วันที่ 23 ตุลาคม 2564
เพลง Welcome to India
เพลงที่เปิดวันนี้เข้าใจง่ายสำหรับทุกท่าน เพราะเป็นเพลงภาษาอังกฤษ ชื่อเพลง “Welcome to India” เป็นเพลงที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้เปิดใน Global Youth Leadership Forum ณ กรุงเดลี ในการเฉลิมฉลองเทศกาลชื่อว่า Art of Living's World Culture Festival ประจำปี ค.ศ. 2016
วันที่เราออกอากาศนี้ ตรงกับ วันปิยมหาราช เพื่อระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงเป็นที่รักเคารพยิ่งของพสกนิกรชาวไทยทั้งมวล เราจึงขอนำเรื่องราวของพระองค์ท่านเมื่อคราวเสด็จฯ ประพาสอินเดียใน พ.ศ. 2414 (หรือนับแบบใหม่คือ พ.ศ. 2415) มาเล่าสู่กันฟัง เนื้อหาของรายการวันนี้อาศัยข้อมูลจากคลิปวิดีโอบันทึกการบรรยายในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ของผู้ช่วยศาสตราจารย์สาวิตรี เจริญพงศ์ (ปัจจุบันเป็นรองศาสตราจารย์) ประกอบกับบทความเรื่อง “อินเดียที่รัชกาลที่ 5 ทรงสัมผัส” ของคุณปัทมน ปัญจวีณินที่ลงไว้ในเว็บ เดอะ คลาวด์ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2560
ตามที่พวกเราเคยเรียนกันมาในวิชาประวัติศาสตร์ เราต่างก็ทราบดีว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จฯ ประพาสยุโรป 2 ครั้ง ครั้งแรกใน พ.ศ. 2440 และครั้งต่อมาใน พ.ศ. 2450 ทั้งนี้เพื่อศึกษาวิทยาการต่าง ๆ ในประเทศเหล่านั้นและนำมาปฏิรูปประเทศสยามให้เจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ อย่างไรก็ดี การศึกษาประวัติศาสตร์โดยละเอียดทำให้เกิดมุมมองใหม่ว่า การปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนใหญ่น่าจะเป็นผลมาจากการเสด็จฯ ไปอินเดียและประเทศรอบ ๆ มากกว่า
ใคร่ชวนสังเกตว่า หลังเสด็จฯ เยือนสิงคโปร์และชวาใน พ.ศ. 2413 และเสด็จฯ เยือนพม่าและอินเดียใน ปีถัดมา รัชกาลที่ 5 กับบรรดาพระเจ้าน้องยาเธอและขุนนางรุ่นเยาว์ก็ทรงเริ่มกระบวนการปฏิรูปให้เป็นสมัยใหม่อย่างรวดเร็วฉับพลัน ซึ่งหลัก ๆ แล้วเกิดขึ้นภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2416 การปฏิรูปดังกล่าวมีเช่น การเก็บภาษีอากรแบบใหม่ โดยจัดตั้ง ‘หอรัษฎากรพิพัฒน์’ การจัดตั้งองค์กรใหม่ ๆ ทางการเมืองและการปกครอง เช่น ตั้งกระทรวง ทบวง กรม เมื่อ พ.ศ. 2418 การจัดตั้ง ‘Council of State’ และ ‘Privy Council’ การเลิกประเพณีและธรรมเนียมโบราณอันคร่ำครึหลายประการ นำไปสู่การเลิกทาสในเวลาต่อมา ตลอดจนการริเริ่มโครงการสร้างทางรถไฟในไทยใน พ.ศ. 2430 สังเกตได้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นก่อนจะเสด็จประพาสยุโรปเสียอีก

ภาพ: สถานทูตไทย นิวเดลี
มูลเหตุของการเสด็จฯ ประพาสอินเดียครั้งนั้นมีอยู่ว่า
หลังจากเสด็จฯ เยือนสิงคโปร์และชวาใน พ.ศ. 2413 เมื่อทรงพระชนมายุเพียง 17 ชันษา ทรงมีพระราชประสงค์จะเสด็จฯ ไปยุโรปทันที เพราะทรงเห็นว่าการ “ทอดพระเนตรเห็นแต่เพียงเมืองขึ้นที่ฝรั่งปกครองคนต่างชาติต่างภาษา ได้ประโยชน์ยังน้อย” ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงวินิจฉัยไว้ในหนังสือ ความทรงจำ ว่าการที่พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ ยุโรปเป็นการด่วนนั้น เห็นจะเป็นเพราะ “ทรงพระราชดำริเห็นว่าเวลาที่ยังไม่ต้องทรงว่าราชการแผ่นดินมีอยู่เพียงอีก 2 ปี ถ้ารอไปจนถึงเวลาทรงว่าราชการเองแล้วคงยากที่จะหาโอกาสได้” ทรงปรารภกับเจ้าพระยาภานุวงศ์ ซึ่งเห็นชอบด้วยตามพระราชดำริ แต่ครั้นนำความไปปรึกษาเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านหลังนี้กลับไม่เห็นชอบด้วย ให้เหตุผลว่าทางไกลนักเป็นการเสี่ยงภัยมาก ไม่สะดวกอย่างสิงคโปร์หรือชวา เรือพระที่นั่งก็ไม่พร้อมเดินทางไกลเช่นนั้น
เจ้าพระยาภานุวงศ์จึงทูลแนะนำให้เสด็จฯ อินเดียแทน ด้วยเห็นว่ารุ่งเรืองพอกับยุโรป
พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า “ถ้าจะไปถึงยุโรปยังไม่ได้ ไปเพียงอินเดียก็ยังดี” การเสด็จฯ อินเดียครั้งนี้ ยังมีประโยชน์ในฐานะการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับอังกฤษในอินเดียด้วย เพราะระหว่างนั้นหัวเมืองล้านนาของสยามมีปัญหากระทบกระทั่งกับคนพม่าและอินเดียที่อยู่ในบังคับอังกฤษ ซึ่งเข้ามาทำการค้าและกิจการป่าไม้ในสยาม
จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาไปถึงลอร์ดเมโย อุปราชและข้าหลวงใหญ่ผู้สำเร็จราชการแห่งอินเดียว่าพระองค์ต้องการเสด็จฯ เยือนเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์และคุณค่าในพระองค์เองให้สมกับเป็นพระมหากษัตริย์ โดยทรงกล่าวว่า “ทั้งตัวเราและสภาองคมนตรีต่างเชื่อว่าไม่มีประเทศใดในบูรพาทิศนี้ มีความเข้าใจเรื่องศาสตร์แห่งการปกครองอย่างชัดเจน หรือความเป็นอยู่ของราษฎรได้รับการสงเคราะห์อย่างจริงจังดังที่ดำเนินอยู่ในจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีรัฐบาลที่ ฯพณฯ เป็นผู้บริหารอย่างสามารถยิ่ง” และพระองค์ได้ทรงระบุไว้ในพระราชหัตถเลขาฉบับนั้นเป็นการเจาะจงทีเดียวว่า ถ้าเป็นไปได้ มีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรเมืองพาราณสี อาครา และเดลี ส่วนสถานที่อื่นนั้นแล้วแต่ทางอินเดียจะพิจารณานำเสด็จฯ
เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2414 ประทับเรือพระที่นั่งบางกอก ผ่านอ่าวไทย อ้อมแหลมมลายู ระหว่างทรงแวะพักสิงคโปร์ มะละกา ปีนัง ในระหว่างประทับปีนังวันที่ 26 ธันวาคม ทรงได้รับโทรเลขว่าอุปราชอินเดียไปเดลี และจะกลับมารับเสด็จที่กัลกัตตาในวันที่ 13 มกราคม เหตุนี้จึงทรงแวะพม่า เสด็จฯ เมืองมะละแหม่งและย่างกุ้งก่อน เพื่อให้ไปถึงอินเดียตามกำหนด ซึ่งถ้านับแบบใหม่ เท่ากับทรงเสด็จฯ ถึงอินเดียเมื่อขึ้น พ.ศ. 2415 แล้ว
อุปราชเมโยเองยังได้เดินทางกลับจากการตรวจดูการซ้อมรบใหญ่ที่เดลีมาที่กัลกัตตาเพื่อให้การต้อนรับพระเจ้าอยู่หัวแห่งสยามด้วยตนเอง และจัดงานเลี้ยงต้อนรับโดยเชิญแขกผู้เกียรติมาเข้าร่วมถึง 1,300 คนลอร์ดเมโยได้กล่าวในงานเลี้ยงต้อนรับว่า “ข้าพระพุทธเจ้าแน่ใจว่าตลอดระยะเวลาที่เสด็จพระราชดำเนินอยู่ภายในจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่นี้ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงได้พบเห็นสิ่งที่ทรงสนพระราชหฤทัย และการเสด็จประพาสในครั้งนี้จะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรที่มีต่อกันอันเกิดขึ้นแล้วระหว่างข้าแผ่นดินของสมเด็จพระบรมราชินีกับพสกนิกรจำนวนหลายล้านคนของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท”
ระหว่างทรงพำนักกัลกัตตา ได้ทอดพระเนตรสถานที่สำคัญต่าง ๆ เช่น Asiatic Society ป้อมปราการ โรงกษาปณ์ พิพิธภัณฑ์ โรงงานผลิตปืน โรงจ่ายน้ำประปา โรงงานทอกระสอบ โรงสี ทัณฑสถาน โรงพยาบาล โรงโอเปร่า ตลาด และโบสถ์
22 มกราคม ประทับรถไฟขบวนพิเศษออกจากกัลกัตตามุ่งหน้าสู่เดลี การเดินทางจากกัลกัตตาไปเดลีของพระองค์ใช้เวลาเพียง 36 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งนับว่ารวดเร็วมากในสมัยนั้น เมื่อถึงเดลี ทรงประทับแรมในกระโจมเดียวกับที่อุปราชอินเดียได้มาพำนักเมื่อก่อนหน้านี้ เป็นเวลา 7 วัน ได้ทอดพระเนตรแสนยานุภาพทางทหารและการซ้อมรบ
30 มกราคม ประทับรถไฟขบวนพิเศษไปยังอาครา ทรงพำนักอยู่ 3 วัน ได้ทอดพระเนตรป้อมแดง ตาชมะฮัล และสุสานพระเจ้าอักบาร์ จากนั้น 2 กุมภาพันธ์ เสด็จฯ แวะเมืองกอนโปร์ หรือที่ปัจจุบันเรียกกานปูร์ เพื่อทอดพระเนตรอนุสรณ์สถานความสูญเสียของอังกฤษช่วงกบฏซีปอย
3 กุมภาพันธ์ เสด็จฯ ถึงลัคเนาว์ ทอดพระเนตรกิจกรรมทางทหารแบบยุโรป แล้ววันที่ 7 กุมภาพันธ์ประทับรถไฟขบวนพิเศษจากลัคเนาว์เป็นระยะทางยาวมากไปสู่บอมเบย์ ทรงใช้เวลาในรถไฟถึง 2 วัน 2 คืน ระหว่างการเดินทาง บันทึกของผู้ตามเสด็จฝ่ายไทยได้แสดงความตื่นตาตื่นใจที่ผ่านอุโมงค์จำนวนมาก เพราะเป็นระยะทางตามแนวเทือกเขา ขบวนเสด็จถึงบอมเบย์วันที่ 9 กุมภาพันธ์ มีพิธีรับเสด็จอย่างยิ่งใหญ่พอ ๆ กับที่กัลกัตตา
ทว่าก่อนหน้านั้นในระหว่างทรงเดินทาง เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดได้เกิดขึ้น ลอร์ดเมโยอุปราชได้ถูกลอบสังหารที่หมู่เกาะอันดามันเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ กว่าข่าวร้ายดังกล่าวจะมาถึงพระกรรณพระเจ้าอยู่หัวก็เป็นวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เป็นเหตุให้ต้องงดกำหนดการที่จะเสด็จฯ เยือนหลายแห่ง ในระหว่าง 13-17 กุมภาพันธ์ ทรงได้เยือนเพียงถ้ำเอเลฟันต้าแห่งเดียว จากนั้นจึงกลับไปทางกัลกัตตาโดยผ่านทางพาราณสีในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เสด็จฯ ทอดพระเนตรสถานที่ต่าง ๆ เช่น วังมหาราชา วัดฮินดู และหอดูดาว และที่สำคัญคือ ประทับรถม้าไปยังสารนาถ เพื่อทอดพระเนตรป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เรื่องราวดังกล่าวนี้ อ. กิตติพงศ์ได้เขียนไว้ในบทความปฐมฤกษ์ของเพจภารัต-สยามด้วย
จากพาราณสี จึงเสด็จไปยังกัลกัตตาในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ขณะนั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศกจากมรณกรรมของอุปราชอินเดีย ทรงพำนักอยู่ 4 วัน ครั้นวันที่ 26 กุมภาพันธ์ก็เสด็จฯ ออกจากอินเดียเพื่อนิวัติสยามประเทศ เป็นอันจบการประพาสอินเดีย ส่วนที่ทรงแวะจุดต่าง ๆ ในสยามก่อนจะกลับพระนครนั้น อ.สาวิตรีได้ให้ข้อมูลไว้ในการบรรยาย จะไม่ขอนำมากล่าวถึงในที่นี้
ทำให้เกิดการพัฒนาการรถไฟ การทหาร การศึกษาภาษาอังกฤษ การนำวิทยาการแบบตะวันตกมาพัฒนาบุคลากร การปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นแบบฝรั่ง นอกจากนั้นยังนำมาสู่การเจรจากับอังกฤษเพื่อทำสนธิสัญญาเกี่ยวกับการพิจารณาคดีในเมืองประเทศราชของไทยในภาคเหนือ ซึ่งสำเร็จในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2416 ส่งผลให้ไทยมีสิทธิในการพิจารณาคดีเกี่ยวข้องกับคนในบังคับชาติตะวันตกเพิ่มมากขึ้น เท่ากับเป็นการผ่อนคลายสนธิสัญญาเบาว์ริง
ที่กล่าวถึงการประพาสอินเดียของรัชกาลที่ 5 ชื่อว่า India in 1872: As seen by the Siamese เขียนโดย Sachchidanand Sahai โดยผ่านการค้นคว้าวิจัย 5 ปี หนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องว่า “เป็นหนังสือที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการเสด็จต่างประเทศครั้งสำคัญ” ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ชื่อว่า "ยุวกษัตริย์ รัชกาลที่ 5 เสด็จอินเดีย" แปลโดย กัณฐิกา ตรีอุดม ท่านที่สนใจสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย