วันที่ 31 กรกฎาคม 2564
เพลง Duniya Mein Hum Aaye Hain (ก็ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่)
เพลงนี้มาจากภาพยนตร์เรื่อง Mother India ชาวไทยที่อายุมากหน่อยก็จะรู้จักภาพยนตร์นี้ในนาม ธรณีกรรแสง ภาพยนตร์ Mother India กำกับโดย Mehboob Khan ดารานำคือ Nargis, Sunil Dutt, Rajendra Kumar และ Raaj Kumar เพลงนี้ขับร้องโดย Lata Mangeshkar, Meena Mangeshkar และ Usha Mangeshkar
ที่วันนี้เลือกเปิดเพลงนี้ก็เพราะที่อินเดียมีข่าวใหญ่อยู่เรื่องหนึ่งคือ ราช โกศล (Raj Kaushal) คนสร้างภาพยนตร์อายุ 49 ปี หัวใจวาย เสียชีวิตกะทันหันในวันที่ 30 มิถุนายน 2021 การที่เขาจากไปด้วยอายุไม่มาก นับว่าเป็นเรื่องโศกเศร้า แต่ที่เป็นข่าวคือ มณฑิรา เบดี (Mandira Bedi) ภรรยาของคุณราช โกศล ได้ประกอบพิธีเผาศพด้วยตัวเธอเอง
การประกอบพิธีเผาศพนี้ส่วนใหญ่ที่เห็นกันโดยทั่วไปจะเป็นบุตรหรือญาติพี่น้องของผู้ตาย และ "ต้อง" เป็นชาย ที่ใช้คำว่า "ต้อง" เพราะพราหมณ์จำนวนมากจะไม่ให้ผู้หญิงเป็นคนจุดไฟเผาศพ
กรณีการเผาศพคุณราช โกศลที่จากโลกไปอย่างฉับพลัน ผู้คนก็เห็นวิดีโอคลิปที่แชร์และแพร่กระจายกันมากมาย คือ คุณมณฑิรา เบดี เป็นผู้จุดไฟเผาศพ อีกมือก็ถือหม้อดินเผาตามขนบที่ทำกันมา เมื่อข่าวนี้กระจายไป หลังจากพิธีเผาศพเสร็จสิ้นไปสักพักหนึ่งแล้ว ก็มีเสียงชื่นชมและวิพากษ์วิจารณ์เธออย่างมาก

จริงๆ แล้ว สิ่งที่มณฑิรา เบดี ได้กระทำไปนั้นหาใช่เรื่องใหม่ มีผู้คนจำนวนหนึ่งที่อาจไม่ต้องการท้าทายขนบปฏิบัติอะไร ทว่าบ้านเขาไม่มีเพศชายที่จะประกอบพิธีเผาศพแล้ว ในช่วงโควิดนี้ก็เห็นอยู่บ้าง แม้แต่คนประกอบพิธีเผาศพนายอตัล พิหารี วัชปายี อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้นำพรรคภารตียชนตา ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมฮินดูก็คือ Namita Kaul Bhattacharya ลูกสาวบุญธรรมของอดีตนายกฯ
ลองดูคำชื่นชม ซึ่งตัวอย่างที่เรายกมาวันนี้เป็นข้อความของ Shobhaa De นักเขียนผู้ซึ่งเคยมาร่วมกิจกรรมที่จัดโดยศูนย์อินเดีย จุฬาฯ ด้วย เหตุที่ยกข้อความของมาเพียงตัวอย่างเดียวเพราะสะท้อนข้อความของผู้คนที่ชื่นชมเธอได้เกือบทั้งหมด เธอเขียนว่า
"การที่มณฑิราผู้เต็มไปด้วยความโศกเศร้าได้ประกอบพิธีส่งสามีเป็นครั้งสุดท้ายนั้น ได้ท้าทายขนบคร่ำครึที่ครอบงำสังคมเรามาเป็นเวลานานนับศตวรรษ ทั้งได้ส่งสารอันเปี่ยมด้วยพลังและแข็งแกร่งเพื่อต่อต้านระบบปิตาธิปไตยอีกด้วย เมื่อเบดีจุดไฟขึ้นบนเชิงตะกอนของสามีเธอในสัปดาห์นี้ เธอหารู้ตัวไม่ว่าตนเองกำลังจุดดวงไฟขึ้นอีกนับไม่ถ้วนในหัวใจของเหล่าบุรุษสตรีผู้เชื่อมั่นในตนเอง และมิได้เชื่อถือขนบที่คอยฉุดรั้งสังคมของเราไว้นานนับศตวรรษ โซ่ตรวนแห่งขนบเหล่านั้นได้ขาดออกในทันที ยามเมื่อเปลวไฟจากเชิงตะกอนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า"
ประเด็นสำคัญที่สะท้อนจากข้อความของ Shobhaa De คือ ขนบความคิดหรือการปฏิบัติที่ล้าหลังอันสื่อถึงสังคมที่ชายเป็นใหญ่ และการกระทำนี้จะเป็นแรงบันดาลใจอีกหลายคนทำตาม
คนที่วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเบดีหรือตัวของเธอ ส่วนใหญ่มาจากพราหมณ์หลายคน บางคนบอกด้วยว่า ลูกชายวัย 10 ขวบควรเป็นผู้ประกอบพิธีเผาศพต่างหาก บนอินเตอร์เน็ตปรากฏทฤษฎีพิลึกพิลั่นอยู่มากมาย เช่นที่กล่าวว่า “บรรดาผู้หญิงที่มีผมสีดำยาวสลวย จะถูกพวกสัมภเวสีที่มาเร่ร่อนตามสถานที่เผาศพเข้าสิงได้ง่าย”
ตรงนี้ก็นำไปสู่ความต้องการที่จะรู้ว่า แท้จริงแล้วศาสนาฮินดูต้องห้ามไม่ให้เพศหญิงประกอบพิธีเผาศพหรือไม่
นักบวชฮินดูและนักวิชาการทางศาสนาบางคนกล่าวว่าในคัมภีร์ต่างๆ นั้นไม่มีข้อห้ามว่าด้วยการที่ผู้หญิงจะไปเยี่ยมบริเวณสถานที่ประกอบพิธีเผาศพ หรือแม้แต่จะเป็นผู้ประกอบพิธีส่งคนรักของพวกเธอเป็นครั้งสุดท้าย
• นักวิชาการบางคนกล่าวว่า เหตุผลเบื้องหลังการห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้ามาในสถานที่ประกอบพิธีนั้นน่าจะเป็นเรื่องทางโลกมากกว่าทางธรรม คือโดยส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงจะเป็นผู้อยู่บ้านและดูแลการบ้านการเรือนมากกว่า ในขณะที่ผู้ชายจะทำงานนอกบ้าน และรับภาระงานที่เกี่ยวข้องกับการยกหรือแบกหามของหนักๆ ทั้งหลาย ซึ่งการจัดพิธีศพก็มีลักษณะดังกล่าวด้วย
• นักวิชาการบางคนก็กล่าวว่า ในตัวบทคัมภีร์โบราณก็มีจุดที่อ้างถึงบรรดาสตรีที่ประกอบพิธีศพให้สามีของตน ถ้าบุคคลผู้นั้นเสียชีวิตลงโดยปราศจากบุตรชายหรือญาติพี่น้องที่เป็นผู้ชาย พวกเขากล่าวว่า แม้แต่บุตรสาวก็มีสิทธิในการประกอบพิธีศพเช่นกัน
• บ้างก็ว่า ความเชื่อปัจจุบันที่ว่าพิธีศพจะต้องประกอบโดยบุตรชายคนโตของผู้ตายนั้น มีรากเหง้าปรากฏอยู่ในคัมภีร์ที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ คัมภีร์เก่าแก่ทางศาสนาฮินดูเล่มนี้เชื่อกันว่ามีอายุเกินกว่าหนึ่งพันปี เนื้อหาโดยรวมมีหลากหลายและกว้างขวางมาก แต่มีส่วนหนึ่งของคัมภีร์นี้ ชื่อบทว่า “เปรตขัณฑ์” กล่าวถึงจำเพาะการประกอบพิธีศพและทำบุญอุทิศคนตาย ทว่าอย่างไรก็ตาม คัมภีร์เล่มนี้ก็ไม่ได้กล่าวถึงบทบาทของบรรดาสตรีเลย และก็หาได้ห้ามปรามพวกนางจากการเข้าร่วมพิธีศพแต่อย่างใดไม่
1. การศึกษาศาสนาก็สำคัญนะ แต่การศึกษาการเมืองของศาสนาก็สำคัญมาก
2. สังคมไม่เคยหยุดนิ่ง ฉะนั้นแล้ว การตีความศาสนาหรือการนำศาสนามาใช้ในเชิงปฏิบัติก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
3. เราต้องมองข่าวแบบนี้ ไม่ใช่เน้นที่ข้อมูลข่าวสาร หรือ information อย่างเดียว จำต้องเน้นไปที่ความรู้หรือ intelligence ด้วย กล่าวคือ ข้อมูลเหล่านี้บ่งบอกอะไรเกี่ยวกับอินเดีย มันบอกอะไรเกี่ยวกับทิศทางหรืออนาคตของอินเดีย
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย