ร่วมไว้อาลัยแด่การจากไปของ ศ.ดร.สัตยพรต ศาสตรี
972 views
0
0

เพลง Ram Siya Ram
เป็นเพลงเก่าแก่ ที่บอกว่าเก่าแก่คือตรง Ram Siya Ram แต่ไม่ใช่เนื้อร้องในส่วนอื่น ส่วนอื่นที่ว่านี้แต่งใหม่ คนประพันธ์เนื้อร้องคือ Shabbir Ahmed คนทำดนตรีคือ Poonam Thakkar คนขับร้องคือ Sachet Tandon จัดทำโดยบริษัทเพลงยักใหญ่ของอินเดียชื่อ T-Series

วันนี้ที่เปิดเพลงนี้ก็เพราะเราต้องการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ ศาสตราจารย์ ดร. สัตยพรต ศาสตรี (Satya Vrat Shastri) ซึ่งได้อำลาจากโลกไปแล้วเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 เรื่องราวของท่านที่สัมพันธ์กับศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเกี่ยวข้องกับมหากาพย์รามายณะ ซึ่งเดี๋ยวเราจะอธิบายให้ฟังว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร
________________

ตอนนี้มีแขกรับเชิญพิเศษด้วยคือ อ.กิตติพงศ์ บุญเกิด หรืออาจารย์เก่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาฮินดีและวัฒนธรรมอินเดีย สาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ก่อนอื่นใด ขออนุญาตเล่าให้ฟังอย่างสังเขปก่อนว่า ท่านศาสตราจารย์ศาสตรีคือใคร เพราะในวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เฟซบุ๊กของผู้คนในแวดวงอินเดียศึกษา โดยเฉพาะด้านสันสกฤตศึกษามีรูปหรือคลิป และข้อความภาพร่วมไว้อาลัยกันมากมาย

ศ.ดร.สัตยพรต ศาสตรี | ภาพ: https://www.satyavrat-shastri.net/
ชีวประวัติโดยสังเขปของ ศ.ดร. สัตยพรต ศาสตรี (Satya Vrat Shastri)

ชื่อเต็มของท่านคือ สัตยพรต ศาสตรี เกิดเมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1930 ในช่วงเริ่มแรก บิดาของท่านเป็นผู้สอนหนังสือท่าน บิดามีชื่อว่าจารุ เทวะ ศาสตรี (Charu Deva Shastri)

ในเวลาต่อมาเดินทางไปศึกษาสันสกฤตที่พาราณสี หลังจากนั้นก็ศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโทด้านสันสกฤตที่มหาวิทยาลัยปัญจาบ ก่อนจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านสันสกฤตจากมหาวิทยาลัย Banaras Hindu University

หลังจากจบปริญญาเอก ท่านก็ทำงานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดลีเป็นเวลา 40 ปี เพราะประสบการณ์และความมีชื่อเสียงโด่งดัง ท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี (Vice-Chancellor) มหาวิทยาลัยสันสกฤตศรีชคันนาถ (Shri Jagannath Sanskrit University)

ความรู้ความสามารถของท่านอาจารย์ศาสตรีทำให้ท่านได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษในหลายประเทศ รวมทั้งได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ในโครงการ ICCR หลายประเทศ เช่น เยอรมนี แคนาดา ไทย ซึ่งเรื่องประเทศไทยเราจะพูดในส่วนต่อไป

ท่านอาจารย์ศาสตรีได้ผลิตผลงานวิชาการไว้มากมาย เช่น หนังสือ The Ramayana - A Linguistic Study ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1964 หนังสือ ศรีคุรุโควินทสิงหจริตัม (Srigurugovindasimhacaritam) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1967 หนังสือ ไวทิกวยากรณะ (Vaidika Vyakarana) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1971 หนังสือ ศรีโพธิสัตตวจริตัม (Sribodhisattvacaritam) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1974 หนังสือ Studies in Sanskrit and Indian Culture in Thailand ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1982 หนังสือ ศรีรามกีรติมหากาวยัม (Sriramakirtimahakavyam) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1990 ฯลฯ เล่มหลังนี้มีคำนำโดย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ด้วย

รางวัลและเกียรติยศที่ท่านได้รับมีมากมาย เช่น
1) Sahitya Akademi Award, 1968
2) President of India Certificate of Honour, 1985
3) Padma Shri, 1999
4) Padma Bhushan, 2010

ครอบครัวศาสตราจารย์ศาสตรีเป็นครอบครัวเดียวที่ทั้งบิดาและบุตรได้รับรางวัล President of India Certificate of Honour เกียรติยศสำคัญที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ จากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ใน ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540)

ประสบการณ์สำคัญในประเทศไทย

เนื่องจากรายการมีเวลาจำกัด เราจึงขอกล่าวถึงประสบการณ์สำคัญก็คือ การที่ท่านอาจารย์ศาสตรีได้รับมอบหมายให้ถวายพระอักษรภาษาสันสกฤตแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

ประสบการณ์สำคัญของท่านอาจารย์ศาสตรีในประเทศไทยที่รายการปกิณกะอินเดียจะเล่าให้ฟัง ขออนุญาตนำเนื้อหาและข้อความมาจากบทความชื่อ “Scholar for Life” ในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2017 บทความนี้มาจากการสัมภาษณ์ท่านอาจารย์ศาสตรีเมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2017 เพราะวันที่ 25 กันยายนในปีนั้น ศูนย์อินเดียได้จัดงานสัมมนาหัวข้อ “The Influence of Sanskrit & Pali on Languages in Southeast Asia with a Special Emphasis on Thai Language” โดยมี สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธาน

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ทรงมีพระราชปฏิสัมพันธ์กับท่านอาจารย์ศาสตรีมายาวนาน นับตั้งแต่ ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520) ครั้งเมื่อท่านอาจารย์ศาสตรีได้รับคำขอร้องจากรัฐบาลไทยในเวลานั้นให้เป็นผู้ถวายพระอักษรวิชาภาษาสันสกฤต ขณะนั้นกรมสมเด็จพระเทพฯ เพิ่งทรงสำเร็จปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทรงมีพระราชประสงค์จะศึกษาภาษาสันสกฤตต่อในระดับมหาบัณฑิต

ท่านอาจารย์ศาสตรีให้สัมภาษณ์ว่า

ทรงปรารถถึงพระราชประสงค์ดังกล่าว รัฐบาลไทยจึงร้องขอรัฐบาลอินเดียผ่านสภาวัฒนธรรมสัมพันธ์อินเดีย (ICCR) ฉันเลยได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์อาคันตุกะด้านอินเดียศึกษา ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ตอนนั้นฉันได้วางแผนหลังจากไปประชุมวิชาการ ว่าจะไปเยี่ยมประเทศใกล้เคียงเพื่อไปบรรยายและปฏิสัมพันธ์กับนักวิชาการบ้าง ฉันอยู่ที่เบอร์ลิน กำลังเดินเข้าหอประชุมเพื่อบรรยาย ขณะเดินไปตามทางเดิน (เข้าหอประชุม) อยู่นั้น สุภาพบุรุษคนหนึ่งก็รี่เข้ามาหาแล้วบอกว่า "ศาสตราจารย์ขอรับ มีโทรพิมพ์ถึงท่าน" แล้วก็ยื่นส่งให้ฉันโดยตรง

ฉันยังไม่ได้เปิดซองจดหมายในเดี๋ยวนั้น พับใส่ลงในกระเป๋า แล้วเข้าหอประชุมไปบรรยาย ครั้นกลับจากหอประชุมมาสถาบัน ก็นึกถึงโทรพิมพ์ฉบับนั้นขึ้นมา ภรรยาฉันอยู่ด้วย ฉันบอกภรรยาว่า มีคนมาหาและเอาโทรพิมพ์ฉบับนี้ให้ ตอนนั้นเธออยู่ถัดไปข้างหลังเล็กน้อย และมองข้ามไหล่มาด้วยความกระหายใคร่รู้ อยากเห็นว่าข้อความเขียนว่ากระไร

ข้อความในโทรพิมพ์ที่มาจากรัฐบาลอินเดียนั้นสั้นกระชับ มีว่า "ท่านได้รับเสนอชื่อเป็นศาสตราจารย์อาคันตุกะวิชาอินเดียศึกษาที่กรุงเทพฯ โปรดแจ้งความจำนงด่วน" ท่านศาสตราจารย์จะได้ไปสอนภาษาสันสกฤตให้แก่ "ศิษย์พิเศษ" คนหนึ่งในกรุงเทพฯ

ท่านเล่าต่อ ฉันนั่งคิดอย่างจริงจัง เพราะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญมาก นี่จะเป็นครั้งแรกเลยที่ได้ออกไปไกลประเทศอินเดีย เพื่อรับภารกิจที่มีเวลายาวกว่าสองปีเล็กน้อย โดยปรกติสำหรับการตัดสินใจที่สำคัญ ๆ ฉันจะปรึกษาพ่อกับสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ แต่ครั้งนั้นฉันปรึกษาไม่ได้เพราะสมัยนั้นยังไม่มีช่องทางการสื่อสารที่รวดเร็วอย่างสมัยนี้ เช่นติดต่อกันด้วยอีเมลหรือโทรศัพท์เป็นต้น วิธีติดต่อสื่อสารที่เร็วที่สุดคือโทรพิมพ์

ถ้ารัฐบาลใด ๆ ก็ตามประสงค์สิ่งใด ก็แทบจะเป็นคำสั่งที่พลเมืองจะต้องปฏิบัติตาม ฉันเองก็จำต้องปฏิบัติตามคำร้องขอนี้ จึงไปสถานทูตอินเดีย (ในเยอรมนี) เพื่อพบเอกอัครราชทูต ฉันยังจำชื่อทูตผู้นั้นได้ ... และฉันก็แจ้งเขาว่า ให้ตอบแสดงความจำนงของฉันไป

สิ่งที่อาจารย์กิตติพงศ์ประทับใจเมื่อไปเป็นลูกมือช่วยทำหนังสือเกี่ยวกับรามายณะ

ท่านอาจารย์ศาสตรีเคยให้สัมภาษณ์ Bangkok Post ว่า “ภาษาสันสกฤตกับรามายณะคือสิ่งที่ฉันต้องการสืบทอดให้รุ่นต่อไป”

กลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2561 ผมได้รับมอบหมายให้ไปช่วยอาจารย์สัตยพรตค้นคว้าจากหนังสือภาษาไทยเพื่อใช้ข้อมูลทำหนังสือรามายณะ โดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี ได้ประสานงานมายังคณะอักษรศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้สนับสนุนการเดินทางทั้งหมด

ราวสองสัปดาห์ที่ไปทำงานในบ้านท่านได้เห็นท่านทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นทุกวันไม่มีวันหยุด ท่านกล่าวว่า ต้องการทำหนังสือรามายณะฉบับนี้ให้สำเร็จฝากไว้เป็นผลงานสุดท้าย ขณะนั้นท่านอายุ 88 ปี ท่านพิมพ์คอมพิวเตอร์ด้วยตนเองอย่างคล่องแคล่วมาก ในบางวันก็มีผู้มาเยี่ยมเยียนท่านที่บ้าน และต่างก็ประหลาดใจที่เห็นท่านยังขยันขันแข็งทำงานได้ขนาดนี้ บ้างก็ถามว่าทำอย่างไรถึงอายุยืนและแข็งแรง ท่านก็ตอบว่า “ไม่มีอะไร ก็ทำงานเรื่อยไป” ผมประทับใจคำตอบนี้ของท่าน และน้อมนำมาระลึกถึงเสมอ

ท่านคือแบบอย่างของความเป็นครู ความเป็นนักวิชาการที่เสียสละอุทิศทำงานเพื่อประโยชน์แก่โลกอย่างแท้จริง ท่านเป็นกันเองกับทุกคน ไม่เย่อหยิ่ง ไม่มีความไว้เนื้อถือตัวใด ๆ ดังที่มีคำสุภาษิตเปรีบเทียบว่า รวงข้าวที่มีเมล็ดข้าวดีมีน้ำหนักมากย่อมน้อมค้อมลงต่ำเสมอ บุคลิกภาพ คุณูปการ และวิริยะอุตสาหะของท่านคือสิ่งที่เราทั้งหลายควรน้อมนำมาปฏิบัติตาม
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย