พระปิยมหาราชเสด็จฯ ประพาสอินเดีย
2,954 views
0
0

เพลง Welcome to India
เพลงที่เปิดวันนี้เข้าใจง่ายสำหรับทุกท่าน เพราะเป็นเพลงภาษาอังกฤษ ชื่อเพลง “Welcome to India” เป็นเพลงที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้เปิดใน Global Youth Leadership Forum ณ กรุงเดลี ในการเฉลิมฉลองเทศกาลชื่อว่า Art of Living's World Culture Festival ประจำปี ค.ศ. 2016

23 ตุลาคม

วันที่เราออกอากาศนี้ ตรงกับ วันปิยมหาราช เพื่อระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงเป็นที่รักเคารพยิ่งของพสกนิกรชาวไทยทั้งมวล เราจึงขอนำเรื่องราวของพระองค์ท่านเมื่อคราวเสด็จฯ ประพาสอินเดียใน พ.ศ. 2414 (หรือนับแบบใหม่คือ พ.ศ. 2415) มาเล่าสู่กันฟัง เนื้อหาของรายการวันนี้อาศัยข้อมูลจากคลิปวิดีโอบันทึกการบรรยายในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ของผู้ช่วยศาสตราจารย์สาวิตรี เจริญพงศ์ (ปัจจุบันเป็นรองศาสตราจารย์) ประกอบกับบทความเรื่อง “อินเดียที่รัชกาลที่ 5 ทรงสัมผัส” ของคุณปัทมน ปัญจวีณินที่ลงไว้ในเว็บ เดอะ คลาวด์ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2560

การปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5

ตามที่พวกเราเคยเรียนกันมาในวิชาประวัติศาสตร์ เราต่างก็ทราบดีว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จฯ ประพาสยุโรป 2 ครั้ง ครั้งแรกใน พ.ศ. 2440 และครั้งต่อมาใน พ.ศ. 2450 ทั้งนี้เพื่อศึกษาวิทยาการต่าง ๆ ในประเทศเหล่านั้นและนำมาปฏิรูปประเทศสยามให้เจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ อย่างไรก็ดี การศึกษาประวัติศาสตร์โดยละเอียดทำให้เกิดมุมมองใหม่ว่า การปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนใหญ่น่าจะเป็นผลมาจากการเสด็จฯ ไปอินเดียและประเทศรอบ ๆ มากกว่า

ใคร่ชวนสังเกตว่า หลังเสด็จฯ เยือนสิงคโปร์และชวาใน พ.ศ. 2413 และเสด็จฯ เยือนพม่าและอินเดียใน ปีถัดมา รัชกาลที่ 5 กับบรรดาพระเจ้าน้องยาเธอและขุนนางรุ่นเยาว์ก็ทรงเริ่มกระบวนการปฏิรูปให้เป็นสมัยใหม่อย่างรวดเร็วฉับพลัน ซึ่งหลัก ๆ แล้วเกิดขึ้นภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2416 การปฏิรูปดังกล่าวมีเช่น การเก็บภาษีอากรแบบใหม่ โดยจัดตั้ง ‘หอรัษฎากรพิพัฒน์’ การจัดตั้งองค์กรใหม่ ๆ ทางการเมืองและการปกครอง เช่น ตั้งกระทรวง ทบวง กรม เมื่อ พ.ศ. 2418 การจัดตั้ง ‘Council of State’ และ ‘Privy Council’ การเลิกประเพณีและธรรมเนียมโบราณอันคร่ำครึหลายประการ นำไปสู่การเลิกทาสในเวลาต่อมา ตลอดจนการริเริ่มโครงการสร้างทางรถไฟในไทยใน พ.ศ. 2430 สังเกตได้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นก่อนจะเสด็จประพาสยุโรปเสียอีก

ภาพ: สถานทูตไทย นิวเดลี
รัชกาลที่ 5 เสด็จฯ ประพาสอินเดีย

มูลเหตุของการเสด็จฯ ประพาสอินเดียครั้งนั้นมีอยู่ว่า
หลังจากเสด็จฯ เยือนสิงคโปร์และชวาใน พ.ศ. 2413 เมื่อทรงพระชนมายุเพียง 17 ชันษา ทรงมีพระราชประสงค์จะเสด็จฯ ไปยุโรปทันที เพราะทรงเห็นว่าการ “ทอดพระเนตรเห็นแต่เพียงเมืองขึ้นที่ฝรั่งปกครองคนต่างชาติต่างภาษา ได้ประโยชน์ยังน้อย” ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงวินิจฉัยไว้ในหนังสือ ความทรงจำ ว่าการที่พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ ยุโรปเป็นการด่วนนั้น เห็นจะเป็นเพราะ “ทรงพระราชดำริเห็นว่าเวลาที่ยังไม่ต้องทรงว่าราชการแผ่นดินมีอยู่เพียงอีก 2 ปี ถ้ารอไปจนถึงเวลาทรงว่าราชการเองแล้วคงยากที่จะหาโอกาสได้” ทรงปรารภกับเจ้าพระยาภานุวงศ์ ซึ่งเห็นชอบด้วยตามพระราชดำริ แต่ครั้นนำความไปปรึกษาเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านหลังนี้กลับไม่เห็นชอบด้วย ให้เหตุผลว่าทางไกลนักเป็นการเสี่ยงภัยมาก ไม่สะดวกอย่างสิงคโปร์หรือชวา เรือพระที่นั่งก็ไม่พร้อมเดินทางไกลเช่นนั้น

เจ้าพระยาภานุวงศ์จึงทูลแนะนำให้เสด็จฯ อินเดียแทน ด้วยเห็นว่ารุ่งเรืองพอกับยุโรป
พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า “ถ้าจะไปถึงยุโรปยังไม่ได้ ไปเพียงอินเดียก็ยังดี” การเสด็จฯ อินเดียครั้งนี้ ยังมีประโยชน์ในฐานะการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับอังกฤษในอินเดียด้วย เพราะระหว่างนั้นหัวเมืองล้านนาของสยามมีปัญหากระทบกระทั่งกับคนพม่าและอินเดียที่อยู่ในบังคับอังกฤษ ซึ่งเข้ามาทำการค้าและกิจการป่าไม้ในสยาม

จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาไปถึงลอร์ดเมโย อุปราชและข้าหลวงใหญ่ผู้สำเร็จราชการแห่งอินเดียว่าพระองค์ต้องการเสด็จฯ เยือนเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์และคุณค่าในพระองค์เองให้สมกับเป็นพระมหากษัตริย์ โดยทรงกล่าวว่า “ทั้งตัวเราและสภาองคมนตรีต่างเชื่อว่าไม่มีประเทศใดในบูรพาทิศนี้ มีความเข้าใจเรื่องศาสตร์แห่งการปกครองอย่างชัดเจน หรือความเป็นอยู่ของราษฎรได้รับการสงเคราะห์อย่างจริงจังดังที่ดำเนินอยู่ในจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีรัฐบาลที่ ฯพณฯ เป็นผู้บริหารอย่างสามารถยิ่ง” และพระองค์ได้ทรงระบุไว้ในพระราชหัตถเลขาฉบับนั้นเป็นการเจาะจงทีเดียวว่า ถ้าเป็นไปได้ มีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรเมืองพาราณสี อาครา และเดลี ส่วนสถานที่อื่นนั้นแล้วแต่ทางอินเดียจะพิจารณานำเสด็จฯ

เส้นทางเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนั้น

เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2414 ประทับเรือพระที่นั่งบางกอก ผ่านอ่าวไทย อ้อมแหลมมลายู ระหว่างทรงแวะพักสิงคโปร์ มะละกา ปีนัง ในระหว่างประทับปีนังวันที่ 26 ธันวาคม ทรงได้รับโทรเลขว่าอุปราชอินเดียไปเดลี และจะกลับมารับเสด็จที่กัลกัตตาในวันที่ 13 มกราคม เหตุนี้จึงทรงแวะพม่า เสด็จฯ เมืองมะละแหม่งและย่างกุ้งก่อน เพื่อให้ไปถึงอินเดียตามกำหนด ซึ่งถ้านับแบบใหม่ เท่ากับทรงเสด็จฯ ถึงอินเดียเมื่อขึ้น พ.ศ. 2415 แล้ว

อุปราชเมโยเองยังได้เดินทางกลับจากการตรวจดูการซ้อมรบใหญ่ที่เดลีมาที่กัลกัตตาเพื่อให้การต้อนรับพระเจ้าอยู่หัวแห่งสยามด้วยตนเอง และจัดงานเลี้ยงต้อนรับโดยเชิญแขกผู้เกียรติมาเข้าร่วมถึง 1,300 คนลอร์ดเมโยได้กล่าวในงานเลี้ยงต้อนรับว่า “ข้าพระพุทธเจ้าแน่ใจว่าตลอดระยะเวลาที่เสด็จพระราชดำเนินอยู่ภายในจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่นี้ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงได้พบเห็นสิ่งที่ทรงสนพระราชหฤทัย และการเสด็จประพาสในครั้งนี้จะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรที่มีต่อกันอันเกิดขึ้นแล้วระหว่างข้าแผ่นดินของสมเด็จพระบรมราชินีกับพสกนิกรจำนวนหลายล้านคนของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท”

ระหว่างทรงพำนักกัลกัตตา ได้ทอดพระเนตรสถานที่สำคัญต่าง ๆ เช่น Asiatic Society ป้อมปราการ โรงกษาปณ์ พิพิธภัณฑ์ โรงงานผลิตปืน โรงจ่ายน้ำประปา โรงงานทอกระสอบ โรงสี ทัณฑสถาน โรงพยาบาล โรงโอเปร่า ตลาด และโบสถ์

22 มกราคม ประทับรถไฟขบวนพิเศษออกจากกัลกัตตามุ่งหน้าสู่เดลี การเดินทางจากกัลกัตตาไปเดลีของพระองค์ใช้เวลาเพียง 36 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งนับว่ารวดเร็วมากในสมัยนั้น เมื่อถึงเดลี ทรงประทับแรมในกระโจมเดียวกับที่อุปราชอินเดียได้มาพำนักเมื่อก่อนหน้านี้ เป็นเวลา 7 วัน ได้ทอดพระเนตรแสนยานุภาพทางทหารและการซ้อมรบ

30 มกราคม ประทับรถไฟขบวนพิเศษไปยังอาครา ทรงพำนักอยู่ 3 วัน ได้ทอดพระเนตรป้อมแดง ตาชมะฮัล และสุสานพระเจ้าอักบาร์ จากนั้น 2 กุมภาพันธ์ เสด็จฯ แวะเมืองกอนโปร์ หรือที่ปัจจุบันเรียกกานปูร์ เพื่อทอดพระเนตรอนุสรณ์สถานความสูญเสียของอังกฤษช่วงกบฏซีปอย

3 กุมภาพันธ์ เสด็จฯ ถึงลัคเนาว์ ทอดพระเนตรกิจกรรมทางทหารแบบยุโรป แล้ววันที่ 7 กุมภาพันธ์ประทับรถไฟขบวนพิเศษจากลัคเนาว์เป็นระยะทางยาวมากไปสู่บอมเบย์ ทรงใช้เวลาในรถไฟถึง 2 วัน 2 คืน ระหว่างการเดินทาง บันทึกของผู้ตามเสด็จฝ่ายไทยได้แสดงความตื่นตาตื่นใจที่ผ่านอุโมงค์จำนวนมาก เพราะเป็นระยะทางตามแนวเทือกเขา ขบวนเสด็จถึงบอมเบย์วันที่ 9 กุมภาพันธ์ มีพิธีรับเสด็จอย่างยิ่งใหญ่พอ ๆ กับที่กัลกัตตา

ทว่าก่อนหน้านั้นในระหว่างทรงเดินทาง เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดได้เกิดขึ้น ลอร์ดเมโยอุปราชได้ถูกลอบสังหารที่หมู่เกาะอันดามันเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ กว่าข่าวร้ายดังกล่าวจะมาถึงพระกรรณพระเจ้าอยู่หัวก็เป็นวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เป็นเหตุให้ต้องงดกำหนดการที่จะเสด็จฯ เยือนหลายแห่ง ในระหว่าง 13-17 กุมภาพันธ์ ทรงได้เยือนเพียงถ้ำเอเลฟันต้าแห่งเดียว จากนั้นจึงกลับไปทางกัลกัตตาโดยผ่านทางพาราณสีในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เสด็จฯ ทอดพระเนตรสถานที่ต่าง ๆ เช่น วังมหาราชา วัดฮินดู และหอดูดาว และที่สำคัญคือ ประทับรถม้าไปยังสารนาถ เพื่อทอดพระเนตรป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เรื่องราวดังกล่าวนี้ อ. กิตติพงศ์ได้เขียนไว้ในบทความปฐมฤกษ์ของเพจภารัต-สยามด้วย

จากพาราณสี จึงเสด็จไปยังกัลกัตตาในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ขณะนั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศกจากมรณกรรมของอุปราชอินเดีย ทรงพำนักอยู่ 4 วัน ครั้นวันที่ 26 กุมภาพันธ์ก็เสด็จฯ ออกจากอินเดียเพื่อนิวัติสยามประเทศ เป็นอันจบการประพาสอินเดีย ส่วนที่ทรงแวะจุดต่าง ๆ ในสยามก่อนจะกลับพระนครนั้น อ.สาวิตรีได้ให้ข้อมูลไว้ในการบรรยาย จะไม่ขอนำมากล่าวถึงในที่นี้

ผลจากการเสด็จฯ อินเดียครั้งนั้น

ทำให้เกิดการพัฒนาการรถไฟ การทหาร การศึกษาภาษาอังกฤษ การนำวิทยาการแบบตะวันตกมาพัฒนาบุคลากร การปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นแบบฝรั่ง นอกจากนั้นยังนำมาสู่การเจรจากับอังกฤษเพื่อทำสนธิสัญญาเกี่ยวกับการพิจารณาคดีในเมืองประเทศราชของไทยในภาคเหนือ ซึ่งสำเร็จในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2416 ส่งผลให้ไทยมีสิทธิในการพิจารณาคดีเกี่ยวข้องกับคนในบังคับชาติตะวันตกเพิ่มมากขึ้น เท่ากับเป็นการผ่อนคลายสนธิสัญญาเบาว์ริง

หนังสือสำคัญเล่มหนึ่ง

ที่กล่าวถึงการประพาสอินเดียของรัชกาลที่ 5 ชื่อว่า India in 1872: As seen by the Siamese เขียนโดย Sachchidanand Sahai โดยผ่านการค้นคว้าวิจัย 5 ปี หนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องว่า “เป็นหนังสือที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการเสด็จต่างประเทศครั้งสำคัญ” ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ชื่อว่า "ยุวกษัตริย์ รัชกาลที่ 5 เสด็จอินเดีย" แปลโดย กัณฐิกา ตรีอุดม ท่านที่สนใจสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้

รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย