วันที่ 27 พฤศจิกายน 2564
เพลง Raataan Lambiyan (ราตรีช่างยาวนาน)
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Shershaah (ราชสีห์) ฉายในปี ค.ศ. 2021 ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยวิษณุวรรธัน (Vishnuvardhan) ดารานำคือสิทธารถ มัลโหตรา (Sidharth Malhotra) และกิยารา อาฑวาณี (Kiara Advani) เพลงนี้ขับร้องโดยชุบิน นอติยาล (Jubin Nautiyal) และอสีส กอร์ (Asees Kaur)
วันนี้เราเปิดเพลงไม่เกี่ยวกับเนื้อหา ก็แค่ต้องการให้ผู้ฟังได้ฟังเพลงที่กำลังเป็นที่นิยมกันในอินเดีย ณ ขณะนี้เพลงนี้ใน YouTube มียอดวิวกว่า 24 ล้านแล้ว
________________
เรื่องมีอยู่ว่า ไม่กี่วันที่ผ่านมา อาจารย์กิตติพงศ์ บุญเกิด หรืออาจารย์เก่ง เขียนข้อความมาทางไลน์ ถามผมว่า “อาจารย์ครับทูตอินเดียในไทยท่านใดนะครับที่ต่อมาภายหลังได้ไปเป็นประธานาธิบดีอินเดียครับ” สักพักผมก็โทรหา อ. เก่ง แล้วตอบว่าไม่ทราบ ต่อมาไม่นาน อ. เก่ง ก็ส่งชื่อมา หลังจากนั้นผมจึงพยายามสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับท่านผู้นี้
เมื่ออ่านเรื่องราวของท่านเพิ่มเติม ก็มีหลายประเด็นที่น่าสนใจมาก จึงชวนคุณณัฐนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับท่านให้แก่ผู้ฟังรายการปกิณกะอินเดียในวันนี้

ท่านผู้นี้มีชื่อว่าโกเจริล รามัน นารายณัน (Kocheril Raman Narayanan) หรือนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า เค. อาร์. นารายณัน (K. R. Narayanan)
ตามหลักฐานที่ระบุไว้ เค. อาร์. นารายณัน เกิดวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1920 แต่ก็มีเว็บไซต์แห่งหนึ่งเขียนไว้ด้วยว่า แท้จริงแล้วท่านเกิดวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 แต่คุณลุงหรือคุณอาที่พาท่านไปโรงเรียนครั้งแรกนั้นไม่ทราบวันเกิดที่แท้จริงของท่าน จึงต้องสมมติขึ้นวันใดวันหนึ่ง และวันเดือนปีที่คุณลุงหรือคุณอาท่านเลือกก็คือ 27 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1920 วันนี้ก็อาจถือเป็นโอกาสดีระลึกถึงท่านเค. อาร์. นารายณัน ในวาระ 100 ปีชาตกาลด้วย
บ้านเกิดเค. อาร์. นารายณันอยู่ที่อุฬะวูร์ (Uzhavoor) เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในโกฏฏะยัม (Kottayam) มลรัฐเกรฬะ (Kerala) ทางตอนใต้ของอินเดีย
เค. อาร์. นารายณัน เป็นชาวทลิต หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันอย่างไม่เหมาะสมว่าจัณฑาล
ท่านผู้ฟังคงทราบแล้วว่า วรรณะโดยรวมนั้นแบ่งตามลำดับสูงสุดไปต่ำสุด 4 วรรณะด้วยกัน คือ 1) วรรณะพราหมณ์ 2) วรรณะกษัตริย์ 3) วรรณะแพศย์ 4) วรรณะศูทร
ส่วนวรรณะที่ 5 ซึ่งแท้จริงอยู่นอกระบบนอกวรรณะคือทลิต
แต่เรื่องนี้จำต้องขยายความเพิ่มเติมให้ทราบด้วยว่า ตามที่ผู้คนปฏิบัติกันมาแต่ไหนแต่ไรนั้น สี่-ห้าวรรณะนี้ไม่ได้เป็นที่นิยมในการจำแนกวรรณะมากสักเท่าไรนัก เพราะแต่ละท้องถิ่นมีวิธีจำแนกแตกต่างกัน บางที่ก็จะเน้นวรรณะย่อย บางที่ก็เน้นการจำแนกโดยอาชีพ หรือการจัดลำดับที่เฉพาะเจาะจง
กรณีของครอบครัวเค. อาร์. นารายณัน ก็ใช้การจัดลำดับวรรณะแบบอาชีพมาผสมผสานด้วย กล่าวคือครอบครัวของท่านอยู่ในกลุ่มชนชั้นปรวัน (Paravan) มีอาชีพหลักคือเก็บ/สอยลูกมะพร้าว มะพร้าวในมลรัฐเกรฬะนั้นมีดาดดื่นมาก เผื่อท่านผู้ฟังยังไม่ทราบ ก็ใคร่แจ้งให้ทราบด้วยว่า แม้แต่คำว่า “เกรฬะ” ก็แปลว่ามะพร้าว
วรรณะคือสถานภาพทางสังคม ส่วนความเป็นอยู่เป็นเรื่องของรายได้ หรือเรื่องสถานภาพทางเศรษฐกิจ สาเหตุที่ผู้คนนอกวรรณะหรือคนวรรณะล่างจำนวนมากน่าเห็นอกเห็นใจเพราะสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจมักจะย่ำแย่ จึงทำให้หลายคนลืมตาอ้าปากได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาเรื่องนี้ในช่วงสมัยต้นศตวรรษที่ 20
ชีวิตของท่านเค. อาร์. นารายณันในวัยเยาว์เป็นไปอย่างยากลำบาก แหล่งข้อมูลแห่งหนึ่งแจ้งว่า สมัยเด็กท่านต้องเดินเท้าไปโรงเรียนทุกวัน เป็นระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมอยู่บ่อยครั้ง แม้ค่าเทอมจะไม่แพงนักก็ตาม บ่อยครั้งด้วยที่ท่านต้องยืนเรียนอยู่นอกห้อง ด้วยเหตุที่ยังค้างค่าเล่าเรียนอยู่ พี่ชายของท่านที่มีนามว่าเค. อาร์. นีลกัณฐัน (K. R. Neelakantan) ไม่อาจไปโรงเรียนได้เพราะโรคหอบหืด จึงเป็นคนหายืมหนังสือจากเด็กบางคนมาคัดลอก ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมถึงการเลือกปฏิบัติทางวรรณะที่ต้องเผชิญอีก
เค. อาร์. นารายณัน นอกจากจะตั้งใจเรียนหนังสือแล้ว ยังเป็นคนที่เรียนหนังสือเก่งมาก
ในที่สุดก็ได้เข้าเรียนระดับปริญญาตรีด้านวรรณคดีที่มหาวิทยาลัยตระวันโกร์ (University of Travancore) ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยเกรฬะ (University of Kerala) แหล่งข้อมูลดังกล่าวระบุด้วยว่า ท่านเป็นคนนอกวรรณะคนแรกที่เรียนได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง หลังจากนั้นก็เรียนต่อระดับปริญญาโทที่เดิมและสาขาเดิม ใคร่แจ้งด้วยว่า ที่มหาวิทยาลัยท่านก็ต้องเผชิญการกีดกันทางวรรณะอีก
หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท เค. อาร์. นารายณัน ได้เดินทางไปทำงานที่เดลี ด้วยความหวังว่าตนจะหาเลี้ยงชีพและช่วยเหลือครอบครัวของตนได้ ในที่สุดก็ได้ทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ The Hindu (ค.ศ. 1944-45) และ The Times of India (ค.ศ. 1945) ข้อมูลแหล่งหนึ่งระบุว่า เค. อาร์. นารายณันเคยสัมภาษณ์มหาตมาคานธีด้วย
ต่อมาไม่นานนัก เค. อาร์. นารายณัน ได้ทุนไปศึกษาต่อที่ London School of Economics and Political Science ถือว่าเดินตามรอยบาบาซาเฮบ อัมเบดการ์ (Babasaheb Ambedkar) ที่เป็นทลิตเช่นกัน ระหว่างเรียนก็ทำงานเป็นนักสื่อข่าวให้ Social Welfare Weekly ในที่สุดก็เรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ได้คะแนนสูงสุด ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Top academic honours
แหล่งข้อมูลแห่งหนึ่งระบุว่า ที่ London School of Economics เค. อาร์. นารายณันได้มีโอกาสเรียนกับนักสังคมศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายคน รวมถึงฮาโรลด์ ลาสกี (Harold Laski) นอกจากนี้เขาก็ยังได้เข้าฟังบรรยายโดยนักวิชาการที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น คาร์ พ็อพเพอร์ (Karl Popper) ไลโอเนล ร็อบบินส์ (Lionel Robbins) และ ฟรีดริช ฮาเย็ก (Friedrich Hayek)
แต่อาจารย์ที่เค. อาร์. นารายณัน น่าจะสนิทสนมใกล้ชิดที่สุดคือฮาโรลด์ ลาสกี เมื่อเขาเดินทางกลับอินเดียในปี ค.ศ. 1948 เขาได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีบัณฑิตยวาหระลาล เนห์รู (Pundit Jawaharlal Nehru) เมื่อพูดคุยกับนายกเสร็จสิ้นแล้ว ก็กล่าวอำลาพร้อมกับยื่นจดหมายที่ลาสกีฝากถึงเนห์รู ระหว่างเดินกลับก็ได้ยินเสียงคนเรียกให้กลับไปคุยกับเนห์รูอีกครั้ง คราวนี้เนห์รูถามว่า ทำไมไม่ยื่นจดหมายฉบับนี้ให้ตั้งแต่แรก เค. อาร์. นารายณันตอบว่า “ขอประทานโทษครับท่าน กระผมคิดว่ายื่นจดหมายตอนที่จะลากลับก็พอแล้ว” หลังจากนั้นเนห์รูก็ซักถามอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะชวนเค. อาร์. นารายณัน สมัครเป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ในที่สุดเขาได้ดำรงตำแหน่งนักการทูต แน่นอนว่ามีคนวรรณะสูงต่อต้านอีกเช่นเคย
เค. อาร์. นารายณัน ได้ไต่เต้าขึ้นมาเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย (ค.ศ. 1967-1969) ตามด้วยเป็นเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศตุรกี (ค.ศ. 1973-1975) แล้วค่อยมาเป็นรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ก่อนจะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศจีนในปี ค.ศ. 1976
ตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำประเทศจีนนี้สำคัญมาก เพราะจีนกับอินเดียรบกันในปี ค.ศ. 1962 ดังนั้น การเลือกเค. อาร์. นารายณันไปเป็นทูตอินเดียที่จีน ก็หมายความว่ารัฐบาลต้องไว้ใจว่า เค. อาร์. นารายณันจะสามารถช่วยเยียวยาบาดแผลของความขัดแย้งและฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับจีนให้กลับสู่ภาวะปกติได้
เค. อาร์. นารายณันเป็นบุคคลที่โดดเด่นมากในแง่ที่ว่า เขาเป็นทั้งข้าราชการนักการทูตและเป็นทั้งนักวิชาการ คือระหว่างประจำการอยู่ที่เดลี เค. อาร์. นารายณันได้สอนหนังสือที่วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์เดลี (Delhi School of Economics) และเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยยวาหระลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru University) ด้วย
เค. อาร์. นารายณัน ปลดเกษียณจากการเป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศอินเดียในปี ค.ศ. 1978 หลังจากนั้นได้รับแต่งตั้งเป็นอธิการบดีปฏิบัติการ (Vice-Chancellor) ณ มหาวิทยาลัยยวาหระลาล เนห์รู แต่ก็ดำรงตำแหน่งนี้ได้ไม่นานนัก เพราะอินทิรา คานธี (Indira Gandhi) แต่งตั้งให้เค. อาร์. นารายณัน เป็นเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ ความรู้ความสามารถของเค. อาร์. นารายณันโดยเฉพาะด้านการทูตนั้น นับได้ว่ายอดเยี่ยมมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่เนห์รูเคยกล่าวว่าเป็น “นักการทูตที่ดีที่สุดของประเทศ [อินเดีย]”
เค. อาร์. นารายณัน ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองโดยเป็น สส. สภาล่าง ในปี ค.ศ. 1992 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานาธิบดีอินเดีย
ค.ศ. 1997 ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 10 ของอินเดีย ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือเป็นทลิตคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอินเดีย
ครั้นเมื่อเป็นประธานาธิบดีแล้ว ท่านเค. อาร์. นารายณัน ได้ขยายบทบาทของการเป็นประธานาธิบดี ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นตำแหน่งพิธีกรรมแต่อย่างเดียว ความพยายามของท่านประจักษ์ชัดเจนมากที่จะให้ประธานาธิบดีเข้ามามีบทบาทในการยุติความรุนแรง และการฉ้อราษฎร์บังหลวง พร้อมกับใช้ประสบการณ์ของตนเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เค. อาร์. นารายณัน หมดวาระประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 2002 หลังจากนั้นผู้เข้ามาดำรงตำแหน่งก็คือเอ. พี. เจ. อับดุล กะลาม (A. P. J. Abdul Kalam)
จริง ๆ ก็มีเรื่องราวดี ๆ สำคัญ ๆ เกี่ยวกับท่านอีกมากมาย แต่จะขอพูดเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศไทยเรื่องหนึ่ง คือเรื่องของท่านกับท่านอาจารย์กรุณา กุศลาสัย
ในช่วงเวลาที่ท่านเค. อาร์. นารายณัน ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทยระหว่าง ค.ศ. 1967-1969 นั้น ปี ค.ศ. 1969 ถือเป็นปีสำคัญที่สุด เพราะตรงกับ 100 ปีชาตกาลมหาตมาคานธี และในปี ค.ศ. 1969 นี้เองที่หนังสือ “ชีวประวัติของข้าพเจ้า” เขียนโดย มหาตมาคานธี แปลจากภาษาฮินดีเป็นไทย โดย อ. กรุณา กุศลาสัย ก็ได้รับการตีพิมพ์
ต้องแจ้งให้ทราบว่า สถานทูตอินเดียในไทยมิได้ขอให้ อ. กรุณา แปลหนังสือเล่มนี้ หากแต่ อ. กรุณา เริ่มแปลหนังสือเล่มนี้มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ดังที่ อ. กรุณา เขียนไว้ใน “คำปรารภของผู้แปล” ว่า “ข้าพเจ้าได้หยิบงานชิ้นนี้ขึ้นทำตั้งแต่ในระยะเวลาที่ต้องถูกควบคุมตัวในเรือนจำการเมืองที่ตำบลลาดยาว บางเขน กรุงเทพฯ ซึ่งข้าพเจ้าได้เข้าไปอยู่ตั้งแต่ พ.ศ. 2501 ถึง 2509 ครั้นได้รับอิสรภาพออกมาสู่โลกภายนอกแล้วก็ได้รับอนุเคราะห์และร่วมมือในการจัดพิมพ์จาก ฯพณฯ โกเจริล รามัน นารายณัน เอกอัครรัฐทูตอินเดียประจำประเทศไทย ทั้งนี้ข้าพเจ้าขอแสดงความขอบพระคุณอย่างสูงต่อท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย”
ท่าน เค. อาร์ นารายณัน เขียนคำนำให้หนังสือเล่มนี้ในช่วงแรกว่า “ขอแสดงความยินดีกับคุณกรุณา ที่แปลอัตชีวประวัติมหาตมาคานธีเป็นพากย์ภาษาไทยได้สำเร็จ ข้าพเจ้าคิดหาผู้อื่นใดไม่ออกเลย ที่จะมีคุณสมบัติพอจะแปลหนังสือเล่มยอดเยี่ยมสำคัญเล่มนี้ได้ดีไปกว่าคุณกรุณา เขามีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอินเดีย และยังคุ้นเคยกับชีวิต ผลงาน และปรัชญาของมหาตมาคานธีเป็นอย่างดี”
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย