วันที่ 25 กันยายน 2564
เพลง Kuni Mhanale (บางคนก็ว่า)
เป็นเพลงภาษามราฐี เผยแพร่เนื่องในโอกาสวันสตรีสากล 8 มีนาคม ค.ศ. 2021 ขับร้องโดย Amruta Fadnavis จุดเด่นของเพลงคือดนตรีเป็นแบบนาฏยสังคีต ประพันธ์โดย Rohan Rohan และแต่งเนื้อร้องโดย Dr. Swapna Patker
คำว่า Kuni Mhanale มาจากวรรคแรกของเพลงว่า ‘Kuni mhanale vedi kuthali, kuni mhanale kuli…..’ แปลความหมายสังเขปได้ว่า “บางคนก็ว่าเธอบ้า บางคนก็ว่าเธอเปิดกว้าง” สารโดยรวมของเนื้อเพลงต้องการส่งเสริมให้ผู้หญิงทุกคนทำตามความฝันของตัวเองและเผชิญโลกด้วยความมั่นใจ
เหตุผลที่เลือกเพลงนี้มาในวันนี้ก็เพราะเราจะกล่าวถึงบุคคลสำคัญที่เป็นผู้หญิง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นผู้หญิงคนแรก ๆ ในอินเดียยุคอาณานิคมที่ได้ประกอบอาชีพแพทย์ แต่ยังมีบทบาทในการเรียกร้องสิทธิเพื่อบรรดาสตรีเพื่อนร่วมชาติของเธออีกด้วย
25 กันยายน ค.ศ. 2021 เป็นวันครบรอบ 66 ปีวันเสียชีวิตของรัขมาบาย (Rukhmabai) แพทย์หญิงชาวอินเดียและนักต่อสู้เรียกร้องสิทธิสตรีในอินเดียใต้การปกครองของอังกฤษ เธอเป็นที่รู้จักดีที่สุดในเรื่องการต่อต้านการแต่งงานในวัยเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเธอเองได้เผชิญมาด้วยเช่นกัน
รัขมาบายเกิดวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1864 พ่อของเธอ ชนารธัน ปาณฑุรังค์ (Janardhan Pandurang) เสียชีวิตเมื่อเธออายุได้เพียง 2 ขวบ ขณะนั้นแม่ของเธอ ชยันตีบาย (Jayantibai) ยังอายุได้ 17 ปีเท่านั้น จากนั้นต่อมาอีก 6 ปี ชยันตีบายได้มีโอกาสแต่งงานใหม่กับแพทย์และนักเคลื่อนไหวชาวบอมเบย์ชื่อ สขาราม อรชุน ราวุต (Sakharam Arjun Ravut) ซึ่งเป็นหม้ายด้วยกัน (ตามประเพณีของวรรณะสุถาร์ ซึ่งเดิมเป็นตระกูลช่างไม้ หญิงหม้ายได้รับอนุญาตให้แต่งงานใหม่) สขารามจึงกลายเป็นพ่อเลี้ยงของรัขมาบายตั้งแต่นั้น

เมื่อรัขมาบายอายุได้ 11 ปี เธอก็ต้องเข้าพิธีสมรสกับ ดาดายี ภิขายี (Dadaji Bhikaji) ซึ่งไม่ใช่ใครอื่น เป็นลูกพี่ลูกน้องกับสขารามพ่อเลี้ยงของเธอนั่นเอง ภิขายีในขณะนั้นอายุ 19 ปี เขาได้มาอาศัยร่วมกับครอบครัวภรรยา ตามธรรมเนียมอินเดียเรียกเขยลักษณะนี้ว่า Gharjamai คือแต่งเข้าบ้านภรรยาและได้รับการดูแลโดยพ่อแม่ของภรรยา สขารามกับชยันตีบายคาดหวังว่าจะให้ภิขายีได้รับการศึกษาและ “ทำตัวเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้าง” หกเดือนหลังจากทั้งคู่แต่งงานกัน รัขมาบายจึงจะเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์คือมีประจำเดือนเป็นครั้งแรก ตามธรรมเนียมแล้วต้องประกอบพิธีครรภธาน อันเป็นสัญญาณว่าบ่าวสาวสามารถประกอบกิจกรรมทางเพศกันได้เป็นครั้งแรก เพื่อเป็นสามีภรรยากันตามพฤตินัยโดยสมบูรณ์
อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุที่สขารามเป็นแพทย์และมีความคิดเชิงปฏิรูปอยู่แล้ว แม้จะประกอบพิธีครรภธานแล้ว แต่เขาก็ไม่อนุญาตให้ภิขายีญาติผู้น้องที่เพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่มมีเพศสัมพันธ์กับรัขมาบายวัย 12 ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ภิขายีไม่พอใจอย่างยิ่ง
เรื่องข้างต้นนี้ รวมทั้งเรื่องที่ภิขายีเองไม่พอใจอยู่แล้วที่ครอบครัวสขารามต้องการจะให้เขาปรับปรุงตัว จึงส่งเขาเข้าโรงเรียนทั้ง ๆ ที่เขาอายุพอจะไปมหาวิทยาลัยแล้ว ทำให้ภิขายีรู้สึกหดหู่ ต่อมาเขาก็เสียแม่ซ้ำอีก ทั้งหมดนี้ทำให้ภิขายีตัดสินใจแยกไปอยู่กับลุงอีกคนชื่อ นารายัณ ธุรมายี โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของสขาราม ภิขายีใช้ชีวิตสุขสบายในความดูแลของลุง กลายเป็นคนเกียจคร้านและสำมะเลเทเมาหนักขึ้นอีก จนกระทั่งสร้างหนี้สินเอาไว้ก้อนโต เมื่อไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไรดีก็หวังจะมาพึ่งสินสมรสที่จะต้องติดมากับตัวรัขมาบาย เขาจึงขอให้รัขมาบายย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บ้านธุรมายี
รัขมาบายปฏิเสธเรื่องดังกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้สขารามพ่อเลี้ยงก็สนับสนุนเธอ และในระหว่างที่เธออาศัยอยู่ที่บ้านของสขาราม เธอก็ได้ศึกษาเล่าเรียนที่บ้าน ได้อ่านหนังสือมากมายจากห้องสมุดของโบสถ์ในท้องถิ่น และได้รู้จักคุ้นเคยกับนักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีหลายคนทั้งชายและหญิง เช่น วิษณุ ศาสตรี บัณฑิต ผู้กำลังโด่งดังในอินเดียตะวันตกสมัยนั้น บุคคลเหล่านี้ทำให้เธอได้เรียนรู้ความคิดการปฏิรูปแนวเสรีนิยม
เดือนมีนาคม ค.ศ. 1884 ภิขายีได้ให้ทนายความของตนยื่นโนติสไปยังสขารามให้เลิกขัดขวางรัขมาบายมิให้มาอยู่กับเขา สขารามจึงแต่งทนายสู้เช่นกัน แล้วเรื่องก็ขึ้นถึงโรงถึงศาล กลายเป็นคดีอันโด่งดังระหว่างดาดายี ภิขายีกับรัขมาบายใน ปี ค.ศ. 1885 ภิขายีอ้างสิทธิในการที่ตนเป็นคู่สมรส แต่ครั้งนั้นผู้พิพากษานามโรเบิร์ต ฮิล พินเฮย์ได้ตัดสินว่า รัขมาบายเป็นเพียงเด็กหญิงที่ถูกจับแต่งงานโดยไม่อาจปกป้องตนเองได้ จึงไม่อาจบังคับเธอไปอยู่กับสามีได้
ไม่นานหลังจากนั้นผู้พิพากษาพินเฮย์ก็เกษียณอายุ ภิขายีมีหรือจะยอมเลิกราง่าย ๆ เขายื่นอุทธรณ์อีกในปี ค.ศ. 1886 ครั้งนี้รัขมาบายตกที่นั่งลำบากเพราะกระแสสังคมส่วนใหญ่เขาข้างภิขายี และวิพากษ์วิจารณ์ผู้พิพากษาพินเฮย์ที่ไม่เคารพขนบธรรมเนียมฮินดู และในวันที่ 4 มีนาคม ปี ค.ศ. 1887 ศาลมีคำสั่งว่ารัขมาบายจะต้องไปอยู่กับสามีของเธอ หรือมิฉะนั้นก็ต้องรับโทษจำคุกหกเดือน ซึ่งรัขมาบายก็ตอบอย่างเด็ดเดี่ยวว่า ให้เธอติดคุกเสียดีกว่าต้องไปอยู่กับสามีคนนี้
สิ่งนี้นำมาสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดในวงกว้าง บัล คงคาธาร ติลัก เขียนบทความโจมตีว่า นี่เป็นผลพวงการศึกษาแบบอังกฤษ ศาสนาฮินดูถึงคราวอันตรายแล้ว ขณะที่ฟรีดริช มักซ์ มึลเลอร์ นักบูรพาคดีชาวเยอรมันชื่นชมว่าการศึกษานี้แหละทำให้รัขมาบายรู้จักตัดสินชะตากรรมของตัวเธอเอง
เมื่อผลของคดีออกมารูปนี้ รัขมาบายจึงตัดสินใจต่อสู้ครั้งสุดท้ายด้วยการถวายฎีกาถึงสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียโปรดให้ยกเลิกคำพิพากษาของศาล และให้ถือว่าการสมรสนั้นเป็นโมฆะ เมื่อถึงขั้นนี้ ภิขายีก็จำเป็นต้องรามือ และในปี ค.ศ. 1888 เขาก็ตกลงไกล่เกลี่ยกับบ้านตระกูลราวุตได้โดยยอมรับเงินชดเชยจำนวนสองพันรูปี และแต่งงานใหม่ในปี ค.ศ. 1889 ส่วนรัขมาบายก็ดำเนินหนทางชีวิตของตนเอง ไล่ตามความฝันของเธอต่อไป
โชคดีที่รัขมาบายมีผู้คอยสนับสนุนทุนการศึกษาหลายต่อหลายคน
ค.ศ. 1889 รัขมาบายได้ล่องเรือไปอังกฤษเพื่อศึกษาต่อในวิชาการแพทย์
ค.ศ. 1894 เธอก็สำเร็จปริญญาแพทยศาสตร์จาก London School of Medicine for Women
ค.ศ. 1895 รัขมาบายได้กลับมาประกอบอาชีพแพทย์ที่เมืองสุหรัต จนถึงปี ค.ศ. 1918 เธอได้ย้ายไปประจำที่ราชโกตจนกระทั่งเกษียณอายุในปี ค.ศ. 1929 เธอยังคงทำงานทางการแพทย์โดยก่อตั้งสมาคมกาชาดในราชโกต ควบคู่กับการเรียกร้องสิทธิสตรีและต่อต้านการสมรสในวัยเด็กอย่างต่อเนื่อง ข้อเขียนสำคัญของรัขมาบายวิพากษ์ธรรมเนียมปฏิบัติของชุมชนฮินดูหรือมุสลิมบางจำพวก ต่อบรรดาแม่หม้ายผู้สูญเสียสามีในวัยเยาว์ โดยการจับพวกเธอกักขังหรือจำกัดสิทธิต่างๆ
รัขมาบายจากไปด้วยโรคมะเร็งปอดในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1955 สิริอายุ 90 ปี
คดีตัวอย่างอันโด่งดังของรัขมาบายในปี ค.ศ. 1885 มีอิทธิพลต่อสังคมมาก ไม่นานหลังจากคดีจบลง ทั้งในอังกฤษและอินเดียก็เกิดการศึกษาและถกเถียงอภิปรายเกี่ยวกับมุมมองสตรีนิยม และนำมาสู่การที่อังกฤษออกพระราชบัญญัติ Age of Consent Act 1891 ซึ่งเปลี่ยนแปลงอายุที่หญิงจะยินยอมให้ชายร่วมประเวณีได้ จาก 10 ปีเป็น 12 ปีทั่วบริติชอินเดีย
ชีวิตของรัขมาบายเป็นตัวอย่างการต่อสู้ของผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อให้ตนมีโอกาสใช้ชีวิตอย่างที่ตนเองต้องการ หากในครั้งนั้นเธอยอมจำนนต่อขนบอันคร่ำครึและยินยอมไปอาศัยอยู่กับสามีผู้สำมะเลเทเมา โลกก็คงไม่มีโอกาสรู้จักแพทย์หญิงและนักสตรีนิยมนามรัขมาบาย
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย