วันที่ 4 กันยายน 2564
"ตอนที่ 1"
เพลง Vande Mataram (วันทาพระแม่)
มีเนื้อหาเต็มตามต้นฉบับบทกวีของ ศรี บันกิม จันทระ ฉัตโตปาธยาย ปรากฏครั้งแรกในนวนิยายของเขาเองในปี ค.ศ. 1882 เขียนเป็นภาษาเบงกาลี ชื่อเรื่อง “อานันทมัฐ” (ออกเสียงว่า อานนดะโมฐ)
รพินทรนาถ ฐากูร ได้นำบทกวีดังกล่าวมาขับร้องในการประชุมพรรคอินเดียนเนชั่นแนลคองเกรสในปี ค.ศ. 1896 และสภาร่างรัฐธรรมนูญอินเดียได้ประกาศให้สองบทต้นของบทกวีดังกล่าวเป็นเพลงประจำชาติแห่งสาธารณรัฐอินเดียในวันที่ 24 มกราคม 1950 ควบคู่กับเพลงชาติคือ "ชนะ คณะ มนะ"
ดังนั้นฉบับที่นิยมขับร้องแพร่หลายในปัจจุบันจึงมีเนื้อหาเพียงสองบท ซึ่งจะสั้นกว่าฉบับที่เราเปิดให้ฟังเมื่อสักครู่นี้ แน่นอนว่ามีผู้นำฉบับเต็มมาผลิตและขับร้องโดยนักร้องชั้นนำหลายคนเช่นกัน
สาเหตุที่เราเลือกเพลงนี้ก็เพราะเพลง Vande Mataram เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งชาติอินเดียอย่างเป็นทางการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับหัวข้อของเราในวันนี้
หากท่านติดตามรายการปกิณกะอินเดียเป็นประจำ คงจะมีความสนใจอินเดียไม่น้อย เราสองคนค่อนข้างแน่ใจว่า คงไม่หยุดอยู่ที่รายการเรา ซึ่งหยิบยกเพียงเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับอินเดียมาเล่าให้ฟัง แต่คงจะไปค้นคว้าศึกษาเบื้องลึกด้วยตนเอง ตามหัวข้อที่แต่ละคนสนใจเป็นพิเศษ และเมื่อยิ่งค้นคว้ามากขึ้นเท่าไรก็คงจะยิ่งพบว่าแต่ละเรื่องแต่ละหัวข้อมีความแตกต่างหลากหลายเสียจนไม่อาจค้นคว้าให้หมดสิ้นได้ อย่างไรก็ดี อินเดียที่แตกต่างหลากหลายเช่นว่านี้ ก็ยังต้องมีบางสิ่งที่ยอมรับร่วมกันอย่างเป็นทางการว่าเป็นสัญลักษณ์ที่แทนอินเดียทั้งประเทศ ซึ่งเมื่อได้เห็น ได้ฟัง หรือได้หยิบยกขึ้นมากล่าวเมื่อใดก็จะนึกถึงประเทศอินเดียทันที
ในรายการหลายครั้งที่ผ่านมา เราเคยกล่าวถึงหลายสิ่งที่รัฐบาลสาธารณรัฐอินเดียได้ประกาศให้เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติอินเดียอย่างเป็นทางการ ในบรรดาสิ่งเหล่านั้นก็มีธงชาติ เพลงชาติ ตราแผ่นดิน และแม่น้ำคงคา เป็นต้น กระนั้นก็ตาม เราแทบไม่เคยกล่าวถึงสัญลักษณ์อีกประเภทหนึ่ง คือพืชและสัตว์ที่ได้รับการประกาศให้เป็นสัญลักษณ์แห่งชาติอินเดีย ดังนั้นเราจะนำมาเล่าให้ฟังในรายการวันนี้
พืช 3 ชนิด
1. ดอกไม้ประจำชาติ ได้แก่ ดอกบัว
2. ผลไม้ประจำชาติ ได้แก่ มะม่วง
3. ต้นไม้ประจำชาติ ได้แก่ ต้นไทร
สัตว์ 5 ชนิด
1. สัตว์ประจำชาติ ได้แก่ เสือโคร่งเบงกอล
2. สัตว์มรดกแห่งชาติ ได้แก่ ช้าง
3. สัตว์น้ำประจำชาติ ได้แก่ โลมาแม่น้ำ
4. สัตว์เลื้อยคลานประจำชาติ ได้แก่ งูจงอาง
5. นกประจำชาติ ได้แก่ นกยูง
รายชื่อที่กล่าวมาคงไม่ผิดจากความคาดหมายของผู้ฟังสักเท่าไรนัก เพราะแต่ละสิ่งเป็นที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วในสื่อประเภทต่างๆ คราวนี้เราจะมากล่าวถึงแต่ละสิ่งแต่พอสังเขป

คำว่าดอกบัวที่กล่าวถึงนี้ คือสายพันธุ์ที่ไทยเราเรียกว่า บัวหลวง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Indian Lotus หรือ Sacred Lotus และในภาษาฮินดีเรียกว่า Kamal ซึ่งตรงกับภาษาไทยว่า กมล นั่นเอง
ดอกบัวเป็นดอกไม้พื้นถิ่นของแถบเอเชีย มีบันทึกการปลูกเพื่อนำเม็ดมาบริโภคกว่า 3,000 ปีแล้ว ดอกบัวมีนัยสำคัญในทางวัฒนธรรมมาก เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งความเบิกบานและความรู้แจ้ง เพราะเจริญเติบโตจากโคลนตม แต่ไม่แปดเปื้อนโคลนตม เมื่อเบ่งบานก็สยายกลีบอย่างสวยงาม เหตุนี้ดอกบัวจึงกลายเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งในศาสนาฮินดูและพุทธ ใช้ประกอบพิธีบูชาต่าง ๆ และใช้ในงานศิลปะ เช่น เป็นฐานประติมากรรม เทวรูป ลวดลายปูนปั้น
ไม่เพียงแต่ในอินเดียเท่านั้น ประเทศรอบด้านที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดูและพุทธ ล้วนแต่ใช้ดอกบัวอย่างแพร่หลาย ส่วนอื่น ๆ ก็นำมาใช้ประโยชน์ด้วย เช่นเม็ดบัวใช้เป็นขนมขบเคี้ยว เกสรบัวใช้ทำยา รากบัวใช้ต้มเป็นเครื่องดื่มหรือใช้เป็นแป้งทำขนม ใบบัวใช้ห่อข้าว ล้วนแต่ใช้ประโยชน์ได้อย่างไม่สูญเปล่า
ภาษาฮินดีเรียกว่า Am ผลไม้เขตร้อนที่นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลายในแถบเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้
มะม่วงสายพันธุ์ที่นิยมในอินเดีย รูปลักษณ์และสีสันก็มีหลากหลาย นับตั้งแต่ผลทรงกลมป้อม ซึ่งจัดว่าเป็นทรงที่พบมากในมะม่วงอินเดีย ไปจนผลทรงยาวรี พบได้ทั้งสีแดงจัด สีม่วง สีส้ม สีเหลือง ตามสายพันธุ์ของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งรวมแล้วมีกว่า 1,500 สายพันธุ์
ตามสถิติในเร็ว ๆ นี้คือปี ค.ศ. 2019 ปริมาณการผลิตมะม่วงทั้งโลกประมาณ 56 ล้านตัน ในจำนวนนี้เป็นผลผลิตของอินเดียถึงประมาณ 26 ล้านตัน (ประมาณ 46%) ชาวอินเดียกินมะม่วงทั้งดิบและสุก มะม่วงดิบอาจนำมากินสด ๆ หรือดองเป็นเครื่องเคียง ทำเครื่องดื่มเรียกว่า Am Panna หรือป่นเป็นผงเรียกว่า Amchur ใช้ปรุงรสเปรี้ยวให้อาหาร ส่วนมะม่วงสุกจะใช้กินทั้งอย่างนั้นเลยหรือนำมาทำขนมต่าง ๆ หรือทำน้ำมะม่วง ไปจนถึงเครื่องดื่มที่คนไทยเรียกหามากที่สุดชนิดหนึ่งคือ Mango Lassi นั่นเอง
หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Banyan Tree ภาษาฮินดีเรียก Bargad ซึ่งคนไทยเองก็รู้จักกันดี ในฐานะไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงา ลักษณะพุ่มกว้างและมีรากห้อยระย้าลงมามากมาย รากเหล่านี้ เมื่อเจริญเติบโตลงมาจนสัมผัสพื้นดิน ก็จะกลายเป็นลำต้นเสริมให้อีก ดังนั้นต้นไทรจึงแผ่กว้างได้มาก และมีอายุได้ยืนนานนับพันปี
ต้นไทรอินเดีย เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะหนึ่งในต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ในแง่ของรัศมีพุ่มที่กว้างที่สุด โดยมีต้นไทรต้นหนึ่งชื่อว่า ติมมัมมะ มัรริมานุ ในอานธรประเทศ ได้รับการบันทึกลงในกินเนสบุคปี 1989 ด้วยรัศมีพุ่มที่แผ่ไปด้านกว้าง 140 เมตร ด้านยาว 180 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 19,107 ตารางเมตร หรือ 4.672 เอเคอร์ นอกจากนี้ยังมีต้นไทรใหญ่ที่สำคัญอีกหลายต้นในอินเดีย
ต้นไทรมีนัยสำคัญในทางศาสนา เป็นสัญลักษณ์แห่งการเป็นที่พึ่งพิงอาศัยของสรรพสัตว์ ทั้งร่มเงาและผลที่รับประทานได้ และการหยั่งรากใหม่ได้เรื่อย ๆ ก็สื่อถึงความยั่งยืนเป็นอมตะ สมัยก่อนนิยมสร้างวัดในร่มไทรเพื่ออาศัยร่มเงา แต่ปัจจุบันไม่นิยมนักเพราะรากไทรจะชอนไชฐานอาคารให้ทรุดได้
ภาษาฮินดีคือ Bangal Bagh เป็นเสือโคร่งที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากเสือโคร่งไซบีเรียของรัสเซีย มีถิ่นที่อยู่กระจายอยู่ในอินเดียตะวันออก เนปาล บังกลาเทศ และพม่า
ปัจจุบันสถานะของเสือโคร่งเบงกอลอยู่ในระดับใกล้สูญพันธุ์ เพราะจำนวนมากถูกล่าเพื่อนำหนังมาทำเครื่องประดับ กระดูกหรืออวัยวะอื่นเป็นสมุนไพรตามความเชื่อ คะเนว่าเสือเบงกอลยังมีอยู่ประมาณ 3,500 ตัว รัฐบาลอินเดียคุ้มครองเสือเบงกอลผ่านรัฐบัญญัติสงวนพันธุ์สัตว์ป่า ปี ค.ศ. 1972 และจัดตั้งเขตสงวนพันธุ์หลายแห่ง ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งคือ สุนทรพน (Sundarban) เป็นพื้นที่ป่าชายเลนในมลรัฐเบงกอลตะวันตก ซึ่งมีข่าวว่าเสือโคร่งโจมตีและทำร้ายชาวท้องถิ่นอยู่บ่อย ๆ
ภาษาฮินดีคือ Hathi ตรงกับภาษาไทยว่า “หัตถี” เป็นสัตว์ประจำชาติไทยด้วย กระทรวงสิ่งแวดล้อมอินเดียประกาศให้ช้างเป็นสัตว์มรดกแห่งชาติอินเดียในวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 2010 ด้วยเจตนาที่จะส่งเสริมการอนุรักษ์ช้างสายพันธุ์อินเดียให้มากขึ้น
ช้างอินเดีย กระจายตัวอยู่แถบอนุทวีปอินเดีย ภูมิภาคอินโดจีน ไปจนจรดมณฑลยูนนานของจีน และในไทยสามารถพบได้ในป่าทุกภูมิภาค ในอินเดียนั้น ยังคงมีประชากรอยู่ราว 30,000 เศษ ช้างมีนัยสำคัญทางวัฒนธรรมอินเดีย เพราะในสมัยโบราณเคยเป็นสัตว์ที่นำมาใช้ในการสงคราม และประดับเกียรติยศของบรรดาเจ้าครองนครและกษัตริย์อินเดีย งาช้างถูกใช้เป็นเครื่องประดับและงานศิลปะที่หรูหราโอ่อ่า ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งด้วยที่ทำให้พวกมันถูกล่า
โลมาแม่น้ำ หรือ River Dolphin ได้รับการประกาศให้เป็นสัตว์น้ำประจำชาติอินเดียในปี ค.ศ. 2009 ลักษณะทางกายภาพมีปากแหลมยาว อาศัยได้เฉพาะในน้ำจืด แยกออกเป็นสองสายพันธุ์ย่อย คือสายพันธุ์คงคา พบมากในแม่น้ำคงคา แม่น้ำพรหมบุตร และแควน้อยใหญ่ของแม่น้ำทั้งสอง ทั้งในปากีสถาน อินเดีย บังกลาเทศ และเนปาล กับสายพันธุ์สินธุ ขณะนี้พบเพียงในแม่น้ำสินธุสายหลักในปากีสถาน และแม่น้ำเบอาสในปัญจาบ อินเดีย
โลมาแม่น้ำ มีความสำคัญในแง่เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของระบบนิเวศในแม่น้ำทั้งสายได้ เพราะจะอาศัยในบริเวณที่น้ำสะอาดเพียงพอ เว็บไซต์ WWF รายงานว่าประชากรโลมาแม่น้ำปัจจุบันอยู่ที่ราว ๆ 1,200 – 1,800 ตัว
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย