนิษฐานว่าได้จากชื่อเทพท้องถิ่นว่า สารังคนาถ ที่มีความหมายว่า “เจ้าแห่งกวาง” ก็สอดคล้องกับความเป็นมาที่ว่าเป็นที่อยู่แห่งกวางอีกเช่นกัน
ตำแหน่งที่ตั้งของสารนาถ
อยู่เลียบฝั่งตะวันตกของแม่น้ำคงคา ห่างจากตัวเมืองพาราณสี ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญแห่งหนึ่งของศาสนาฮินดู ขึ้นไปทางเหนือเพียงไม่ถึงสิบกิโลเมตร สมควรกล่าวในที่นี้ด้วยว่า ระยะทางจากโพธคยาอันเป็นสถานที่ตรัสรู้ไปจนถึงสารนาถ เส้นทางเดินปัจจุบันที่ดูจะตรงที่สุดคือ 235 กิโลเมตร จากการคำนวณของแผนที่กูเกิลใช้เวลาเดิน 48 ชั่วโมง (ฝีเท้าคงที่และไม่หยุดพัก) ซึ่งหากเป็นสมัยพุทธกาลที่ทางเดินไม่สะดวกอย่างปัจจุบัน น่าจะต้องอ้อมและต้องหยุดพักแรมบ่อยๆ คงไม่แปลกที่พระพุทธเจ้าจะใช้เวลาเดินทางนานนับสัปดาห์ วันที่ตรัสรู้กับแสดงปฐมเทศนาจึงห่างกัน 2 เดือนพอดี
สาเหตุที่พระพุทธเจ้าเลือกเสด็จมาสารนาถ
มีข้อสันนิษฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่าเป็นเพราะอยู่ใกล้พาราณสีซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญของเหล่านักบวชนานาสำนัก การมาเผยแพร่ความคิดของพระองค์ในที่แห่งนี้จึงนับได้ว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อชนหมู่มากที่สุด

ได้รับการเผยออกมาโดยนักสำรวจชาวตะวันตก กล่าวคือใน ค.ศ. 1815 พันตรีคอลิน แมคเคนซี ผู้อำนวยการรังวัดคนแรกของอินเดียในยุคบริติชราช ผู้ค้นพบโบราณสถานฮัมปีในกรรณาฏกะด้วย ได้ขุดค้นบริเวณสารนาถเป็นครั้งแรก ตามมาด้วยอเล็กซานเดอร์ คันนิงแฮมในปี ค.ศ. 1835-36 ซึ่งทำให้ค้นพบโบราณสถานและโบราณวัตถุสำคัญหลายชิ้น และอีกหลายต่อหลายครั้งที่ตามมา ส่วนใหญ่โดยนักสำรวจชาวตะวันตก จนมาถึงการขุดค้นใหญ่ครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 1921-22 โดย ราย บาฮาดูร์ ดายา ราม ซาห์นี นักโบราณคดีชาวปัญจาบ ผู้อำนวยการคนแรกของ ASI (Archaeological Survey of India)
[ หลงเหลือมาจากสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ]
สิ่งที่พบเห็นอยู่ในสารนาถปัจจุบัน หลงเหลือมาจากสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์เมารยะ ช่วงศตวรรษที่ 3 หลังพุทธกาล หรือประมาณ 260 ปีก่อนคริสตศักราช หลังจากมหาสงครามแห่งกลิงคะ พระเจ้าอโศกทรงรับพุทธศาสนา แล้วจึงทรงบัญชาให้ก่อสร้างอนุสรณ์สถานขึ้นหลายจุดในบริเวณสารนาถ เช่น ธรรเมกขสถูป เป็นสถูปประธานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาบริเวณ เชื่อว่าเป็นจุดที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา สถูปองค์นี้ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ในสภาพดี เพราะได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์หลังจากการสร้างครั้งแรก โดยองค์ปัจจุบันคะเนว่าสร้างแทนองค์เก่าเมื่อประมาณปี ค.ศ. 500
ธรรมราชิกสถูป
นอกจากนี้ยังมีธรรมราชิกสถูป เชื่อกันว่าเป็นจุดที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรโปรดภิกษุปัญจวัคคีย์ให้บรรลุอรหันต์ พระเจ้าอโศกโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่น่าเศร้าที่เมื่อประมาณคริสตศตวรรษที่ 18 สถูปแห่งนี้ถูกบาบูชคัตสิงห์ผู้ว่าการพาราณสีภายใต้ราชาเจตสิงห์ รื้อทำลายเพื่อนำวัสดุไปก่อสร้างตลาดเจตสิงห์ ปัจจุบันจึงยังคงปรากฏอยู่เพียงส่วนฐานรากเท่านั้น
เสาอโศก
ที่สำคัญอีกประการคือโปรดให้สร้างเสาอโศก หรือ อโศกสตัมภะ หรือที่พระองค์เองทรงเรียกว่า ธรรมสตัมภะ เป็นหมู่เสาที่ก่อสร้างกระจายไปทั่วอนุทวีปอินเดีย เพื่อเผยแพร่พระบรมราชโองการ สำหรับต้นที่ค้นพบที่สารนาถนั้น ตั้งอยู่ทิศตะวันตกของมูลคันธกุฎีวิหาร อันเป็นอนุสรณ์สถานอีกแห่งที่ก่อสร้างขึ้นในสมัยคุปตะ เสาอโศกแห่งสารนาถเป็นเสาอโศกต้นที่มีชื่อเสียงที่สุดในอินเดีย มีจารึกสำคัญปรากฏอยู่บนเสาต้นนี้ถึงสามสมัย ได้แก่จารึกพระเจ้าอโศกมหาราชสมัยราชวงศ์เมารยะ จารึกพระเจ้าอัศวโฆษแห่งกรุงโกสัมพีสมัยราชวงศ์กุษาณะ และจารึกสุดท้ายในสมัยราชวงศ์คุปตะ คือประมาณคริสตศตวรรษที่ 3
หัวเสาอโศกแห่งสารนาถ
สิ่งสำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือหัวเสาอโศกแห่งสารนาถเป็นรูปสิงห์สี่ตัวยืนหันหลังชนกัน หันหน้าไปทางทิศทั้งสี่ ภายใต้มีวงแหวนที่ประดับด้วยธรรมจักรโดยรอบ หัวเสานี้ในภายหลังได้กลายเป็นตราแผ่นดินอินเดีย และแม้แต่ในประเทศไทย พญามังรายกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาช่วงประมาณ พ.ศ. 1800 ก็โปรดให้จำลองมาประดิษฐานไว้ในวัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน
ขอเสริมด้วยว่าบรรดาเสาอโศกทั่วอินเดียนั้นจะมีหัวเป็นรูปสัตว์แตกต่างกัน บ้างเป็นสิงห์สี่ตัว บ้างเป็นสิงห์เดี่ยว เป็นช้าง หรือวัว แต่มีเพียงบางเสาเท่านั้นที่สัตว์เหล่านี้ยังประดับอยู่บนยอด หลายต่อหลายต้นถูกจักรพรรดิราชวงศ์โมกุลสั่งให้ชะลอหัวเสาลงมาแล้วเก็บไว้ที่อื่น เพราะการมีรูปสัตว์อยู่บนยอดเสานั้นขัดกับคติอิสลาม
พระภิกษุฝาเสี่ยนหรืออินเดียเรียกฟาเหียน เดินทางจากจีนมายังชมพูทวีปในปี ค.ศ. 390 รัชสมัยพระเจ้าจันทรคุปตะที่ 2 ได้รายงานว่ามีสถูปสี่แห่ง วัดสองแห่ง ต่อมาจักรวรรดิคุปตะอ่อนแอ สถานที่เหล่านี้ถูกทำลายไปบ้าง และได้รับการบูรณะอีกครั้งในรัชสมัยพระเจ้าหรรษะวรรธนะช่วงหลัง ค.ศ. 600 พระภิกษุจีนอีกองค์คือพระถังซัมจั๋งเดินทางมาในช่วงนี้ รายงานว่าได้เห็นธรรมราชิกสถูปและเห็นเสาอโศกซึ่งยังคง “มันวับราวกับกระจกเงา” นอกจากนี้ยังมีวิหารขนาดใหญ่ มีพระภิกษุถึงราวพันห้าร้อยรูป
สารนาถยังคงรุ่งเรืองในสมัยราชวงศ์ปาละช่วงคริสตศตวรรษที่ 8
แต่ได้รับความเสียหายบ้างในปี ค.ศ. 1017 เมื่อเมืองพาราณสีถูกโจมตีจากมะห์มูดแห่งฆอซนี หลังจากนั้นมีการบูรณะและก่อสร้างอนุสรณ์สถานเพิ่มเติมอีกเป็นต้นว่า ธรรมจักรชินวิหาร สร้างโดยพระนางกุมาราเทวีในสมัยพระเจ้าโควินทจันทระช่วงคริสตศตวรรษที่ 12 และเจาขัณฑีสถูปสร้างโดยโควรรธันใน ค.ศ. 1588 ตรงกับสมัยโมกุล เพื่อระลึกโอกาสที่จักรพรรดิหุมายุนเสด็จมาเยือนสารนาถ
ฟื้นฟูสารนาถในฐานะที่แสวงบุญของชาวพุทธ
บุคคลหลังสุดที่เรียกร้องให้ฟื้นฟูสารนาถในฐานะที่แสวงบุญของชาวพุทธ คือ ภิกษุอนาคาริก ธรรมปาละ ชาวศรีลังกา ผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดคนหนึ่งในการฟื้นฟูพุทธศาสนาในอินเดียผ่านการต่อสู้เรียกร้องอย่างเข้มข้น ปัจจุบันสารนาถจึงได้รับการดูแลจากรัฐบาลอินเดียอย่างดี พร้อมกันนี้รัฐบาลอินเดียได้เลี้ยงกวางไว้เป็นจำนวนมากเพื่อระลึกถึงการที่สารนาถเคยเป็นป่ากวางในอดีตด้วย
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย