คีตาโพธ: ภควัทคีตาในทัศนะของคานธี
2,780 views
0
0

2 ตุลาคม วันคล้ายวันเกิดของมหาตมาคานธี
ถ้าวันนี้ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็จะอายุ 152 ปี เพราะฉะนั้นศัพท์ภาษาที่เรานิยมใช้กันก็จะเป็น 152 ปีชาตกาล ที่อินเดียวันที่ 2 ตุลาคม จะเรียกกันว่า Gandhi Jayanti หรือคานธีชยันตี ในขณะเดียวกัน วันนี้ก็เป็นวัน International Day of Non-Violence ด้วย มีคนเรียกวันนี้เป็นภาษาไทยว่า “วันละความรุนแรงสากล” บ้างก็เรียกว่า “วันยุติความรุนแรงสากล” แต่ที่อาจารย์กิตติพงศ์ บุญเกิดแปลไว้คือ “วันอหิงสาสากล”

ที่มาของ International Day of Non-Violence ก็เริ่มจาก ชิริน เอบาดี (Shirin Ebadi) สตรีอิหร่านที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ค.ศ. 2003 ซึ่งในที่สุดก็ร่วมมือกับทางอินเดีย หลังจากนั้นตัวแทนรัฐบาลอินเดียก็นำเข้าสู่สหประชาชาติ ชิริน เอบาดีเริ่มรณรงค์เรื่องนี้ก็ปี ค.ศ. 2004 สหประชาชาติมีมติเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 วันที่ 2 ตุลาคม ปีเดียวกันก็เริ่มให้วันนี้เป็นวันอหิงสาสากลเลย

เพลง Vaishnav Jana To (ไวษณพชนท่านว่าเป็นไฉน)
เนื้อร้องเป็นภาษาคุชราตี น่าจะเขียนในช่วงศตวรรษที่ 15 โดยกวีชื่อนรสิงห์ เมห์ตา (Narsinh Mehta)

ที่เราเลือกเป็นเพลงนี้ก็เพราะเป็นเพลงสักการบูชาอันโปรดปรานของมหาตมาคานธี รายการปกิณกะอินเดียเคยลงคำแปลเพลงนี้ไว้ในเว็บไซต์ Chula Radio Plus ในปี 2562 แล้ว วันนี้จึงขอนำมาอ่านอีกครั้ง

ไวษณพชนท่านว่าเป็นไฉน............คือผู้ใดร่วมเจ็บปวดกับผู้อื่น
อุปการะผู้ทุกข์ตรมระทมกลืน..........รู้จักฝืนอภิมานะครอบงำใจ
ผู้นบนอบวันทาประชาผอง..............ไม่จองหองนินทาว่าร้ายใส่
สำรวมกาย วาจา จิตเป็นนิตย์ไป......ชนนีเขาย่อมได้พรเลิศเลอ
เห็นผู้อื่นเท่าเทียมกัน ละตัณหา.......เห็นหญิงอื่นดุจมารดาตนเสมอ
ลิ้นไม่กล่าวถ้อยอาสัตย์ตระบัดเพ้อ...หัตถ์ไม่เผลอแตะต้องของผู้ใด
ไม่มัวเมามายาพาลุ่มหลง................จิตจำนงวิราคะละความใคร่
ดื่มด่ำพร่ำรามนามทุกยามไป............สถานจาริกอยู่ในใจไม่เว้นวาย
ละทิ้งเล่ห์หลอกลวงบ่วงโลภะ..........เว้นจากกามห้ามโทสะสละสลาย
ท่านกวีนรไสได้ทำนาย....................ว่าเชื้อสายเขาจักรุ่งเรืองนิรันดร์ฯ

คีตาโพธ (Gita Bodh)

วันนี้เราจะไม่พูดเรื่องชีวประวัติของมหาตมา คานธี แต่เราจะพูดถึง หนังสือของท่านชื่อ คีตาโพธ (Gita Bodh) ซึ่งต้นฉบับอยู่ในโรงพิมพ์แล้ว หนังสือเล่มนี้ใช้ชื่อภาษาไทยว่า คีตาโพธ: ภควัทคีตาในทัศนะของคานธี จัดพิมพ์โดยศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีเราสองคนเป็นบรรณาธิการ

ผู้แปลหนังสือเล่มนี้คือ อาจารย์กิตติพงศ์ บุญเกิด ผู้เชี่ยวชาญภาษาฮินดีและวัฒนธรรมอินเดียคนสำคัญของประเทศไทย อาจารย์กิตติพงศ์แปลหนังสือเล่มนี้จากภาษาฮินดีเป็นไทย เนื้อหาสาระวันนี้เราจะคัดมาจากคำนำโดยเราสองคนในฐานะบรรณาธิการ และคำนำโดยอาจารย์กิตติพงศ์

ภควัทคีตา

ก่อนอื่นใดเราคงต้องเริ่มจากคำว่า คีตาโพธ เสียก่อน ดังที่อาจารย์กิตติพงศ์ได้อธิบายไว้คือ คำว่า “คีตา” หมายถึงภควัทคีตา หรือบทเพลงแห่งพระผู้เป็นเจ้า คำว่า “โพธ” หมายถึง ปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ เมื่อนำ 2 คำนี้มารวมกัน ก็จะแปลว่า ความเข้าใจซึ่งภควัทคีตา

แน่นอนในที่นี้ก็คือความเข้าใจซึ่งภควัทคีตาของโมหันทาส กรัมจันท์ คานธี หรือมหาตมาคานธี นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ อาจารย์กิตติพงศ์จึงใช้ชื่อภาษาไทยโดยเติมสร้อยเข้าไปว่า ภควัทคีตาในทัศนะของคานธี

มหาตมาคานธี ไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้ในคราวเดียว ท่านเขียนในรูปแบบจดหมายด้วยภาษาคุชราตี ซึ่งเป็นภาษาแม่ของท่าน และเขียนในระหว่างที่ตนถูกจำคุกอยู่ที่ ทัณฑสถานยรวดา เมืองปูเณ รัฐมหาราษฏระ จดหมายฉบับแรกที่คานธีเขียนลงวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1930

ความสำคัญของคีตาโพธ

คราวนี้ก็จะมาสู่ความสำคัญของหนังสือเล่มนี้ สำหรับเราในฐานะบรรณาธิการแปล ความสำคัญของคีตาโพธมี 2 ข้อด้วยกัน

ข้อแรกคือ ภควัทคีตาในมุมมองของคานธีถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่า คานธีมองการต่อสู้กับอังกฤษเป็นการต่อสู้ระหว่างวัฒนธรรมโบราณกับวัฒนธรรมสมัยใหม่

ภิกขุ ปาเรข (Bhikhu Parekh) นักรัฐศาสตร์คนสำคัญเคยพินิจพิเคราะห์วิธีมองของคานธีในลักษณะนี้ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง ปาเรขกล่าวไว้ถูกต้องว่า คานธีนั้นแตกต่างจากคนอื่น ๆ ก่อนหน้า เพราะเขาทั้งอธิบายและวิพากษ์การปกครองของอังกฤษเชิงวัฒนธรรม “คานธียืนกรานว่า การเผชิญทางอาณานิคมมิใช่เรื่องระหว่างชาวอินเดียกับยุโรป แต่เป็นเรื่องอารยธรรมโบราณกับอารยธรรมสมัยใหม่”

ทั้งหมดนี้มิได้หมายความว่า คานธีจะปฏิเสธความคิดของนักคิดตะวันตกเสียทั้งหมด แท้จริงแล้ว เขากล่าวถึงนักคิดตะวันตกบางคนในเชิงชื่นชมอยู่บ่อยครั้งด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่คานธีปฏิเสธเด็ดขาดคือ การจำนนต่อความเชื่อที่ว่าอารยธรรมตะวันตกอยู่เหนืออารยธรรมใด ๆ การมองเชิงวัฒนธรรมทำให้คานธีเห็นแจ่มแจ้งว่า อังกฤษที่อ้างว่ายึดมั่นอุดมการณ์เสรีนิยมและหลักนิติรัฐนิติธรรมนั้น แท้จริงแล้วถนัดแต่การใช้อำนาจอันโหดร้าย เต็มไปด้วยกลไกแห่งความรุนแรง

การที่คานธีไม่ยอมจำนนต่อความเชื่อที่ว่าอารยธรรมของตะวันตกอยู่เหนืออารยธรรมอื่น ๆ รวมถึงอารยธรรมอินเดีย นับได้ว่าเป็นเหตุผลสำคัญเบื้องหลังความมุ่งมั่นของคานธีในการเข้าใจคัมภีร์ภควัทคีตา และอีกไม่นานนักภควัทคีตาก็จะเป็นเสมือนฐานความคิดประการสำคัญ เครื่องมือ และอัตลักษณ์ของคานธีในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชอินเดียเช่นเดียวกับการแต่งกายด้วยหมวกและเสื้อผ้า หรือการใช้จรขา ซึ่งสื่อถึงการบำเพ็ญตบะและการไม่ให้ความสำคัญทางสังคม ศาสนา และวรรณะใดเป็นพิเศษ อันจำเป็นต่อการมีเอกภาพในหมู่ชาวอินเดียที่มีภูมิหลังทางชาติพันธุ์หลากหลาย

[ แล้วการที่คานธีเลือกใช้ภควัทคีตาจะช่วยสร้างเอกภาพในหมู่ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอื่น ๆ นอกจากศาสนาฮินดูได้อย่างไร? ]

คำถามข้อนี้นำมาสู่เหตุผลข้อที่สองว่าด้วยความสำคัญของคีตาโพธ ที่หนังสือเล่มนี้มีสร้อย “ภควัทคีตาในทัศนะของคานธี” ก็เพราะว่า คานธีมีวิถีคิดเรื่องศาสนาน่าสนใจยิ่ง แม้ตนจะนับถือศาสนาฮินดู แต่ก็ให้ความสำคัญเรื่องจิตวิญญาณ (spirituality) มากกว่าศาสนา (religion)

คานธีอ่านคัมภีร์หลายศาสนาเพื่อแสวงหาความจริงและความรัก ดังที่รามีน ญะฮานเบกลู (Ramin Jahanbegloo) กล่าวถึงประเด็นนี้ได้อย่างแม่นยำว่า “คานธีเชื่อว่าทุกศาสนาเท่าเทียมกัน เพราะตามความคิดของเขาแก่นของทุกศาสนาคือความจริงและความรัก” ด้วยเหตุนี้เราจึงจำเป็นต้องเข้าใจวิธีการอ่านและการเข้าใจภควัทคีตาของคานธี

Young India

คานธีเคยเขียนเกี่ยวกับทัศนะของตนเรื่องศาสนาไว้หลายครั้ง และที่แลดูชัดเจนมากสุดปรากฏใน Young India ปี ค.ศ. 1925 คานธีเขียนว่า

“ข้าพเจ้ามิใช่นักอักษรศาสตร์ ข้าพเจ้าจึงพยายามเข้าใจจิตวิญญาณในคัมภีร์ต่าง ๆ ของโลก ข้าพเจ้าได้ทำการทดลอง “สัตย์” และ “อหิงสา” ที่คัมภีร์ทั้งหลายเหล่านี้นำเสนอเพื่อการตีความ ข้าพเจ้าปฏิเสธสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับการทดลอง และรับทุกสิ่งที่สอดคล้องกับการทดลองมาปฏิบัติ”

ข้อความนี้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่คานธีเน้นคือ อุดมคติเชิงตีความแห่งการมุ่งเน้นทางจิตวิญญาณ โดยยึดเกณฑ์ความจริงและอหิงสาเพื่อตรวจสอบบรรดาคัมภีร์ทางศาสนา และการเน้นเช่นนี้จึงสอดคล้องกับการส่งเสริมเอกภาพในหมู่ชาวอินเดียที่มีภูมิหลังทางศาสนาหลากหลาย
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย