เพลง Sawan Ka Mahina
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Milan ฉายในปี ค.ศ. 1967 ขับร้องโดย Mukesh และ Lata Mangeshkar สาเหตุที่เราเลือกเพลงนี้ก็เพราะช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน
เพลง Sawan Ka Mahina
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Milan ฉายในปี ค.ศ. 1967 ขับร้องโดย Mukesh และ Lata Mangeshkar สาเหตุที่เราเลือกเพลงนี้ก็เพราะช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน
ที่สำรวจก็เพราะต้องการข้อมูลในด้านต่างๆ ชื่อหรือนิยามอาจสื่อว่าสำรวจ “จำนวน” ประชากร แต่จริงๆ แล้ว มีข้อมูลอื่นอีกมากมาย เช่น การศึกษา รายได้ ซึ่งนักวิชาการหรือผู้คนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะก็ค่อนข้างเห็นพ้องต้องกันว่า การสำรวจประชากรเป็นสิ่งจำเป็นเพราะข้อมูลที่ได้จะทำให้รัฐบาลสร้างนโยบายที่สะท้อนความเป็นจริงมากสุด
ตรงนี้ก็จะสัมพันธ์กับหลักคิดในเรื่องของการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรอันมีจำกัดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม กล่าวอย่างเรียบง่ายคือ กลุ่มใดควรได้รับการช่วยเหลือหรือเอื้ออำนวยมากที่สุด ต้องอย่าลืมด้วยว่า ข้อมูลจากการสำรวจประชากรก็สำคัญมากสำหรับใครที่ต้องการจะชื่นชมหรือวิพากษ์รัฐบาล ถือเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่มีพลังมากเลยทีเดียว
การสำรวจประชากรทำกันในแทบจะทุกประเทศ แต่มีรายละเอียดแตกต่างกัน ในเรื่องของระยะเวลาการทำสำรวจ ที่นิยมกันมากคือ 10 ปีครั้ง
การสำรวจประชากรก็เป็นการเมืองด้วย เช่นในสหรัฐอเมริกาก็ถกเถียงกันไม่น้อยว่าจะเรียกคนผิวดำ/ผิวสีว่าอย่างไรจึงจะเหมาะสม จะเรียกว่า Black หรือ African American ฯลฯ
ต้องบอกผู้ฟังก่อนว่า การสำรวจประชากรอินเดียที่ทำกันทุก 10 ปีนั้น ก็ได้บันทึกข้อมูลประชากรทลิต หรือที่ชาวไทยเรียกอย่างไม่เหมาะสมว่าจัณฑาล และบันทึกกลุ่มอาทิวาสี (Adivasi –ผู้มาอาศัยอยู่เป็นพวกแรก) ไว้อยู่แล้ว แต่ที่ไม่อยู่ในการสำรวจคือ OBCs หรือ Other Backward Castes ซึ่งภาษาไทยควรจะเรียกว่า วรรณะของกลุ่มผู้ด้อยโอกาสอื่นๆ
วันนี้ที่เรานำเรื่องนี้มาพูดกันในรายการก็เพราะว่า ที่อินเดียมีเสียงเรียกร้องให้รวมกลุ่มสังคมต่างๆ เข้าไว้ในการสำรวจประชากรด้วย
ณ ขณะนี้ พรรคการเมืองหลายพรรค กระทั่งพันธมิตรของพรรคภารตียชนตาที่มีอำนาจอย่างต่อเนื่องในสมัยที่สองด้วย ก็ได้ร่วมเรียกร้องประเด็นดังกล่าวเช่นกัน แต่รัฐบาลของนายนเรนดรา โมดี ซึ่งมาจากพรรคภารตียชนตานี้ได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องนี้ ซึ่งผู้คนที่วิพากษ์รัฐบาลก็มองว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับการเมือง เพราะการเลือกตั้งในมลรัฐอุตตรประเทศ ซึ่งเป็นมลรัฐที่มีประชากรมากสุดนั้นอาจจะทำให้พรรคภารตียชนตาไม่ชนะเลือกตั้งดังใจ ถ้าจะขยายความก็คือ ในมุมมองของพรรคภารตียชนตา ประเด็นนี้อาจจะทำให้วุ่นวาย และส่งผลต่อการลงคะแนนเสียง
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า ในเมื่อการสำรวจประชากรก็บันทึกอะไรมากมายอยู่แล้ว พูดง่ายๆ คือ ตั้งแต่ศาสนายันสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการสำรวจทลิตและอาทิวาสีอยู่แล้ว แล้วทำไมจะไม่รวมวรรณะของกลุ่มผู้ด้อยโอกาส หรือ OBCs ด้วยละ
ในที่นี้ Affirmative Action คือโครงการที่จะช่วยผู้คนที่ด้อยโอกาส ในอินเดียก็หมายถึง งานในภาครัฐ หรือที่เรียนในสถาบันอุดมศึกษา
สำหรับอินเดีย นับตั้งแต่นำรัฐธรรมนูญอินเดียมาใช้ในปี ค.ศ. 1950 อินเดียได้จัดสรรตำแหน่งงานในหน่วยงานภาครัฐ สิทธิการสมัครเข้าศึกษาในวิทยาลัยต่าง ๆ และจำนวนที่นั่งของผู้แทนในสภาตั้งแต่สภาหมู่บ้านยันรัฐสภาให้แก่ชาวทลิตและอาทิวาสี ซึ่งดูจะเป็นการชดเชยให้แก่ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ ที่สมัยก่อนได้ปฏิเสธการให้โอกาสอันเท่าเทียมแก่พวกเขาเหล่านั้น
ขณะที่รัฐธรรมนูญได้ให้โอกาสดังกล่าวมานี้แก่ “ชนชั้นอื่น ๆ ที่ด้อยโอกาสทางสังคมหรือการศึกษา” แต่ก็มิได้ระบุหรือนิยามลงไปอย่างเฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงพวกใดกันแน่ ดังนั้นขอให้อาจารย์ช่วยขยายความได้ไหมครับว่ารัฐบาลได้จัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
ในปี ค.ศ. 1979 รัฐบาลกลางของอินเดียได้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการการขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อให้ชี้ชัดลงไปว่าวรรณะเหล่านี้ได้แก่พวกใดบ้าง และเพื่อตัดสินใจด้วยว่าโปรแกรมการเลือกปฏิบัติเชิงบวกที่มีอยู่แล้วในขณะนั้น จะขยายไปครอบคลุมถึงคนเหล่านี้ด้วยหรือไม่
คณะกรรมาธิการชุดนี้ซึ่งได้รับชื่อว่า คณะกรรมาธิการ “มันดัล” (ตรงกับภาษาไทยว่า มณฑล) ที่ตั้งตามชื่อประธานกรรมาธิการนั่นเอง ได้แนะให้ขยายโควตาไปสู่ OBCs ด้วย ทว่าก็ไม่ได้รับการนำมาปฏิบัติจริงจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1990 จึงนำมาประกาศใช้โดยรัฐบาลพรรคเนชั่นแนล ฟรอนต์ ที่นำโดย วีพี สิงห์
ซึ่งก็ตามมาด้วยการประท้วงใหญ่จากกลุ่มวรรณะสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดานักศึกษา ด้วยว่าภาคเศรษฐกิจของอินเดียในตอนนั้นยังไม่เปิด อันทำให้ตำแหน่งงานในภาครัฐและที่นั่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำ เป็นที่ต้องการและแก่งแย่งแข่งขันกันมาก
คนที่เขามองว่าดี เขาก็มีความเห็นว่า โครงการช่วยผู้ด้อยโอกาสทำให้ผู้ด้อยโอกาสลืมตาอ้าปากได้ การที่อัมเบดการ์ บิดารัฐธรรมนูญอินเดีย เน้นเรื่องนี้ไว้ วันนี้ก็ส่งผลให้ชาวทลิตหลายคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะโครงการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทำลายวงจรของปัญหาได้ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า vicious cycle หรือ circle (วงจรอุบาทว์) ดังที่ Malcolm X เคยพูดไว้อย่างน่าสนใจว่า
"เมื่อท่านอาศัยอยู่ในย่านที่ยากจน ท่านก็อยู่ในย่านที่มีโรงเรียนด้อยคุณภาพ เมื่อท่านมีโรงเรียนด้อยคุณภาพ ท่านก็มีครูด้อยคุณภาพ เมื่อท่านมีครูด้อยคุณภาพ ท่านก็มีการศึกษาด้อยคุณภาพ เมื่อท่านมีการศึกษาด้อยคุณภาพ ท่านก็หาได้แต่งานที่ค่าแรงต่ำ แล้วงานค่าแรงต่ำนั้น ก็ทำให้ท่านได้มาอยู่ในย่านที่ยากจนอีกที นี่จึงเป็นวงจรอุบาทว์แท้จริง"
คนที่เขามองว่าไม่ดีแน่ๆ เขาก็ให้ความเห็นว่า โครงการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทำลายระบบคุณธรรมนิยม หรือ Meritocracy และด้วยเหตุนี้จึงตัดโอกาสหลายคนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ตัวอย่างสำคัญของอินเดียก็มีมากมาย บางคนเผาตัวเองเลย เพราะไม่ได้งานหรือสถานที่เรียนดังใจเนื่องจากตนไม่จัดอยู่ในหมวดหมู่ที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการช่วยเหลือ ชาวอเมริกันผิวขาวบางคนเคยบอกผมที่จุฬาฯ ว่า ทำไมเราต้องเป็นผู้ชดใช้การเลือกปฏิบัติที่บรรพบุรุษเราได้กระทำไว้ในอดีต
การเรียกร้องที่จะให้รวมวรรณะผู้ด้อยโอกาสอื่นๆ ในการสำรวจประชากรจึงเป็นเรื่องใหญ่
คำตอบคือ ไม่เคยอย่างจริงจัง ที่ทำคือให้ประมาณการเท่านั้น ไม่มีบันทึกทางการ
จำต้องให้ข้อมูลผู้ฟังด้วยว่า การเมืองอินเดียเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา กล่าวคือ พรรคการเมืองท้องถิ่นหรือภูมิภาคมักจะอิงกับวรรณะเป็นหลัก ดังนั้นแล้วจึงเริ่มท้าทายพรรคการเมืองหลักอย่างพรรคภารตียชนตา หรือพรรคคองเกรส เพราะฉะนั้นใครที่อยู่สองพรรคนี้ หากต้องการจะได้คะแนนเสียงจากกลุ่มต่างๆ ก็ต้องพินิจพิเคราะห์ปัจจัยวรรณะอย่างจริงจังด้วย
ก็ไม่อยากไปโทษรัฐบาลนำโดยพรรคภารตียชนตาอย่างเดียว เพราะภารตียชนตามิใช่พรรคแรกที่ปฏิเสธการนับ OBC บรรดารัฐบาลที่นำโดยพรรคคองเกรสก็ยังเคยเบือนหน้าหนีเรื่องนี้มาแล้ว ในปี ค.ศ. 2010 รัฐบาลพรรคคองเกรสเคยถูกบีบบังคับให้ต้องยอมรับมติเสียงข้างมากอย่างถล่มทลายของบรรดาผู้แทนราษฎรที่สนับสนุนการสำรวจประชากรวรรณะต่างๆ
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย